4
เสียงหวานนุ่มราวกับนกไนติงเกลดังเล็ดลอดออกมาจากเสียงสรวลเสเฮฮาของหนุ่มๆ สาวๆ เลยวัยรุ่นมาเพียงไม่กี่ปีนับสิบคนนั่งคุยกันเสียงดังฟังชัด บางคนไม่พอใจยังส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง แต่กลับไม่ทำให้หนวกหูและรำคาญ ด้วยพวกเธอและเขาเหล่านั้น เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรก็จะหันมามองว่ามีใครจะต่อว่าต่อขานบ้างหรือเปล่า ก่อนจะเอ่ยคำขอโทษออกไป สิ่งที่ทำอยู่เรียกความสนใจจากหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยสัดส่วนชายหุ่นฝรั่งให้ต้องหันมอง
ชายหนุ่มกวาดสายตามองผ่านเลยไป ก่อนจะต้องย้อนกลับมาใหม่และหยุดอยู่ที่แม่สาวในชุดสีแดงเพลิงรัดรูปเน้นทรวดทรงอกเอวอวบอัด เรียกได้ว่าใครเห็นเป็นต้องเหลียวมองซ้ำและถูกตรึงเอาไว้ ซีกข้างของวงหน้านวลเปล่งปลั่งเป็นสีชมพูระเรื่อ มีปอยผมหยิกเป็นลอนเคลียคลอข้างแก้มไล่ลงมาถึงลำคอระหง เนินเนื้อส่วนที่อยู่นอกเหนือจากตัวเสื้อเป็นสีขาวอมชมพู
สวย...แวบแรกของคำพูดเมื่อแรกเห็นแล้วยังเหมือนหมุดตรึงสายตาเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไปทางใด ค่อยกวาดสายตาคมดุราวกับพญาเหยี่ยวไล่มองไปตามเรือนกายเพรียวบาง ทรวงอวบอัดนูนเด่นดันตัวเสื้อออกมา แล้วต้องกลืนน้ำลายลงคอกับความอวบใหญ่ซึ่งกำลังสะท้อนขึ้นและลงตามจังหวะการหายใจของผู้เป็นเจ้าของที่น่าจับต้อง มันคงจะเต็มไม้เต็มมือและดูท่าจะนุ่มถ้าหากได้จับต้อง
ชายหนุ่มอยากจะให้หญิงสาวหันหน้ามาทางเขาสักหน่อย อยากเห็นหน้าให้ชัดเจน ก่อนจะมีอะไรบางอย่างมาฉุกใจให้คิดถึงใครบางคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนเพราะความรู้สึกคุ้นตากับเสี้ยวหนึ่งของวงหน้านั้นอย่างประหลาด และเมื่อหญิงสาวหันหน้ามา...
กรามหนาขบกัดบดเบียดจนแก้มตอบนูนเด่นขึ้นมา พร้อมประกายในดวงตาแข็งกร้าวลุกโชนด้วยเพลิงไฟ
เวฬุกา พันธ์นุรักษ์!
“มีอะไรกระต่าย” หนึ่งในเพื่อนร่วมก๊วนที่นั่งฉลองการเรียนจบปริญญาเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของเพื่อนสาวเกิดอาการสะดุ้งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมหน้าตาที่เคยเริงร่าอยู่ก็กลับซีดเผือดลงอย่างกะทันหันด้วย
“ไม่รู้ซิ เหมือนกับถูกใครมองอยู่อย่างนั้นแหละ” ตอบกลับอย่างรู้ตัวดี ก็นะเธอเป็นคนสวยโดดเด่นอยู่แล้ว คงจะมีใครมองแบบว่า...ไม่อยากจะคิด แบบว่าคิดแล้วมันเซ็ง จิตตกไปด้วย เลยปล่อยเลยตามเลยใครจะคิดอะไรช่างหัว เอาแค่ว่าฉันไม่ไปสนใจก็พอแล้ว แต่คราวนี้มันผิดกัน ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังถูกคุกคาม
“แหม...ก็หล่อนมันสวยนี่ยะยัยกระต่าย ใครเห็นก็ต้องมองเป็นธรรมดา จะแปลกใจอะไรนักยะยายลูกคุณหนู”
“ไม่ใช่นะคือว่า...” เธอก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นอย่างไร ทั้งที่ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนกลัวอะไรง่ายๆ และยังเป็นคนสู้คนด้วย แต่กับการถูกมองในครั้งนี้จากทิศทางใดก็ไม่รู้ได้ ความรู้สึกมันบอกว่าไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ มันทำให้เธอออกจะหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
หากจะบอกว่าคิดไปเอง แต่ตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่งตัว หญิงสาวเหลียวมองอย่างช้าๆ หาที่มาที่ไป แล้วเพียงได้เห็นที่มา กลืนน้ำลายลงคอก็ยังรู้สึกติดขัดกับสายตาคมกริบราวกับมีดโกนที่บาดลึกเข้าไปในร่างกายจนถึงกับสะดุ้งเฮือก
ดวงตากลมโตใสแจ๋วเป็นประกายของคนกล้าเผชิญหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นเกรงแม้จะมีภัยร้ายอยู่ตรงหน้า สบกับดวงตาคมกริบราวกับพญาเหยี่ยวราวกับเปลวเพลิงไฟพร้อมจะเผาไหม้ทุกคนที่อยู่ใกล้อย่างไม่มีใครยอมหลบ
มองอะไรไอ้คนบ้า...เวฬุกาข่มความอายให้เปลี่ยนเป็นความโกรธถลึงตาเขียวใส่ไอ้คนไร้มารยาท ที่จ้องเอาๆ ด้วยสายตาราวกับแผดร้อนเหมือนเพลิงไฟเผาไหม้เธอให้เป็นผุยผง แต่บางคราวก็ทอดสายตาอ้อยอิ่ง ราวกับจะกลืนกินเธอไปจนหมดทั้งตัวอย่างนั้นแหละ
บ้าจริงเชียว...ใบหน้านวลผ่องเห่อแดงลามเลียลงไปถึงลำคอ ด้วยสะท้านไหวกับสายตาวามวาวเป็นประกายหวามเชื่อมและรอยยิ้มเต็มไปด้วยเสน่ห์ สายตาที่ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ ปฏิกิริยาในกายเวฬุกาเป็นไปโดยอัตโนมัติ
สองหนุ่มสาวยังคงสาดสายตาใส่กัน แม้ภายในใจจะมีอารมณ์อะไรก็ตามที แต่ชายหนุ่มก็สามารถข่มมันไว้จนลึกสุดของความรู้สึก ปรับเปลี่ยนสายตาร้อนแรงเป็นเปิดเปลือยความรู้สึกปรารถนาอันเร่าร้อนระคนออดอ้อนและอ่อนหวาน กวาดสายตาคมกริบหยุดบนริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสด ริมฝีปากหนาหยักผุดรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างมีเสน่ห์ ปลายลิ้นสากระคายยื่นออกมาไล้เลียริมฝีปาก
เวฬุกาถึงกับเข่าอ่อนสั่นสะท้านเยือกไปทั้งกาย เหมือนกับถูกห้อมล้อมด้วยกระไอเย็นจากกองหิมะจากขั้วโลกเหนือ ในหัวใจเต้นแรงและเร็วเหมือนกับปืนกล แม้จะล้อมรอบด้วยเพื่อนชายหลายคน ที่พยายามก้าวข้าวสะพานมาสานไมตรีด้วย แต่ไม่เคยมีใครทำให้เธอรู้สึกอย่างนี้เลยสักคนเดียว
ตึก...ตึก...เสียงก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากส่วนที่ตั้ง เวฬุกาได้แต่งง... ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง...ทำไมเพียงแค่ถูกอีกฝ่ายมองเธอถึงกับไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนกับถูกสะกดจิตอย่างนั้นแหละ
ปลายลิ้นเล็กๆ ยื่นออกมาไล้เลียริมฝีปากเบาๆ กับการจูบด้วยสายตาอันร้อนแรง ไฟร้อนผ่าวไหลพลุ่งพล่านมารวมกันอยู่ที่ดวงหน้าหวาน อยากจะถอนสายตากลับมา แต่ก็ไม่อาจทำได้ เหมือนกับถูกสายน้ำวนโอบล้อมรอบและดึงดูดให้หลงเข้าไปในเปลวเพลิงซึ่งเธอไม่เคยจะรู้จักและพานพบมาก่อน
สายตาคมกริบลากไล่จากการตรึงรั้งริมฝีปากอวบอิ่ม ไล่มองลงไปตามลำคอระหงและหยุดตรงเนินทรวงอวบอิ่มที่กำลังสะท้อนขึ้นและลง ปลดเปลื้องอาภรณ์หญิงสาวด้วยสายตา ปาดไล้ริมฝีปากหนาด้วยปลายลิ้นสากระคาย พร้อมขยับริมฝีปากเหมือนกับกำลังจูบซับอย่างดูดดื่มปลายยอดทับทิมนุ่มให้แข็งชันเป็นไตขึ้นมา
เวฬุกาสั่นสะท้านไหวเหมือนกับคนที่กำลังก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟที่ไม่ได้มีแต่ความร้อนอย่างเดียว ขบกัดกลีบปากอวบอิ่มจนห้อเลือด เพื่อไม่ให้เสียงแปลกๆ หลุดออกมาจากลำคอ ไม่สามารถถอนสายตาจากวงหน้าคร้ามแกร่งดุกระด้างแต่มีเสน่ห์เย้ายวน อีกทั้งสายตาที่มองทะลุผ่านเนื้อผ้านุ่มนิ่มเข้าไปถึงส่วนลึกภายในกายสาวได้เลย
“กระต่าย…กระต่าย!!”
“หือ...” เวฬุกาถอนสายตา เมื่อถูกเพื่อนเรียกและเขย่าจนตัวคลอน ดึงสติเธอให้กลับมาสู่ห้วงเวลาปัจจุบันกับความอายที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
“มะ...มีอะไร” คิ้วโก่งได้รูปเหมือนวงพระจันทร์เลิกขึ้นเอ่ยถามคนที่เขย่าอย่างขอบใจอยู่ในใจ
“แกเป็นอะไรกระต่าย ฉันเรียกตั้งหลายครั้งแล้วนะ ทำไมไม่ขาน แล้วมองอะไรอยู่น่ะ” คนเขย่าถามยาวและมองตามสายตาของเพื่อน แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลย ได้แต่ส่งคิ้วผูกเป็นโบถามไป
“ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร” ตอบเพื่อน แต่ยังเหลือบสายตาไปมองชายหนุ่มที่ทำให้เธอแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกจากปอดด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าตอนนี้เขาไม่สนใจเธอแล้ว แต่แวบหนึ่งก็อดรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับเสียดายในหัวใจจนต้องรีบดุตัวเอง
“ไม่มีอะไรหรอก คงจะเป็นเพราะเหนื่อยน่ะแล้วก็ง่วงด้วย แกก็รู้ว่าฉันช่วยพ่อทำงานแล้ว ช่วงนี้ใกล้จะมีงานเปิดตัวมันเลยยุ่งมากจนแทบไม่ได้หลับได้นอน เดี๋ยวฉันขอตัวไปล้างหน้าล้างตาหน่อยนะ จะได้สดชื่น” ไม่รอฟังว่าเพื่อนจะตอบว่าอะไรเวฬุกาก็รีบลุกขึ้นเดินลิ่วๆ ไปยังฝั่งซึ่งเป็นที่ตั้งห้องน้ำอยู่ โดยไม่รู้เลยว่าเพียงแค่เธอลุกขึ้น คนที่มองเธอเหมือนกับขนมหวานที่จะหยิบใส่ปากเคี้ยวกินให้อิ่มหนำก็ลุกขึ้นเดินเช่นกัน