“ท่านประธานคะ ดิฉันห้ามคุณเขาแล้วค่ะ” สายตาหวาดกลัวน้ำเสียงสั่นๆ ของพนักงานข้างกายดึงสติคนเห็นฉากเด็ดกลับมาได้
พรพิชชาไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมานอกจากจับจ้องสองคนด้านหน้าเขม็งแล้วแอบลูบแขนตัวเองเบาๆ สายตาอาฆาตที่ส่งมาเธอจะทำเป็นไม่เห็นมันแล้วกัน
“ไสหัวออกไปให้หมด!” ความต้องการยังอัดแน่น แต่เขาไม่มีอารมณ์ทำต่อทั้งนั้นสายตาเย็นๆ หันไปมองคู่ควงตัวเองก่อนจะกดเสียงต่ำ “ออกไป”
“แต่มิน… ค่ะๆ” สายตาเรียบนิ่ง น้ำเสียงเยือกเย็นแบบนี้คงถึงคราวซวยของผู้หญิงคนนั้น พอแต่งตัวค่อนข้างจะเรียบร้อยแล้วหันมาค้อมศีรษะเล็กน้อยให้ผู้ชายข้างๆ ถึงแม้จะเสียดายแต่หล่อนทำอะไรไม่ได้ “ฉันเตือนเธอแล้วนะ” ประโยคนี้เมื่อเดินผ่านคนที่ยืนกลางห้องจึงกัดฟันพูดออกไปให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ที่บ้านไม่สอนมารยาทหรอ” พอเลขาและคู่ควงออกไปแล้ว เขาจึงสาดวาจาร้ายกาจถามคู่หมั้นที่ตนเองไม่ต้องการออกไป
“แล้วที่บ้านคุณสอนให้ทำตัวแบบนี้ทั้งที่จะแต่งงานหรอคะ?” คนตัวเล็กสวนกลับไปทันควัน ตอนแลกเธอรู้สึกผิดนิดหน่อยเพราะมาทำลายบรรยากาศแบบนั้นของเขา แต่คิดไปคิดมาเธอเป็นคนที่เขากำลังจะแต่งงานด้วยมีตัวตนจับต้องได้ ไปมาหาสู่กันแต่เขาก็ยังกล้าทำแบบนั้นกับผู้หญิงคนอื่น
เลว!
“แต่งงาน?” หลังจากจัดการเสื้อผ้าตัวเองเสร็จร่างสูงก้าวไปยืนพิงโต๊ะทำงานกอดอกจ้องหน้าคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง “ผมต้องแต่งงานแน่ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่คุณแน่นอนที่ผมจะแต่งด้วย”
กับเธอแล้วมันทำไมห๊า!!!
“งั้นเรามาพนันกัน” มันจะมากเกินไปแล้วนะ
“ผมไม่มีเวลามาทำอะไรไร้สาระ ถ้าคุณมีเวลาจริงๆ ก็ไปถอนหมั้นให้ผม” เขาเดินมาใกล้เธอเรื่อยๆ จนตอนนี้ทั้งสองคนยืนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใครอยู่กลางห้องทำงานใหญ่
“ฉันชอบเอาชนะ” พรพิชชาว่าเสียงเรียบ มองสำรวจใบหน้าหล่อเหลาอย่างเสียดาย ‘ยิ่งคนแบบคุณฉันยิ่งอยากกำราบให้อยู่หมัด’ “หวังว่าคุณจะไม่หวั่นไหวกับผู้หญิงที่ตัวเองไล่ให้ไปถอนหมั้นหรอกนะ”
“อย่ามั่นใจตัวเองไปหน่อยเลยคุณ ผมอายุมากกว่าคุณกี่ปีประสบการณ์ผมยิ่งต้องเยอะกว่า เรื่องที่คุณกำลังจะทำผมไม่ตกอยู่ในแผนนั้นของคุณง่ายๆ หรอก” เหมือนจะเป็นคำเตือน แต่ในประโยคนั้นเขากำลังอวดเบ่งว่าไม่มีทางแพ้ผู้หญิงตรงหน้า
“ใช่คุณแก่”
“...” ยัยบ้า!
“นายกล้าพนันกับฉันหรือเปล่า สองเดือน” นิ้วเรียวสวยชูสองนิ้วขึ้นมาก่อนจะจิ้มเข้าที่อกแกร่ง “ฉันขอเวลาแค่สองเดือน”
“อย่าเล่นกับไฟ” เพราะเธออาจจะเสียสิ่งที่เธอรักแล้วไม่ได้อะไรกลับไปเลย สายตาดุดันจ้องหน้าเรียวเล็กไม่วางตา
“ฉันชอบอะไรที่มันปวดแสบปวดร้อนแบบนี้แหละค่ะ ถ้าไม่เข้าหาพ่อเสือจะได้ลูกเสือได้ยังไง!” พรพิชชาบากหน้าสู้ก้าวเท้าไปประชิดอกแกร่งอย่างอวดดี ในหัวเธอตอนนี้มีแต่คำว่าอยากกำราบผู้ชายตรงหน้า
“ผมเตือนคุณแล้ว” ใบหน้าสวยชักสีหน้า ทำไมวันนี้มีแต่คนพูดประโยคนี้กับเธอ “สองเดือนถ้าคุณทำให้ผมหวั่นไหวไม่ได้ ก็ไปขอถอนหมั้นและอย่าโผล่หน้ามาให้ผมเห็นอีก”
“ดีล” รอยยิ้มร้ายๆ ที่มักจะเห็นบนใบหน้าตัวร้ายในละครหลังข่าว ผู้หญิงตรงหน้ากำลังยิ้มแบบนั้นให้เขา
‘โอ๊ย หัวจะปวด’ หลังจากได้สร้างเรื่องให้ตัวเองเรียบร้อยแล้วคนที่ต้องมานั่งคิดไม่ตกก็คือเธอ ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนจะต้องทำยังไงให้ผู้ชายรัก
“แกมันปากปีจอ” พราวฟ้าหันมาดุเพื่อนไม่จริงจัง หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดเพื่อนเธอเองก็หัวร้อนไวไปหน่อย “แต่ฟังจากที่แกเล่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นแค่คู่ควง แบบพวกไฮโซคนรวยเขาชอบมีกัน” พรพิชชาพยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันพนันกับเขาไว้แล้ว และฉันก็ไม่อยากแพ้” เพราะตอนที่เอ่ยปากท้าทายเขาเธอมั่นใจเพราะหัวร้อนจริงๆ แต่พอมาคิดๆ แล้วตัวเองทำอะไรลงไปมันก็ไม่ทันแล้ว
“แกก็เสนอหน้าสวยๆ ของแกไปให้เขาเห็นทุกวัน อ่อนหวาน ซาบซ่า บอบบางแต่แข็งแกร่งแกเข้าใจป่ะ” กลยุทธ์วิธีจีบหนุ่มทำเอาพรพิชชาคิ้วกระตุก
“ไม่รู้จะเริ่มจีบจากตรงไหน ถ้าแกได้ยินที่อีตานั่นพูดนะฉันคิดว่าในปากเขาน่าจะมีฝูงหมาอยู่ในนั้น” เวลาสองเดือนเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอจะแพ้หรือชนะ ฉันไม่ได้ต้องการแค่ชนะอย่างเดียวฉันต้องการทำให้เขารักฉัน ถึงวันนั้นฉันนี้แหละจะขอถอนหมั้นแบบที่เขาไม่ต้องออกปากไล่
สำหรับพราวฟ้าเธอคิดว่ามันปกติของคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง คนที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีและมีอีโก้ที่สูงลิ่วมักจะมั่นใจในตัวเอง ยิ่งเกิดในครอบครัวที่มีฐานะยิ่งส่งเสริมความมั่นใจของคนคนนั้นได้ดี เหมือนกับใครบางคนที่เธอรู้จัก
“มาทำไม” นี้คือคำทักทายแรกที่เจอกัน ใบหน้าคมเข้มเรียบตึงขึ้นมาทันทีเมื่อกลับออกมาจากห้องประชุมแล้วเจอคู่หมั้นนั่งยิ้มแป้นรออยู่ในห้อง
“มาตามหาหัวใจ” พูดจบก็ยิ้มหวานๆ รับสายตาดุๆ อย่างไม่เกรงกลัว
“วันแรกที่เจอกันคุณยังทำท่าทางเหมือนไม่ชอบผมนักหนา” เขาพยายามจับสังเกตสีหน้าอีกคน แต่สิ่งที่เห็นก็มีแต่หน้าตาซื่อๆ ที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องราว
“คุณไม่มีสิทธิ์มาไล่ฉันเพราะวันนี้คุณปู่บอกให้ฉันมาเรียนงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยงานสามีในอนาคต” พูดไปก็อยากจะแหวะออกมาให้หมดไส้ คุณธามเลิกสนใจฉันก่อนจะหันไปคุยเรื่องงานกับผู้ช่วยหนุ่มแว่นหน้าตาดี
ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตรผิดกับเจ้านายที่ทำหน้ายักษ์ตลอดเวลา ระหว่างที่เขาสองคนคุยกันฉันที่เป็นส่วนเกินของห้องอยู่แล้วยิ่งกลายเป็นส่วนเกินเข้าไปอีก
“จะไปไหน” พรพิชชาเดินไปขว้าท่อนแขนแกร่งไว้ เมื่อเห็นเขาทำท่าจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับผู้ช่วย
ประธานหนุ่มหันมามองบริเวณที่โดนสัมผัสก่อนจะบอกด้วยสายตาว่าให้เอามือออกไปจากแขนเขา คนตัวเล็กทำตามโดยทันทีเหมือนว่าท่าไม่เลิกจับเขาจะเผามือเธอด้วยสายตา
“ไป ทำ งาน” เขาย้ำใส่หน้าอีกฝ่ายช้าๆ พร้อมกับแสดงท่าทางออกมาอย่างไม่ปกปิดว่ารำคาญ
“อ้อ รอแปปนึงนะคะ ไปกันค่ะ” ผู้ช่วยหนุ่มขยับยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเตรียมพร้อมของคู่หมั้นเจ้านาย ต่างกับอีกคนเมื่อเห็นเธอเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วกลับมายืนข้างๆ แทบจะสิงเขาอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกรำคาญไปอีก
“คุณพายครับ ผมแนะนำว่าอย่าไปเลยดีกว่านะครับ” ผู้ช่วยหนุ่มเตือนอย่างเป็นมิตร เพราะไม่คิดว่าสถานที่ที่เขากับท่านประธานจะไปนั้นคนตรงหน้าจะทนกับมันได้
“คุณปวริชใช่ไหมคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะฉันไหว” เมื่อเห็นรอยยิ้มแห่งความมั่นใจผู้ช่วยหนุ่มก็ไม่อยากขัด