นายอำเภอทำหน้าที่แนะนำโดยเริ่มจากคนแรก
“ทีมที่หนึ่งเป็นทีมแพทย์สนามที่จะคอยช่วยเหลือชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการดับไฟป่า รวมทั้งปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟป่าและหมอกควันครับ”
กล่าวจบก็ผายมือไปยังบุรุษในชุดแพทย์สนาม ซึ่งอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมเอ่ยทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม ชนิดที่ทำให้หัวใจสาวๆ ละลายกันเป็นแถว เรียกได้ว่าเป็นรอยยิ้มเขย่าหัวใจนารีเลยก็ว่าได้
“สวัสดีครับ ผมนายแพทย์เจษฎาหัวหน้าทีมแพทย์สนามครับ หากใครที่มีความรู้ในเรื่องยาหรือเรื่องสุขภาพ ยินดีต้อนรับเข้าร่วมทีมแพทย์สนามครับ”
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาดวงตาหวานซ่อนคมภายใต้กรอบแว่นใสใส รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวกว่าบรรดาหนุ่มหล่อทั้งสามคนกล่าวแนะนำตัวเอง ก่อนจะนั่งลงที่เดิม
“ทีมที่สองเป็นหน่วยเสือไฟจะเป็นด่านหน้าที่เผชิญอันตรายจากการดับไฟป่า เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอผาตะวันเป็นภูเขาสูงชัน และมีหน้าผาเป็นหลัก ทำให้การเข้าถึงพื้นที่เพื่อทำการดับไฟป่าเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงจำเป็นต้องมีหน่วยเสือไฟที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีเข้าทำการดับไฟป่าในพื้นที่เสี่ยงดังกล่าว”
กล่าวจบบุรุษหนุ่มรูปร่างสูงสง่า เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาดวงตาคมกริบทรงพลังราวกับเปลวไฟอันร้อนแรง ทรงสกินเฮดสุดเกรียนในชุดเจ้าหน้าที่เสือไฟสีแดงเลือดหมูกางเกงสีดำแลดูภูมิฐานก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับแนะนำตัว
“สวัสดีครับ ผมภูมินทร์หัวหน้าทีมหน่วยเสือไฟ ต้องการอาสาสมัครที่มีทักษะในการใช้ร่างกายและมีความอืด หากใครที่มีความสามารถในการดับไฟและถูกฝึกให้ปีนหน้าผา โหนเชือกได้ยิ่งดี”
พูดจบก็ทรุดนั่งลงที่เดิม ปล่อยโอกาสให้นายอำเภอแนะนำคนต่อไป
“ทีมที่สามเป็นทีมลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยงในการเกิดไฟป่า โดยเฉพาะจุดที่เป็นรอยต่อของตะเข็บชายแดนระหว่างประเทศ และยังเป็นหน่วยเสริมที่จะคอยช่วยเหลืออาสาสมัครทุกคนที่มีปัญหารวมทั้งทีมอื่นๆ ในการเข้าถึงพื้นที่เสี่ยง”
“สวัสดีครับ ผมผู้กองอิทธิฤทธิ์ หัวหน้าทีมลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยง ยินดีต้องรับอาสาสมัครทั้งหญิงและชาย เพราะทีมของเรามีหลายหน้าที่ต้องช่วยกันครับ”
เจ้าของร่างกำยำสูงสง่า ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยว ในชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศ ยืนขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่นตามแบบฉบับชายชาติทหาร ก่อนที่จะนั่งลงที่เดิม
“ทีมสุดท้าย เป็นทีมอำนวยการ มีหน้าที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ในฐานปฏิบัติการพิเศษ คอยสนับสนุน ประสารงาน และกระจายข้อมูลสถิติการเกิดจุดความร้อนรวมทั้งสถิติการดับไฟในพื้นที่ที่ได้จากข้อสรุปในที่ประชุมรายวันของแต่ละทีม รวมทั้งต้องลงพื้นที่รณรงค์ให้ความรู้กับชาวบ้าน เรื่องปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยมีผมเป็นหัวหน้าทีมครับ”
นายอำเภอหนุ่มร่ายยาวอย่างไม่คิดที่จะพัก เพราะตอนนี้ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว และกว่าที่ทุกคนจะเข้าที่พักได้ก็คงวุ่นวายอีกพักใหญ่ เนื่องจากจุดที่เป็นฐานปฏิบัติการควบคุมไฟป่าอยู่ห่างจากตัวอำเภอเกือบยี่สิบกิโลเมตร
“ผมอยากจะให้ทุกคนเลือกทีมตามความถนัดและความสามารถของตัวเอง จากนั้นให้ไปรายงานตัวกับหัวหน้าทีม ก่อนที่จะแบ่งกันขึ้นรถแยกย้ายกันเข้าที่พักครับ”
ยังคงเป็นนายอำเภอที่แจ้งกับทุกคน
และระหว่างที่ทุกคนกำลังตัดสินใจเลือกทีมอยู่นั้น อิงครัตก็หันมาทางแฟนกำมะลอหมายจะชวนให้อยู่ทีมกองอำนวยการด้วยกัน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“ฉันเลือกอยู่ทีมเสือไฟ เพราะฉันมีความสามารถในการปีนเขา และชอบใช้ร่างกายเป็นที่สุด”
ท่าทางและน้ำเสียงของจอห์นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ส่งผลให้อิงครัตต้องย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้ เพราะรู้ทันเพื่อน
“แต่ฉันว่าเหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะหัวหน้าทีมเสือไฟมากว่ามั่ง อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังแอบจินตนาการถึงเรือนร่างกำยำใต้ร่มผ้าของหัวหน้าทีมอยู่”
“ฉลาดเป็นกรด สมกับที่เป็นเพื่อนสนิทของฉันที่สุด”
จอห์นเอ่ยชม ทั้งที่สายตาไม่ได้มองเพื่อนสาวหากแต่มองไปยังหัวหน้าทีมที่ตัวเองหมายหมั้นไว้ในใจด้วยสายตาหื่นกระหาย
“จะทำอะไรก็ระวังไว้บ้างนะ อย่าหลุดพิรุธให้ถูกจับได้เชียว ไม่งั้นเสียแผนที่วางไว้หมด” อิงครัตกำชับอีกฝ่ายเสียงเด็ดขาด!
“รู้หรอกน่า ว่าแต่เธอจะเลือกอยู่ทีมไหนละอิง”
“ดูจากความสามารถแล้วก็หนีไม่พ้นทีมอำนวยการหรอก แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง”
พูดแล้วสาวน้อยก็ต้องทำหน้ามุ่ย เพราะเธอไม่มีความสามารถโดดเด่นในเรื่องไหนเลย แต่แล้วจู่ๆ ร่างอรชรก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อชื่อปลอมที่เธอใช้ในการเป็นอาสาสมัครถูกเรียกด้วยหัวหน้าทีมที่เธอกำลังพูดถึง
“ใครชื่ออิงทิรา มาหาผมหน่อย”
เสียงทุ้มต่ำแต่ทรงพลังเอ่ยเรียกอาสาสมัครหญิง ขณะที่กวาดสายตามองกระดาษในมือด้วยท่าทางนิ่งสงบยากที่จะเดาความคิด
“ดิฉันคืออิงทิราค่ะ”
อิงครัตพาร่างอรชรมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะสี่หนุ่ม พร้อมกับแนะนำตัวเอง ขณะเดียวกันก็พยายามคุมเสียงให้เรียบทั้งที่ตอนนี้ขาของเธอสั่นจนแทบจะยืนไม่ติดอยู่แล้ว หัวใจดวงน้อยเต้นแรงด้วยความประมาท เมื่อสังเกตเห็นว่าเอกสารที่เขาถืออยู่ในมือนั้นคือประวัติส่วนตัวและชื่อปลอมของเธอ
นายอำเภอหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร พร้อมกวาดสายตามองร่างอรชรตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างถือวิสาสะ แม้ตอนนี้เธอจะอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวของทีมอาสาสมัคร และกางเกงยีนส์ที่แสนจะธรรมดา แต่เธอนั้นกลับโดดเด่น น่ามอง อย่างไม่น่าเชื่อ
สิบปีก่อนสาวน้อยตรงหน้ามีรูปร่างอวบอ้วนกลมเป็นลูกซาลาเปา ซึ่งแตกต่างจากตอนนี้ที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน อิงครัตตรงหน้าคือสาวน้อยรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมแถมยังมีหน้าตาสะสวยโดดเด่นสะดุดตายากที่ใครเห็นแล้วจะถอนสายตาออกไปง่ายๆ
‘อยู่ใกล้ๆ แบบนี้สวยไม่เบาเลยแฮะ’
แม้อยากจะทำมากกว่าการจ้องมองเธอเฉยๆ แต่ก็ต้องอดใจไว้ เพราะต้องสงวนท่าทีของนายอำเภอที่ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถืออยู่
“ประวัติส่วนตัวของคุณระบุเอาไว้ว่าคุณเรียนจบจากเมืองนอก แบบนี้ก็แสดงว่าคุณสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเลิศ ผมเข้าใจถูกไหมครับคุณอิงทิรา”
ศรัณเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงเรียบ แกล้งทำเป็นไม่รู้จักเธอ เพราะได้ให้สัญญากับนมเรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง
“แน่นอนค่ะ”
“อืม…ดี”
คนถามส่งเสียงครางรับ มุมปากได้รูปยกยิ้มขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนที่จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นผมขอให้คุณมาอยู่ทีมอำนวยการ เพราะผมต้องการทีมงานในการลงพื้นที่สื่อสารทำความเข้าใจกับชาวบ้าน อีกทั้งต้องการคนคอยประสานงานกับหลายฝ่ายที่จะมาร่วมงานกับเราในครั้งนี้ด้วย”
“ฉันเหรอคะ” อิงครัตย้อนถามพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
‘สื่อสารกับชาวบ้านจำเป็นต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีเลิศเลยเหรอ’
สาวน้อยพึมพำถามตัวเองในใจด้วยความสงสัย แต่พอนึกถึงประโยคหลังเธอก็พอเข้าใจ เพราะอาจจะมีชาวต่างชาติมาร่วมงานเพิ่มเติมด้วย ยกตัวอย่างเช่นจอห์นที่สื่อสารภาษาไทยไม่ได้เลย จำเป็นต้องมีคนช่วยแปลภาษาอย่างยิ่ง
“อืม…ใช่! แล้วคุณมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
“ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย”
ลองบอกว่ามีปัญหาดูสิ เธอคงได้ถูกเชิญออกจากห้องประชุมแน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะถูกถอนรายชื่อออกจากทีมอาสาสมัครแล้วไล่กลับกรุงเทพไปเลยก็เป็นได้ ก็อย่างที่บอก นอกจากเธอจะใช้ภาษาอังกฤษดีเลิศแล้วคงไม่มีความสามารถโดดเด่นในด้านอื่นอีกเลย
“ดี งั้นก็ไปลงชื่อเข้าร่วมทีมเดียวกับผมได้เลย”
“รับทราบค่ะนายอำเภอ”
อิงครัตรับคำอย่างแข่งขัน แม้ยังมีคำถามมากมายที่อยากจะถามคนออกคำสั่งให้กระจ่างในตอนนี้ แต่ก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้ก่อน เพราะตระหนักได้ว่าสายตาของหัวหน้าทีมทั้งสี่คู่กำลังจ้องมองมาทางเธออย่างให้ความสนใจ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ เนื่องจากไม่อยากเป็นจุดสนใจของใครนั่นเอง
หลังจากที่ร่างบางหันหลังเดินจากไปต่อแถวเพื่อลงชื่อเข้าร่วมทีมรวมกับคนอื่นๆ แล้ว ภูมินทร์หัวหน้าหน่วยเสือไฟก็สะกิดนายแพทย์หนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยขึ้น
“นายอำเภอใช้ความลำเอียงในการเลือกคนเข้าทีมนะ นายว่าไหมไอ้หมอ”
“ไม่ใช่แค่เลือกอาสาสมัครคนสวยเข้าทีมอย่างเดียวนะ แต่แบบนี้เขาเรียกว่าเลือกคุณนายให้ตัวเองต่างหาก”
นายแพทย์หนุ่มตอบกลับพลางส่งสายตาล้อเลียนมายังคนที่กำลังกล่าวถึง
“พวกนายก็รู้ว่าในแก๊งเราไม่มีใครมีความรักนอกจากนายอำเภอ แถมยังเป็นป๊อบปี้เลิฟอีกด้วย และก็เป็นคนเดียวในแก๊งอีกนั่นแหละที่อยากจะแต่งงานจนตัวสั่น”
ผู้กองหนุ่มเสริมขึ้นอีกคน เพื่อไม่ให้น้อยหน้าในเรื่องการแซวเพื่อนสนิท ส่งผลให้คนที่กำลังนั่งเก๊กหน้าขรึมต้องส่งเสียงดังลอดไรฟันออกมาปราม
“ถ้าพวกนายจะนินทาฉัน ก็กรุณาพูดให้เบาๆ หน่อย เพราะฉันไม่อยากไล่ถีบใครในห้องประชุมต่อหน้าทุกคน”
“ใครว่าพวกเรานินทากันล่ะเพื่อน เราพูดความจริงต่างหาก แต่ก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทั้งที่คู่หมั้นตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ยังทำเป็นนิ่งเฉยวางฟอร์มอยู่ได้ ถ้าเป็นฉันหน่อยก็ไม่ได้ จะเดินเข้าไปหาแล้วดึงมากอดจูบให้หายคิดถึงไปข้างหนึ่งเลย”
ประโยคสุดเกรียนนี้ภูมินทร์หัวหน้าเสือไฟ ผู้ชอบยุแหย่เพื่อนเล่นเป็นชีวิตจิตใจเป็นคนเอ่ย
“ไอ้ภู ถ้านายว่างมากก็แนะนำให้ไปดูลูกทีมตัวเองได้แล้ว และฝากคุมไอ้ฝรั่งหัวทองนั่นดีๆ อย่าให้มันมีโอกาสได้เข้าใกล้ว่าที่คุณนายของฉันแม้แต่ก้าวเดียว ไม่งั้นฉันจะสั่งงดส่งเสบียงให้ทีมนายเป็นทีมแรกเลย”
และคนถูกออกคำสั่งก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงล้อเลียนอีกตามเคย
“เห็นนิ่งๆ แบบนี้หึงเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ! รับทราบครับนายอำเภอ แล้วผมจะช่วยใช้งานศัตรูหัวใจของนายไม่ให้มีเวลาพักเลยครับ”
พูดจบสามหนุ่มจอมกวนก็หัวเราะออกมาเบาๆ พลางมองไปยังฝรั่งหัวทองที่ถูกกล่าวถึง ซึ่งได้ลงชื่อเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครทีมเดียวกับเสือไฟเป็นที่เรียบร้อย