บทที่ 1

1163 Words
เป็นเวลาเกือบปีกว่าแล้วที่สองป้าหลานย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันที่นี่ ด้วยความช่วยเหลือจากคุณสุวรรณและคุณประพลทำให้นางมาลีสามารถเปลี่ยนพื้นที่โล่งๆ บริเวณรอบบ้านให้กลายมาเป็นสวนกล้วยไม้เล็กๆ ตามที่ตั้งใจได้สำเร็จ เท่านั้นยังไม่พอ ทั้งสองสามีภรรยายังคอยหาลูกค้ามาให้กันอยู่เรื่อยๆ ทำให้นางกับหลานมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมมาก   ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อเหมือนอย่างที่แล้วมา ในส่วนของภัคจิรานั้นก็กลับมาเป็นเด็กน้อยที่ร่าเริงสดใสได้สำเร็จด้วยการช่วยเหลือของพี่ชายทั้งสองคนที่ผลัดกันมาเล่นและคอยปกป้องเธอจากเด็กเกเรรอบๆ บ้าน แต่เหมือนจะมีเพียงคนเดียวที่ทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นไหวได้ทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ คนเดียวที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่น้อยยอมเมื่อเขาชายตามอง “พี่เมฆขารอน้องภัคด้วยสิคะ” เสียงหวานร้องเรียกคนที่กำลังเดินกลับไปที่รถจักรยานคู่ใจหลังจากที่ปั่นมันมาหาเพื่อเอาขนมที่มารดาของเขาเพิ่งทำเสร็จมาให้ลองชิม ที่จริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของพี่ชายเขาที่ดูเหมือนจะชอบภัคจิรามากเหลือเกิน แต่เพราะวันนี้พี่น่านไม่สบาย เขาจึงต้องรับภาระนี้แทนทั้งๆ ที่ความจริงแล้วอยากอยู่บ้านเล่นเกมมากกว่า “ฝนจะตกแล้วพี่ต้องรีบกลับ ภัคมีอะไรรึเปล่า” ภัคจิราพยักหน้าก่อนจะยื่นลูกชุบที่เธอและผู้เป็นป้าเพิ่งทำเสร็จให้คนตรงหน้าไป เธอชอบพี่เมฆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ชอบเขามากมายขนาดนี้ แต่ทุกครั้งที่ได้เจอเขาเธอมีความสุข มันคือความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน ต่างจากพี่น่านที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยเพราะอีกฝ่ายชอบปกป้อง   นั่นทำให้รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้มาเจอทั้งคู่ “ภัคให้ค่ะ มีของพี่น่านด้วยนะคะ ภัคทำเองค่ะ” “ขอบใจนะ พี่คงต้องกลับก่อน ภัคเองก็เข้าบ้านเถอะฝนใกล้จะตกแล้วประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” หนนี้เด็กสาวไม่ดื้อ ยอมเชื่อฟังคำสั่งของพี่ชายคนโปรดแต่โดยดี จนเห็นว่าเขาปั่นจักรยานออกไปไกลถึงได้ตัดสินใจหันกลับมามองอีกครั้ง เฝ้ารอจนแน่ใจว่าเขาถึงบ้านแล้วถึงได้ยอมเข้าบ้านของตัวเองบ้าง จากนั้นก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่กับการตั้งใจอ่านหนังสือเรียนของตัวเองต่อเพราะหวังจะคว้าที่หนึ่งมาให้คุณป้าได้ชื่นใจ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเปลี่ยนมาเป็นหลายสิบปี เด็กทั้งสามก็เติบโตขึ้นในขณะที่พวกผู้ใหญ่ก็แก่ตัวลงไปทุกวัน จนกระทั่งเมื่ออายุครบสิบแปดคุณประพลก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งลำไส้ แน่นอนว่าการจากไปของผู้เป็นพ่อส่งผลกับครอบครัวได้อย่างมากมายมหาศาล แม้ว่าเงินทองที่ท่านเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตจะไม่ได้ทำให้ครอบครัวที่เหลืออยู่ต้องพากันลำบาก แต่สวนกุหลาบแห่งนี้ก็ต้องมีคนสานต่อ ซึ่งภาระหน้าที่นั้นตกเป็นของน่านฟ้าทันทีเพราะเป็นลูกชายคนโต อีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญให้เรื่องนี้มากกว่าคนเป็นน้องที่ร่ำร้องอยากจะเข้ามหาลัยที่กรุงเทพเสียให้ได้ เพราะอยากจะไปลองใช้ชีวิตที่ไม่มีกรอบดูบ้าง “แม่ไม่เห็นด้วยเลยตาเมฆ ทำไมเราจะต้องไปเรียนไกลบ้านเราขนาดนั้นด้วย มหาวิทยาลัยดีๆ แถวบ้านเราก็มีออกมาก ดูอย่างพี่น่านเขาสิ ยังไม่คิดจะทิ้งบ้านทิ้งไร่ไปไหน” เหนือเมฆไม่ได้โกรธในสิ่งที่มารดาพูด เพราะเขารู้ว่าทั้งหมดที่ท่านพูดก็เพราะเป็นห่วง แต่เหมือนแม่จะคิดผิดไปอย่าง สาเหตุที่พี่น่านเลือกที่จะเข้ามหาวิทยาลัยแถวบ้านไม่ใช่เพราะอะไรเลยนอกเสียจากไม่อยากอยู่ห่างน้องน้อยที่พี่ชายของเขา    ทั้งรักทั้งห่วงอย่างกับอะไรดีต่างหาก “แต่แม่ครับ ผมอยากลองไปใช้ชีวิตดูบ้าง แม่อนุญาตให้ผมไปเถอะนะครับ ผมสัญญาว่าจะรีบเรียนให้จบแล้วกลับมาช่วยพี่น่านดูแลสวนกุหลาบของเราอย่างที่พ่อกับแม่ต้องการ นะครับแม่ นะครับ” น่านฟ้าได้แต่มองภาพน้องชายที่กำลังออดอ้อนมารดาอย่างขำขัน  ด้วยรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครในบ้านที่ขัดใจเหนือเมฆได้สักคน โดยเฉพาะมารดาของเขาเอง “เอาไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกทีที่บ้านก็แล้วกันนะ นี่พระก็ใกล้จะสวดแล้วรีบออกไปช่วยกันรับแขกดีกว่า” สองหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะช่วยกันประคองมารดาออกไปด้านนอกศาลาเพื่อรับแขกและเอ่ยขอบคุณทุกคน ที่สู้อุตส่าห์เดินทางมาร่วมแสดงความเสียใจ            ภัคจิราจ้องมองเหนือเมฆที่กำลังยืนรับแขกอยู่ด้วยความสงสารจับใจ เธอย่อมรู้ดีว่าการสูญเสียคนเป็นที่รักมันเจ็บปวดแค่ไหนเพราะเธอเองก็เคยผ่านเรื่องราวเชกเช่นนี้มาก่อน คิดเช่นนั้นสองเท้าน้อยๆ จึงเดินเข้าไปหา หวังสักนิดว่าการมาของเธอจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็อยากให้เขารู้ว่าเธอรู้สึกเสียใจกับเขาจริงๆ            “พี่เมฆคะ” เสียงของคนที่บางครั้งก็ชอบตามติดชีวิตราวกับเงาตามตัวที่ดังขึ้นทำให้เหนือเมฆรู้สึกเบื่อที่จะต้องส่งยิ้มอบอุ่นให้อีกฝ่าย อันที่จริงแล้วภัคจิราก็น่ารักดีอยู่หรอกถ้าเกิดตัดความน่ารำคาญในบางครั้งออกไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะยังไงสำหรับเขาแล้วเธอก็เป็นได้แค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น  ไม่มีทางที่เขาจะมองเป็นอย่างอื่น            “ครับ”            “ภัคเสียใจด้วยนะคะ พี่เมฆไม่เป็นไรนะคะ” คนถูกถามพยักหน้ารับเบาๆ แทนคำตอบ หากถามว่าเป็นอะไรไหมคำตอบของเขาและครอบครัวก็คงจะไม่ ด้วยรู้แก่ใจกันดีนับตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าบิดาป่วยเป็นโรคที่น้อยคนนักจะรักษาให้หายได้ พ่อมักบอกเสมอว่าชีวิตคนเราสุดท้ายแล้วมันก็มีแค่นี้ สักวันความตายก็ต้องมาถึง ไม่มีใครหนีพ้น ทุกคนพอจะทำใจเอาไว้อยู่บ้างโดยเฉพาะมารดาที่แทบไม่มีน้ำตาให้ใครได้เห็นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วในตอนนี้ท่านคงเป็นคนที่เจ็บปวดทรมานมากกว่าใคร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD