“ร้องไห้ทำไมครับน้องกิ่ง”
“กิ่ง... กิ่งฝันว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันค่ะ แล้ว... คุณพ่อก็ไปกับผู้หญิงคนอื่น...”
เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้น และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาสะท้อนใจเป็นที่สุด
แม้จะรู้ความจริงทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจจะบอกหรือพูดอะไรออกไปได้
“ไม่มีอะไรหรอกครับคนเก่ง ก็แค่ฝันร้ายเท่านั้นเองครับ”
เด็กน้อยวัยเพียงประถมศึกษาปีที่สองส่ายหน้าไปมา และยังคงแสดงความหวาดกลัว
“แต่กิ่งฝันจริงๆ นะคะคุณอา”
“มันก็แค่ความฝันนะครับ ลืมมันเถอะครับ มาเดี๋ยวอาจะพาน้องกิ่งไปส่งที่ห้องนอนนะครับ”
เด็กน้อยส่ายหน้าไปมา
“กิ่งอยากไปนอนกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ คุณอา”
หัสวีร์นิ่งอึ้งไป และพยายามโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ
“อย่าไปกวนคุณพ่อกับคุณแม่เลยครับ นอนนี้ทั้งสองคนน่าจะนอนหลับกันแล้ว
“ยังหรอกค่ะ เมื่อกี้กิ่งยังได้ยินเสียงคุณพ่อกับคุณแม่ตะโกนใส่กันอยู่เลย”
หัสวีร์อึ้งไปพูดไม่ออกอีกครั้ง ก่อนจะตั้งสติและยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กของหลานสาวเบาๆ
“ก็ได้ครับ งั้นอาจะพาไปนะครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณอา”
หัสวีร์ฝืนยิ้ม มองหลานสาวอย่างเวทนาเป็นที่สุด เขาอุ้มร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนของพี่ชายและพี่สะใภ้ เมื่อมาถึงก็ยกมือขึ้นเคาะประตูห้อง และส่งเสียงเรียก
“พี่ทศครับ น้องกิ่งอยากจะมานอนด้วยน่ะครับ”
สักพักทศวัฒน์ในชุดนอนก็เปิดประตูออกมา และมองเขาอย่างต้องการคำตอบ
“คือน้องกิ่งฝันร้ายก็เลยตกใจตื่นน่ะครับ และก็วิ่งมาหาผมที่กำลังจะไปนอนพอดี และก็บอกว่าอยากจะนอนกับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งผมก็พามาครับ...” หัสวีร์อธิบายเป็นฉากๆ
“คุณพ่อขา... ให้น้องกิ่งนอนด้วยคนนะคะ”
ทศวัฒน์มีทีท่าลังเลเล็กน้อย และหันกลับไปมองจริยาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างชั่งใจ แต่พอลูกสาวรบเร้ามากขึ้นก็ตอบตกลง
“ได้สิครับคนเก่ง มาครับ มานอนด้วยกัน”
“เย้... กิ่งดีใจจังเลยค่ะ”
หัสวีร์ยื่นร่างเล็กของกานจิราให้กับทศวัฒน์ และมองหน้าพี่ชาย
“น้องกิ่งน่ารักมากนะครับพี่ทศ ผมอยากให้พี่คิดดีๆ ก่อนที่จะทำเรื่องอะไรลงไป”
ทศวัฒน์ไม่ตอบ แต่เลือกที่จะปิดประตูใส่หน้าของเขาไปในที่สุด
หัสวีร์ยืนขบกรามแน่น ภาพครอบครัวของทศวัฒน์ที่กำลังจะแตกแยก ทำให้เขาไม่อาจจะทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก ยังไงเขาก็คงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยให้เป็นกิจลักษณะเสียแล้วล่ะ
“ผมจะดึงพี่กลับมาเป็นคนดีคนเดิมให้ได้ครับ พี่ทศ”
หัสวีร์ถอนใจแรงๆ ก่อนจะหมุนตัวและเดินกลับไปห้องพักของตัวเองเงียบๆ
ลลิตานั่งเฝ้าอาการของยายอยู่หน้าห้องฉุกเฉินทั้งคืน จนกระทั่งตอนเช้ามีแพทย์มาตรวจอาการของยาย และก็บอกกับหล่อนว่ายายเป็นไข้หวัดใหญ่ ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหลายคืน
ยายถูกส่งตัวไปยังห้องคนไข้รวมของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าคนไข้มากมายนอนรักษารวมกันอยู่ในนี้
“หมิวเป็นยังไงบ้าง”
ดวงฤดีเพื่อนสนิทที่พอรู้ข่าวก็รีบเดินทางมาเยี่ยมทันทีถามด้วยความเป็นห่วง
ลลิตาเห็นเพื่อนมาก็รู้สึกขอบคุณเป็นที่สุด
“ฉันไม่เป็นไรหรอกฤดี แต่ยายยังมีไข้อยู่เลย ตัวก็ร้อนตลอดเวลา”
“แล้วนี่หมอว่ายังไงบ้างล่ะ” ดวงฤดีเอ่ยถาม
ลลิตาส่ายหน้าไปน้อยๆ
“หมอก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ บอกว่าให้แอดมินและก็รับยาจนกว่าจะหายน่ะ”
ดวงฤดีถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“โรงพยาบาลรัฐก็แบบนี้แหละ เอาอย่างนี้ไหม ฉันมีพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง เขาเป็นหมอด้วยนะ ฉันจะลองปรึกษาเขาให้”
“ขอบใจนะฤดี แต่ฉันมีเงินไม่มากหรอกนะ”
“ไม่เอาน่า อย่าพูดเรื่องเงินสิ รับรองว่าเธอจะไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว” ดวงฤดีกุมมือเพื่อนเอาไว้ บีบให้กำลังใจ
“รอแปบนะ เดี๋ยวฉันโทรหาเขาก่อน”
แล้วดวงฤดีก็ปลีกตัวออกไปคุยโทรศัพท์ ไม่นานก็เดินกลับมาหาหล่อน
“พี่เขาบอกว่าจะส่งรถมารับยายไปรักษาที่โรงพยาบาลที่พี่เขาเป็นหมออยู่ในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้แหละหมิว”
ลลิตาเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
“ฉัน... ไม่อยากรบกวนน่ะฤดี”
“ไม่รบกวนหรอกน่า เชื่อฉันสิ พี่เขาเป็นคนใจดี และพี่เขาก็เชื่อฟังฉันทุกอย่าง รับรองเธอไม่ต้องจ่ายค่ารักษาแม้แต่บาทเดียว”
“ทำไมล่ะฤดี”
“พี่เขารวยน่ะ”
ดวงฤดีระบายยิ้มกว้าง และดึงมือของลลิตาไปกุมเอาไว้อีกครั้ง
“เชื่อฉันนะ พายายย้ายเถอะ อยู่ที่นี่ ห้องรวมแบบนี้ ยายจะหายช้า เพราะมีแต่เชื้อโรคทั้งนั้น”
“แต่ฉัน... เกรงใจ...”
“เราเป็นเพื่อนกันนะหมิว เพื่อนต้องช่วยเพื่อนสิ จริงไหม”
ลลิตามองดวงฤดีอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบใจมากนะฤดี”
“ไม่เป็นไร ฉันยินดีช่วยเหลือเสมอ”
หลังจากนั้นสักพักดวงฤดีก็พาหล่อนไปติดต่อกับพยาบาลและคุณหมอเจ้าของไข้ของยาย เพื่อจะพายายย้ายไปที่โรงพยาบาลอื่น ซึ่งใช้เวลานานเกือบสองชั่วโมงเลยทีเดียวว่าจะทำเรื่องขอย้ายเสร็จ แต่สุดท้ายยายของหล่อนก็ได้ย้ายมายังโรงพยาบาลเอกชนที่คนรู้จักของดวงฤดีทำงานอยู่ในที่สุด
หล่อนรู้สึกไม่สบายใจนักเพราะเกรงใจทั้งดวงฤดีและผู้ชายคนนั้นที่ดวงฤดีบอกว่าเป็นพี่ที่สนิทด้วย แต่พอเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวของยายแล้ว ซึ่งแตกต่างจากที่โรงพยาบาลเดิมมากมาย ทำให้หล่อนจำต้องเก็บความเกรงใจนี้ลงไปในอกให้ลึกที่สุด
“ขอบใจมากนะฤดี”
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจฉันแล้วล่ะหมิว ฉันขอให้ยายของเธอหายไวๆ นะ”
“ขอบใจนะฤดี”
ลลิตามองเพื่อนอย่างซาบซึ้งใจ
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ เธอก็อย่าลืมพักผ่อนล่ะ”
เพื่อนของหล่อนเอ่ยขึ้น หล่อนรีบตอบรับ
“จ้ะ ฤดีก็เดินทางกลับบ้านปลอดภัยนะ ถึงแล้วไลน์มาบอกกันบ้าง”
“แหม ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกจ๊ะ ฉันมีคนขับรถน่ะ เห็นไหม มานู้นแล้ว”
แล้วลลิตาก็มองตามสายตาของดวงฤดีไป ก็เห็นผู้ชายในชุดกราวด์ยืนอยู่ตรงทางเดิน ซึ่งหล่อนจำได้ดีว่าเป็นคุณหมอที่เมตตารับยายของหล่อนเข้ามาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนี้นั่นเอง
“โชคดีนะ ฤดี”
“จ้ะ ไปล่ะ”
ดวงฤดียกมือขึ้นโบกลาหล่อน ก่อนจะเดินจากไป และไปหยุดข้างกายของคุณหมอคนนั้น สองคนพูดคุยกันอย่างสนิทสนม และท่าทางที่ทั้งคู่แสดงออกมาก็ทำให้รู้ว่าไม่น่าจะใช่แค่พี่น้องอย่างที่ดวงฤดีบอกจริงๆ น่าจะเป็นคนรักกันมากกว่า แต่แปลกนะ ถ้าเป็นคนรัก ทำไมดวงฤดีถึงต้องปิดบังหล่อนด้วยล่ะ
ลลิตาถอนใจแรงๆ ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ และเดินกลับเข้าไปในห้องพักฟื้นของยายอีกครั้ง