5
รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมหนึ่งของเรียวปากหนา แม่สาวเพรียวบางตัวเล็กกว่าเขาเสียมากมาย แต่ดูท่าจะฤทธิ์ร้ายใช่หยอก อย่างนี้มันน่าหลอกมาเคี้ยวเล่น กระดูกคงกรุบกรอบน่าดู สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เป็นโอกาสดีของเขา เพราะแม้ในร้านอาหารจะมีผู้คนมากมาย ทว่าเส้นทางเดินหน้าห้องน้ำกลับไม่มีใครสักคน
ขาแข็งแกร่งก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถคว้าแขนเรียวยาวและกระตุกหญิงสาวให้ถลากลับมาชนเข้ากับอกกว้าง สอดแขนล่ำสันเข้าระหว่างเอว กระชับร่างโปร่งบางแนบชิดกายจนแทบไม่มีช่องว่างให้สายลมพัดผ่าน อีกมือยกขึ้นปิดปากอวบอิ่มซึ่งกำลังจะอ้าร้องขอความช่วยเหลือไว้อย่างรวดเร็วทันท่วงที
“อย่าร้องน่าสาวน้อย ก็สายตาเธอมันเชิญชวนให้ฉันรีบตามมานะ นี่ฉันก็ทำตามความต้องการของเธอแล้วไง” โน้มคอลงไปกระซิบเสียงแหบพร่าข้างใบหูเล็ก และอดไม่ได้ที่จะยั่วหยอกด้วยการส่งปลายลิ้นสากระคายกระเซ้าช่องหูนุ่มสลับกับริมฝีปากร้อนผ่าวขบกัดติ่งหู
‘อุ๊ย!!! บ้าหรือเปล่า เธอส่งสายตาเชิญชวนเขาให้เขาตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน บ้าหรือเปล่า’
ตากลมโตใสแจ๋วเบิกกว้าง จากความตื่นตระหนกในตอนแรกเปลี่ยนเป็นความกลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น พ่วงมาด้วยความโกรธที่ถูกยัดเยียดความรู้สึกอันน่าละอายให้ ทว่าเมื่อเห็นสายตาเรียกร้องจากอีกฝ่าย เรือนกายสั่นสะท้านไหวเหมือนกับมีสายลมเย็นเคลือบน้ำแข็งมาเกาะและปกคลุมร่างกาย กระดิกตัวก็ไม่ได้เมื่อถูกคีมเหล็กรัดจนกระดูกในกายแทบจะแตกแหลกเหลวจมหายไปในไออุ่นจนถึงกับร้อนที่ข่มกายเธอจนเหลือเล็กเท่ามด
“อือ...อือ...ฉันเปล่านะ” กว่าจะเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงหายไปได้และพยายามพูดเสียงดังแผ่วเบา แทบจะกลายเป็นเพียงแค่เสียงกระซิบและกระอึกกระอักดังอยู่ในลำคอเท่านั้น
เธอถูกไอ้บ้าห้าร้อยเอาเปรียบ...จมูกโด่งได้รูปกดลงบนแก้มนุ่มซ้ายขวา สลับจูบซับบนกลีบปากอวบอิ่มนุ่มจนฉ่ำใจถึงได้ยอมปล่อย แต่ก็ยังไม่คลายแขนใหญ่ที่รัดรอบเอวเล็กคอดกิ่ว
“จะพูดอะไรนะสาวน้อย” เขายังใจดีนะที่ยังคิดถามไถ่ ปลายนิ้วยาวลากไล้บนแก้มเนียนใสจนเห็นเส้นเลือดฝาดแดงระเรื่ออย่างน่ามอง ไล่ไปบนกลีบปากอวบอิ่มสั่นระริกนุ่มน่าสัมผัสเช่นกัน
“หืม...” ทอดเสียงถามยาวไม่ถึงกับนุ่มแต่ก็ไม่แข็งกระด้าง ดุนดันกายร่างโปร่งบางนุ่มนิ่มน่าสัมผัสไปเสียทั้งหมดทุกส่วนไปยังมุมหนึ่งซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ กับห้องน้ำนี่แหละ
แม้ร่างของเขาจะใหญ่และหนาจนสามารถบดบังร่างเพรียวกลมกลึงให้เหลือตัวเล็กเท่ามดได้ แต่ส่วนที่ยืนอยู่โล่งแจ้งจนเกินเหตุ ซึ่งถ้าขยับไปอีกนิดตรงจุดนั้นจะมีต้นไม้ประดับสามารถใช้บดบังสายตาและความสนใจของคนเดินผ่านไปมาเพื่อทำธุระส่วนตัวได้ แล้วก็ยังไม่กีดขวางเส้นทางจราจรของใครด้วย จะทำอะไรก็สบายใจหน่อย
ชายหนุ่มจับรั้งกายเพรียวบางกลมกลึงให้หันมาประจันหน้าด้วย หลังนิ้วยาวร้อนผ่าวไล้คลึงสันแก้ม ไล่ลงมาตามปลายคางมน คลึงเคล้นกลีบปากนุ่มซึ่งเบิกกว้างพอๆ ดวงตาคมกริบสีสนิมยิ้มใส่ดวงตากลมโตใสแจ๋วเพราะจำเขาได้
“ฮุน (คุณ)!!!!”
“ใช่ฉันเองสาวน้อย” ตอบรับเสียงพร่าแหบ ตรึงร่างโปร่งบางไว้กับผนังห้อง แต่เพราะหญิงสาวยังขัดขืนฝืนเอาไว้ สองขาแข็งแกร่งตรึงสองขาเรียว มือใหญ่ข้างหนึ่งจับสองแขนเรียวตรึงเหนือศีรษะ กวาดสายตาที่อัดแน่นด้วยประกายสีเพลิงร้อนแรงด้วยความปรารถนา
“ฮ่อยฮันฮะ (ปล่อยฉันนะ)!!”
“หือ...พูดอะไรนะ ฉันได้ยินไม่ถนัดเลย” ถามเสียงกลั้วหัวเราะใส่ตาเวฬุกา ก่อนพยักหน้ารับอย่างคนเสแสร้งเข้าใจ
“ให้ฉันปล่อยเธอใช่ไหม อืม...ปล่อยก็ได้นะ รแต่...” เว้นเสียงนุ่มทุ้มเอาไว้เล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้มีเวลาหายใจเข้าปอด โน้มใบหน้าคมคร้ามแกร่งลงไปประทับปากหนาร้อนผ่าวบนไหล่มน ขบกัดสายเสื้อเส้นเล็กๆ ให้เคลื่อนไปตกจากลาดไหล่กว้างก่อนจะเคลื่อนกลับประพรมเลาะเล็มจุมพิตร้อนผ่าวบนผิวเนื้อเนียนนุ่มทีละน้อยไปตามลำคอระหง จมูกโด่งได้รูปกดบนแก้มเนียนนุ่มเคลื่อนไปจนถึงใบหูเล็ก ขบกัดไม่ถึงกับหนักแต่ก็ไม่เบา
“ห้ามร้องส่งเสียงร้องนะ”
“ฮ่อย!!!” (ปล่อย) แทนที่จะตอบรับคำพูดอีกฝ่าย เวฬุกากลับบอกให้เขาปล่อยด้วยใจหวาดหวั่น แม้เธอจะดูเปรี้ยวและร้อนแรงสักเพียงใด แต่ก็ยังไม่ประสาเรื่องการใกล้ชิดกับผู้ชาย ยิ่งกับคนตรงหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเปรียบเป็นเสือหรือว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์ดี กระต่ายน้อยอย่างเธอก็ยิ่งจะเสียเปรียบในทุกทาง พยายามประคองสติเพื่อคิดหาหนทางเอาตัวรอดจากคนฉวยโอกาส
“ว่าไง จะร้องหรือเปล่า” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมตอบ แต่กลับพยายามเอาตัวรอดจากเงื้อมมือก็เลยก้มหน้าลงไปถามอีกครั้ง กลีบปากหนาขบกัดหลังหูนุ่ม “ว่าไงสาวน้อย”
สัมผัสร้อนๆ ที่เป่าพ่นหลังกกหู ทำให้เธอถึงกับขนลุกซู่ แล้วไหนจะสายตาวามวาวมองมาเหมือนจะเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกาย ทำเอาร้อนๆ หนาวๆ จำต้องพยักหน้าตอบรับอย่างเสียไม่ได้ แต่ภายในใจกลับเค้นแค้นเสียเต็มประดา ‘อย่าให้เธอหลุดรอดไปได้แล้วกัน จะทำให้สูญพันธุ์ไปเลย’
“อือ...” รับปากไปแต่กายก็ไม่ได้อยู่เฉยสักนิด พยายามดิ้นขลุกขลักให้หลุดออกจากคีมเหล็กที่รัดรอบเอวบางเสียจนแทบจะหักออกเป็นสองท่อน ไหนจะกายใหญ่บดเบียดอย่างแนบชิดนอกจากจะทำให้การหายใจเป็นไปได้อย่างลำบากยากเย็นแล้ว ใจก็หวั่นไหววาบหวามไปกับเพลิงไฟร้อนผ่าว เจ้าก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจกำลังเต้นกระหน่ำรัวเร็วราวกับกลองเพลไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่เลย
‘ทำไมถึงได้เกิดอาการแปลกๆ ไหววูบวาบกับคนที่ลวนลามด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ให้ตายซิ’
“ฮ่อยฮั้นฮะ!!!” (ปล่อยฉันนะ) บิดสองมือจากมือหนาร้อนรัดจนแขนแทบจะหักเป็นท่อนๆ ดวงตากลมโตเป็นประกายเว้าวอนขอร้อง แพขนตายาวงอนกะพริบปริบๆ ให้อย่างที่คิดว่าคนถูกมองจะรู้สึกสงสารและรีบปล่อย แต่เวฬุกาไม่รู้เลยว่ายิ่งเธอทำอย่างนั้นชายหนุ่มกลับยิ่งปรารถนาอยากลิ้มรสผิวกายหวานนุ่มมากยิ่งขึ้น
“ได้ซิ” ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มซึ่งผุดขึ้นบนเรียวปากหนาด้านหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนฝ่ามือออกจากกลีบปากนุ่ม
เพียงแค่รับรู้ว่าปากเป็นอิสระ เวฬุกาก็อ้าร้องขอความช่วยเหลือทว่า...
“กะ...” เสียงที่เปล่งร้องออกไปกลับเลือนหายลงไปในลำคอและเป็นเพียงเสียงกระอึกกระอักกับดวงตากลมโตใสแจ๋วเบิกกว้างเกือบจะเท่าไข่ห่าน เพราะริมฝีปากหนาร้อนทาบทับลงมาอย่างแม่นยำ หัวใจสาวเต้นตึกตักโลดแล่นไปตามท่วงทำนองดนตรีเพลงสายปรารถนาที่คนร่างหนาใหญ่กว่าเริ่มต้นบรรเลงด้วยการบดคลึงขบกัดกลีบปากอวบอิ่มบนล่างสลับกันไป
“ก็เตือนแล้วว่าอย่าร้อง ไม่เชื่อเองนี่นาหนูน้อย” พูดกลั้วหัวเราะแนบชิดริมฝีปากอิ่มนุ่ม ขบเม้มคลึงเคล้นไปทั่วกลีบปากอวบอิ่มนุ่ม ปลายลิ้นสากระคายลากไล้สอดแทรกแยกเข้าไปเลาะเล็มไรฟันขาวซึ่งพยายามขบกัดกันไม่ให้เขาล่วงล้ำเข้าไปภายใน เสียงหัวเราะหึหึดังจากลำคอใหญ่ มือข้างที่ว่างเริ่มเคลื่อนไหวจากลาดไหล่กว้าง ลูบไล้เวียนวนลงมาทีละน้อยตามผิวกายเนียนนุ่มประดุจใยไหม ซอกซอนลากไล้ตามสายเสื้อป่ายสะบัดไปคลึงเคล้นเรือนกายเต่งตึง ก่อกองไฟผุดขึ้นบนกายสาวอย่างไม่รีบร้อน
“ฉันจะลงโทษคนไม่เชื่อฟังยังไงดีล่ะ?”
น้ำเสียงเข้มดุที่ดังเข้าหูทำให้เวฬุกาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ซุกซ่อนความตื่นกลัวราวกับกระต่ายติดแร้วนายพรานเอาไว้ไม่มิด
“อือ...” ‘ไม่นะปล่อย’ ได้แต่ส่งเสียงอือๆ อาๆ ส่ายหน้าหนี
“เอาอย่างนี้ท่าจะดีเนอะ” ริมฝีปากหนาทาบทับตามติดและบดคลึงด้วยความหนักหน่วงรุนแรงขึ้น