8
“ป่านนี้เพื่อนเธอคงจะสงสัยแล้วนะกระต่าย หายไปไหนนานจังเลย” กระซิบเสียงแหบพร่า ริมฝีปากหนาขบกัดหลังหูสลับสอดแทรกปลายลิ้นในช่องหูเล็ก มือใหญ่โอบรัดรอบกายนุ่มนิ่มกลมกลึง ลากไล้จับต้องไปทั่วกายกลมกลึงอย่างไม่ยอมหยุดนิ่ง
“อ๋อ...อย่าลืมเข้าห้องน้ำแล้วดูตัวเองก่อนนะกระต่ายน้อย เพราะว่าสภาพของเธอในตอนนี้นะ...”
ดวงตาคมกริบสีสนิมไล่มองจากริมฝีปากอวบอิ่มเป็นสีแดงสด ลงไปถึงสองก้อนเนื้อที่ไหวกระเพื่อมอย่างน่ามองที่สุด เรื่อยลงไปถึงเนินดอกไม้สาว ถึงจะมีผ้าเนื้อนิ่มบางเบาปกปิดอยู่ แต่เพราะความที่ส่วนนั้นมีธารน้ำแห่งความปรารถนาเกาะซึมอยู่ จนเขากระหายอยากลิ้มลองรสชาติดอกไม้แรกแย้มผลิบานนี้เหลือเกิน จนต้องรีบละสายตาคมกริบขึ้นมามองทรวงอกอวบอิ่มแทน แล้วเขาก็ไม่มองมันเปล่าๆ ด้วย ฝ่ามือใหญ่ช้อนเต้าใหญ่อวบอิ่ม ลากไล้ปลายนิ้วเวียนวนรอบป้านบัวครัดเครียด
“เพื่อนเธอมองออกแล้วเดาออกแน่เลย ว่าเธอหายไปมีอะไรกับใครที่ไหนก็ไม่รู้มา”
คำพูดดูถูกเหยียดหยามจากอีกฝ่ายทำให้เวฬุกาที่หลงระเริงในกองไฟพิศวาสสามารถดึงสติกลับคืนมาได้อย่างเร็ว แม้กายจะยังอ่อนระทวยแต่เธอก็เร่งฝืนมัน สองมือเล็กยกขึ้นปัดมือใหญ่และดันกายแข็งแกร่งให้ออกห่าง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมง่ายๆ
‘ไอ้บ้านี่เป็นใคร มาทำกับเธออย่างกับผู้หญิงข้างถนน แล้วยังจะมาดูถูกเหยียดหยามกันอีก’
ริมฝีปากอวบอิ่มขบกัดจนแทบจะห้อเลือด แก้มนุ่มแดงปลั่งไม่ใช่ด้วยความอาย แต่เป็นความเดือดดาลที่พุ่งทะยานขึ้นราวกับยานอวกาศพุ่งจากพื้นดิน พอๆ กับประกายในดวงตากลมโตแดงจัดจ้านวาวโรจน์ อยากตบหน้ามันสักฉาด แต่รู้ดีว่าเธอนั้นยังเสียเปรียบอยู่ ถ้าขืนทำสิ่งใดไป รังแต่จะทำให้ตัวเองนั้นเพลี่ยงพล้ำถูกเอาเปรียบมากกว่าที่เป็นอยู่
“ปล่อย!!!!”
“หืม...อะไรนะ” ได้ยินชัดๆ เต็มสองหูนั่นแหละ แต่ว่าอยากจะทำไขสือ อยากดูหน้าว่าเวฬุกาจะแก้เกมนี้ยังไง “ฉันได้ยินไม่ชัด”
แต่น้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามหลุดออกมาจากคนฉวยโอกาส ทำให้อารมณ์ที่สะกดกลั้นเอาไว้แทบไม่มีเหลือ มือเล็กยกขึ้นสูงและเกือบจะฟาดลงบนวงหน้าคมเข้ม แข็งกระด้างและดุกร้าว ให้ไอ้คนปากเสียเหมือนกับเพาะเลี้ยงสุนัขไว้เป็นฟาร์มต้องเจ็บ แต่ต้องหยุดชะงักเพราะน้ำเสียงที่จะว่ารื่นเริงก็ไม่ใช่จะเกรี้ยวกราดก็ไม่เชิง
“ถ้าตบฉันอีกครั้งนะกระต่ายน้อย ไอ้ที่เกิดเมื่อครู่จะกลับมาอีก และคราวนี้ฉันไม่รับร้องด้วยว่าจะหยุดตัวเองให้ไม่นอนกับเธอที่ตรงนี้ได้หรือเปล่า” พูดทั้งหน้าตาและน้ำเสียงไร้อารมณ์ แต่พร้อมเอาจริงทุกคำที่เปล่งออกไป
รอยยิ้มหยามหยันผุดขึ้นบนหน้าคร้าม เบะหน้าอย่างเอือมระอา ‘ผู้หญิงไม่ชอบใจไม่พอใจ ถ้าไม่กรีดร้องเหมือนคนบ้าก็เงื้อมือขึ้นตบ’
“ไอ้...ไอ้คนบ้า ไอ้คนโรคจิต” ไม่รู้ว่าจะด่าหรือเอาคืนไอ้ผู้ชายบ้าๆ ตรงหน้าไงดี ตบไปตัวเธอก็มีแต่เสียทีพลาดท่าให้ลวนลามอีก แต่ครั้นไม่ทำอะไรเลยมันก็เจ็บใจที่ถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว กายโปร่งบางสั่นเทิ้มด้วยความหงุดหงิด โกรธกรุ่นอัดแน่นอยู่ในทรวง จนน้ำตาเอ่อล้นคลอหน่วยตาด้วยความอึดอัด กลีบปากอวบอิ่มขบกัดเข้าหากัน เพราะรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าไอ้โรคจิตตรงหน้าพูดจริงทำจริง เธอก็ดันไม่สามารถรับมือกับไอ้อารมณ์บ้าๆ ที่ลามเลียอยู่ทั่วร่างได้
“แหม...ตอนนี้ละพูดไม่เพราะเลย แต่เมื่อกี้นะกลับอ้อนวอนให้ทำอะไรก็ได้ ผู้หญิงนี่เปลี่ยนอารมณ์เร็วจังเลยนะ”
ประกายในดวงตาคมกริบสีสนิมจะเป็นประกายเหมือนยิ้ม แต่ถ้ามองให้ชัดเจนมันคือความร้อนแรงของพายุอารมณ์แห่งความโกรธและแค้นที่มีต่อคนในตระกูลพันธ์นุรักษ์ ชายหนุ่มบอกได้เลยว่าไม่ใครก็ใครก็ตายกันไปข้างหนึ่ง แล้วเขาก็จะทำทุกทางให้ไอ้ผู้ชายคนนั้น...เพทาย พันธ์นุรักษ์ เจ็บจนกระอักเลือดและตายอย่างทรมานที่สุด ให้สาสมกับที่ทำกับครอบครัวของเขาไว้
“แต่ไม่เป็นไร ถือว่าอนุโลมกันได้ เพราะเธอดันหวานและเร่าร้อน แล้วก็ทำให้ฉันพอใจ” สองมือใหญ่สอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง รอยยิ้มหยามเหยียดผุดขึ้นบนวงหน้าคร้ามแกร่งกระด้าง นัยน์ตาสีสนิมกวาดมองไปทั่วเรือนกายกลมกลึงอย่างโลมเลีย
“เสียดายนะที่ฉันได้แค่แตะต้อง ไม่ได้เห็นร่างเธอชัดๆ กระต่ายน้อย แต่ไม่เป็นไร คราวหน้าฉันจะทำมันทั้งคู่ดีไหมสาวน้อย แล้วฉันก็คิดว่าไม่นานนี้ด้วยที่ฉันจะได้ทำอย่างนั้น”
“ไอ้...ไอ้...ไอ้บ้า ไม่มีทางที่ฉันจะให้แกทำอย่างนั้นกับฉันอีก ไอ้...ไอ้ถ่อยสถุล อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้แกทำอย่างนั้นอีกนะ ไอ้...ไอ้คนบ้า...”
เวฬุกายืนอาละวาดฟาดงวงฟาดงาอยู่คนเดียว ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด มองตามแผ่นหลังไอ้โรคจิตเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะที่เป็นเหมือนกับปีศาจร้ายแทรกซึมเข้าไปเกาะอยู่ในสมองและหัวใจ ได้แต่ภาวนาว่าวลีสุดท้ายที่ชายหนุ่มพูดออกมาจะไม่มีทางเป็นจริงๆ
ใช่...มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอจะเข้าพิธีวิวาห์กับชายหนุ่มนักธุรกิจคลื่นลูกใหม่มาแรง อติคุปต์ เวชชาญกิจ
เชื่อว่าอติคุปต์จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรเธอได้เป็นแน่ คิดได้แบบนั้นเวฬุการู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักอีกฝ่ายเหมือนกับคนรักที่พร้อมจะร่วมชีวิตไปจนแก่เฒ่า แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เกลียดเขา ด้วยอีกฝ่ายทำตัวเป็นเพื่อนและพี่ ทำให้สนิทสนมจนกล้าพูดคุยได้ทุกเรื่อง
“นั่นใช่ไหมพี่ลูกแก้ว ผู้ชายคนนั้นใช่ไหม” การะเกดเอ่ยถามพี่สาว รีบเก็บมือเก็บไม้ที่ยกขึ้นชี้ให้กลับเข้าที่เข้าทาง และเปลี่ยนเป็นการใช้ใบหน้านวลผ่องและริมฝีปากนุ่มบุ้ยใบ้ตามไปแทนอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจว่าชายคนที่พี่สาวจำต้องใช้เสน่ห์มารยาหญิงยั่วยวน คือชายหนุ่มคนที่กำลังให้การต้อนรับนางแบบสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นที่กำลังได้รับความสนใจจากหนุ่มๆ หลายคน เพราะความที่เธอคนนั้นหุ่นสะบึม อวบอิ่มไปด้วยเนื้อนมไข่ เอ่อ...เห็นแล้วต้องยอมรับแหละว่า มันน่าพาขึ้นเตียง
“อือ...ใช่ ลูกเกดถามทำไม” แก้วกาญจนาถามกลับอย่างไร้อารมณ์ ทอดสายตามองไปยังผู้ชายร่างสูงใหญ่ราวกับหมีตัวใหญ่ยักษ์อย่างคนกำลังคิดหนัก แค่ลักษณะรูปกายภายนอกดูสมาร์ต เข้มแข็งและห้าวหาญ แม้หน้าตาจะดูเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายสิ่งใด แต่ก็ออกเค้าดูดีมีเสน่ห์จนเธอกลัวว่าหัวใจที่กำลังอินเลิฟอยู่กับแฟนหนุ่มจะไขว้เขวเผลอตัวไปรักคนไม่ควรจะรักแล้วมันจะแย่เอา ผ่อนลมหายใจออกจากปอดแรงๆ ด้วยความอึดอัด
“พี่ลูกแก้วจะเริ่มทำตามที่คุณสั่งเมื่อไหร่” ถามกลับไปไม่ใช่เพราะอยากรู้ แต่กำลังคิดจะทำอะไรสักอย่างเป็นการป้องกันพี่สาวเอาไว้ก่อน ดีกว่าวัวหายแล้วมาล้อมคอกภายหลัง ไม่ทันกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้วไม่มีวันกลับคืน กลับกลายเป็นความเสียใจที่ยากจะถอน
การะเกดถอนใจอย่างหนักอก คุณคิดยังไงนะ ถึงได้ให้แก้วกาญจนาเอาตัวไปล่อเสือล่อตะเข้ ไม่กลัวมันจะจับหักคอกินเสียหรือไง แค่มองไกลๆ เธอก็รับรู้ถึงรัศมีอันน่ากลัวและเสน่ห์อันเหลือล้น แล้วพี่สาวที่แสนจะอ่อนไหวไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้ชายหรือจะเอาตัวรอดจากเสือร้ายที่หมายขย้ำแก้วใสได้น่ะ บ้าจริงๆ
“พี่ลูกแก้ว...พี่ลูกแก้วคะ” ถามครั้งแรกไม่มีเสียงตอบกลับมา ร้องเรียกซ้ำก็ยังเงียบเหมือนเป่าสาก จนต้องเรียกซ้ำและยื่นมือไปจับแขนเล็กเรียวเขย่าเบาๆ คนที่ถูกถามถึงได้รู้สึกตัว
“เป็นอะไรไปน่ะพี่ลูกแก้ว มีอะไรหรือเปล่า” ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอนมองอย่างจับผิดและคาดคั้น พร้อมกับหงุดหงิด เมื่อคนถูกถามเอาแต่หลบซ่อนหน้าไม่ยอมสบตาด้วย