ทั้งสามคนเดินลงมาจนถึงด้านล่าง ปวริชเดินนำเจ้านายตนเองออกไปก่อนเพื่อไปเปิดประตูให้ ร่างสูงสง่าเดินเข้ามานั่งแต่ไม่ยอมขยับไปชิดอีกฝั่งหนึ่งทำให้คนที่เดินตามมาคนสุดท้ายได้แต่มองหน้าเขาแบบไม่อยากจะเชื่อ
“ใจแคบ” พรพิชชาจัดให้อีกหนึ่งดอกก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปนั่งข้างคนขับ
ส่วนคนที่โดนด่าว่าใจแคบไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร เขาเพียงแค่ปรายหางตามองคนที่เดินไปนั่งด้านหน้านิดหน่อยก่อนจะดึงสายตาตัวเองกลับมาสนใจงานในไอแพด
กลับมาจากคุยงานเขาคงต้องคุยกับเธอให้เข้าใจ เส้นที่เขาขีดไว้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ควรข้ามมา ไม่สิ! เธอห้ามข้ามมาเด็ดขาด เขายอมรับว่าเขาก็เป็นผู้ชายอกสามศอก ทั้งฉลาดและหน้าตาดีไหนจะเงินทองที่ใช้ไปสิบชาติก็คงไม่หมด การจะมีผู้หญิงสักคนสองคนไว้ทำให้ตัวเองหายเหนื่อยล้า หายเบื่อบ้างคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขานึกเกรงใจครอบครัวเลยไม่พูดออกไปตรงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือผู้หญิงแบบนี้ ผู้หญิงที่เข้ามาจุ้นจ้านในชีวิตเขาเกินไป!
มือเรียวสวยกำไว้แน่นทั้งสองข้าง ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เธอเอาแต่มองเขาผ่านกระจกมองหลัง และไม่มีสักครั้งที่เขาเงยหน้าขึ้นมามอง สิ่งที่เธอทำลงไปวันนี้มันออกจะเกินไปหน่อยจริงๆ ที่พรวดพราดเข้าไปแบบนั้น ในใจลึกๆ ก็รู้สึกผิดอยากขอโทษ แต่ดูท่าทางหยิ่งๆ นั้นสิ คิดแล้วมันอยากจะยื่นมือไปข่วนหน้าหล่อๆ นั้นให้พรุนจนไม่กล้าไปนอนกับผู้หญิงที่ไหน คิดแล้วก็แอบสะใจอยู่คนเดียว
“คุณพายมองท่านประธานแล้วยิ้มทำไมครับ”
“คะ? พายยิ้มหรอคะ?” ทั้งที่พูดไปแบบนั้นหลักฐานก็เต็มตาทั้งสองคู่ที่กำลังมองอยู่
หางตาเฉี่ยวตวัดมองคนที่ปฏิเสธแต่หลักฐานตำตาเพียงนิด ก่อนจะสะบัดหน้าไปมองนอกหน้าต่างต่อ
“ครับ คุณพายมองท่านแล้วยิ้มคนเดียว” ผู้ช่วยหนุ่มยืนยันเสียงแน่น พรพิชชายกมือโบกไปมาทันที
“เปล่าหรอกค่ะ” สายตาจดจ้องไปที่กระจกมองหลัง จังหวะนั้นที่เขาก็หันหน้ามองมาที่เดียวกัน ถึงแม้จะแอบตกใจเพราะโดนจับได้สองต่อ คนซึนก็ยิ้มแก้เก้อให้คนด้านหลังไปหนึ่งที
ทั้งสามคนมาถึงที่หมายในช่วงบ่ายแก่ๆ ทันทีที่ลงรถคนที่ไม่เคยมาสถานที่แบบนี้แสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาจนสองหนุ่มโดยเฉพาะคนที่หงุดหงิดไม่ถูกชะตาเป็นทุนเดิม มองด้วยสายตาที่ใครก็เดาไม่ถูกว่าจริงๆ แล้วเขาคิดอะไรอยู่ แต่มันไม่ใช่สายตาที่มองเห็นความสวย น่ารัก สดใสแน่นอน!
ก็บอกว่าหงุดหงิด ไม่ถูกชะตา อยากบีบคอเล็กๆ นั้นให้แหลกคามือ!
“ไปเถอะครับท่านไปแล้ว” ผู้ช่วยหนุ่มขันอาสาเข้าไปขัดขวางความสุขของผู้หญิงนั้นก็คือการถ่ายรูปแล้วทำหน้าแปลกๆ
“ค่ะ” คนที่มัวแต่ตื่นเต้นกับสวนส้มขนาดใหญ่พยักหน้ารับแก้เขิน
“ท่านประธานและผมต้องเข้าไปหารือเรื่องงานสักพัก คุณพายอยู่คนเดียวได้ใช่ไหมครับ” ปวริชถามห่วงๆ เพราะคู่หมั้นเจ้านายก็ออกจะมีนิสัยคุณหนูๆ แต่ไม่รู้ระดับความวีนว่าอยู่ขั้นไหน ขืนทิ้งไว้ไม่บอกไม่กล่าวความซวยอาจตกมาถึงเขาได้ในภายหลัง
“ได้ค่ะ เชิญคุณปวริชไปทำงานเถอะค่ะ” แม้จะตอบเขาแต่ความสนใจกับอยู่ที่สวนส้มสุดลูกหูลูกตา เมื่อเห็นว่าเป็นไปในทางที่ดีผู้ช่วยหนุ่มเดินไปกำชับพนักงานดูแลสวนให้ดูแลคู่หมั้นเจ้านายให้ดีก่อนจะเดินตามเจ้านายเข้าไปในห้องประชุมเล็ก
“สวัสดีค่ะ ดิฉันได้รับคำสั่งจากคุณปวริชให้พาคุณหนูเที่ยวชมสวนของเราค่ะ” พนักงานแต่งตัวรัดกุมเดินเข้ามาทักทาย
“เขาอนุญาตให้ฉันเข้าไปชมสวนได้หรอคะ?” พรพิชชาว่าอย่างตื่นเต้น หูตาเป็นประกาย
“แน่นอนค่ะ เดิมทีที่นี้ก็เป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติได้มาชื่นชมธรรมชาติของสวนเรา”
“ดีจังเลยค่ะ งั้นเราไปกันเถอะ” เพราะสิ่งตื่นตาตื่นใจทำให้ลืมเรื่องราวที่กังวลมาตลอดทาง กลับไปค่อยขอโทษเขาก็ได้มั้ง ตอนนี้ขอถ่ายรูปไปอวดยัยพราวให้สมใจ
ยิ่งเดินเที่ยวชมไปยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เฟอร์เฟ็กมาก มีสถานที่จัดปิกนิกแล้วก็มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ทั้งมาเดินเล่นถ่ายรูป มาปิกนิกหรือมาเก็บผลส้มโดยถือตะกร้าตามราคาที่ตนเองเลือกพร้อมกรรไกรเข้ามาได้เลยตามนโยบายของสวน
“คุณนิ่มคะ แล้วสระน้ำตรงนั้นเข้าไปชมได้ไหม” เมื่อเห็นว่าคนที่มาด้วยเงียบไปนานไม่ตอบกลับมาเช่นทุกครั้ง ใบหน้าหวานอิ่มไปด้วยความสุขจึงหันกลับหลังไปมอง “อ้าว คลาดกันซะละ” กว่าจะรู้ตัวพรพิชชาก็รู้สึกว่าตัวเองเดินเข้ามาลึกมาก สวนส้มก็เป็นทางเดินเดียวกันหมด เป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตาและเธอก็เดินลัดเลาะมาตามต้นที่มีลูกดกๆ เลยไม่รู้ว่าตัวเองมาจากทางไหน
หลงทางอย่างไม่ต้องสงสัย!
ป่านนี้คงคุยงานเสร็จแล้วอีตานั่นยิ่งไม่ชอบเธอเข้ากระดูกดำ ไม่ใช่ปัดตูดหนีกลับแล้วทิ้งเธอไว้แล้วหรอกนะ
“ทำไมโง่อย่างนี้นะพระพาย!” ตำหนิตัวเองไปขาก็ตวัดเดินไปตามความจำอันน้อยนิด ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวเองมาทางนี้จริงๆ หรือเปล่า “โอ๊ย!” และส้นสูงสองนิ้วของเธอก็แผลงฤทธิ์
มารู้ว่าตัวเองเดินเข้ามาลึกมากๆ ก็ตอนที่เดินไปไหนก็ไม่เจอใครเลย จะหวังพึ่งโทรศัพท์ก็ถ่ายรูปจนแบตหมด ทั้งที่คนออกจะเยอะทำไมเดินไปตรงไหนก็ไม่มีใครเลย ยิ่งเดินไปนานเท่าไหร่ก็เหมือนจะลึกไปเรื่อยๆ เธอไม่ต่างจากคนหลงป่าเลยสักนิด
“ทำไงดีล่ะ” เงยหน้ามองท้องฟ้าก็เหมือนจะใกล้แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ใจแฟบไปแล้ว แต่ก็เหมือนสวรรค์จะเข้าข้างสุดท้ายเธอก็เดินมาสิ้นสุดไร่ส้ม แต่เหมือนนี้จะไม่ใช่ทางเข้ามา “ท้ายสวนหรอ” โชคดีที่มีบ้านคนอยู่ใจที่แฟบไปฟูขึ้นมาอีกครั้งใบหน้าสวยเหวอจนจะร้องไห้ รู้สึกดีใจจนน้ำตาคลอที่เจอบ้านคน
“ขะ ขอโทษนะคะพอดีฉันเป็นนักท่องเที่ยวแล้วเดินหลงท่างกับเพื่อนน่ะค่ะ” มือสองข้างประกบกันแนบไว้ที่อก ขาเรียวก้าวเข้าไปหาคนที่คิดว่าจะช่วยเธอได้
ความหวังของเธอคือคนที่มุดอยู่ใต้ท้องรถ ในใจภาวนาให้เขาไปส่งเธอที่ทางเข้ามา ไม่ก็บอกทาง หรือไม่ก็ให้ยืมโทรศัพท์มือถือ หัวใจที่หนักอึ้งเริ่มผ่อนคลายลงบ้างเมื่อเจอผู้คน พรพิชชาเริ่มสังเกตไปรอบๆ ตัวเอง บ้านท้ายสวนเป็นเพียงบ้านปูนชั้นเดียวขนาดเล็กที่เรียกว่าอยู่สองคนยังยาก สภาพค่อนข้างเก่ามาก ด้านหลังเป็นป่าทึบแสงจากดวงอาทิตย์ใกล้จะหายไปแล้ว มันค่อนข้างน่ากลัวมากเพราะรอบๆ เธอมีแต่ต้นไม้ทึบ ไม่มีไฟฟ้าด้วยซ้ำทำไมถึงมีคนอยู่ที่นี้นะ เมื่อไม่เห็นว่าคนที่เธอมาขอความช่วยเหลือตอบสนองสักทีเลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“คุณคะ..”
ครั้งนี้ดูเหมือนจะได้ยินเบาะรองสไลค์ออกมาจากใต้ท้องรถ ผู้ชายคนนั้นมองหน้าเธอไม่พูดอะไร แต่ทำไมรถคันนี้เหมือนเธอเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“อ้อ รถใช้งานของไร่น่ะครับ เด็กใหม่ขับไปชนมา”
‘ไม่ใช่! นี่มันรถที่ชนรถคุณธามในวันนั้น’
ดวงตากลมโตคลอน้ำใสๆ ค่อยๆ เลื่อนสายตามองหน้าคนพูดช้าๆ ขาเธอกำลังสั่น หัวใจเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง
“บอกฉันได้ไหมคะว่าฉันต้องกลับไปด้านหน้ายังไง” พยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่น
“จะว่าไปผมคุ้นหน้าคุณเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย” ผู้ชายคนนั้นทำหน้านึกคิด ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงไปหยิบอะไรสักอย่างเมื่อเห็นว่าเป็นแท่งเหล็กสันชาตญาณกำลังบอกให้ฉันวิ่ง ไวเท่าความคิดพรพิชชารีบสะบัดขาวิ่งเข้าไปทางสวนส้มอีกครั้ง และครั้งนี้มันยากกว่าตอนมาเพราะแสงอาทิตย์ได้ลับท้องฟ้าความมืดเข้ามาปกคลุมแทน
“หยุดนะ!!” เสียงฝีเท้าหนักๆ วิ่งตามมาไม่ห่าง
“อร้าย!” ร่างบางหลบแท่งเหล็กที่ฟาดมาได้อย่างหวุดหวิด
ในหัวสมองเธอสั่งให้วิ่ง แล้วก็วิ่ง เสียงตะโกนดังมาตามหลังติดๆ เธอไม่แม้แต่มีเวลาจะหยุดหายใจได้แต่วิ่งหลบมุมไปยังต้นส้ม แม้จะปวดข้อเท้าแค่ไหนก็บอกตัวให้อดทนไม่งั้นเธอตายแน่!
“มึงหยุดเดี่ยวนี้นะ”
“โถ่เว้ย!!” มองรองเท้าส้นสูงตัวเองไม่รู้จะขอบคุณหรือโทษมันทรงตัววิ่งก็ยากแต่เธอก็ไม่มีเวลาถอดมัน โชคดีคือมันไม่หัก
“กูบอกให้หยุด ทางที่มึงวิ่งไปคือป่ารกร้างมึงจะตายที่สวยๆ อย่างสวนส้มนี้มีคนพบศพ หรือจะตายในป่านั้นให้สัตว์ลากซากศพมึงไปกิน” ถึงจะวิ่งตามมาติดๆ แต่ยัยนั้นก็วิ่งไวขนาดเขาที่เป็นผู้ชายยังวิ่งตามไม่ทัน ไม่มีทางที่มันจะไม่เหนื่อยมั่นใจว่าต้องหลบในต้นส้มแถวๆ นี้แน่นอน “กูเจอมึงจะทุบให้สมองไหล ออกมาซะดีๆ!!!”
มือเล็กบีบข้อเท้าข้างที่เจ็บ พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเพื่อที่จะหลบอยู่หลังตอไม้ถูกเผามองดูสภาพรองเท้าตัวเองผ่านความมืดยังรู้ว่าสภาพมันดูไม่ได้เพราะฉะนั้นเธอต้องถอดมันทิ้ง
“อยู่ตรงนั้นใช่ไหม กูให้มึงออกมาดีๆ ถ้ากูไปเจอเองมึงจะได้ตายทรมานเป็นสิบเท่าแน่!”
“ฮึก!” พรพิชชายกมือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น
“ออกมา!!!!” ร่างบางสะดุ้งโหย่งเสียงตะโกนดังก้องในโสตประสาท ถ้าเธอไม่วิ่งตอนนี้เธอตายแน่นอน วินาทีนั้นเธอตัดสินใจออกจากหลังตอไม้ใหญ่สับขาวิ่งสุดแรงเกิด
“โถ่เว้ย! หยุดนะมึง” เสียงเท้าหนักๆ วิ่งไล่หลังมาติดๆ คนที่พยายามวิ่งหนีสุดแรงเกิดแทบจะเป็นลมล้มพับลงไป ถ้าเธอเป็นลมตอนนี้ฟื้นขึ้นมาอีกทีคงอยู่ปรโลกแล้ว
เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งยอมแพ้นะพระพาย แกต้องรอด!