บทที่2
เสียงแตรศึกดังมาตามสายลม ความดังของมันบ่งบอกมาต้นกำเนิดของเสียงอยู่ไม่ไกลมากนัก ทหารแค้วนจ้าวกว่าสามแสนบุกประชิดถึงเมืองหลวง นำทัพโดยรัชทายาทนามว่าจ้าวหยุนหลง หากเอ่ยนามนี้ออกมาทั่วใต้ล่าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก พระองค์ทรงชื่อชอบการทำสงครามเพราะจะได้ฆ่าคนโดยไม่มีความผิดใดๆ พระองค์มีวิธีทรมารทหารศัตรูมากมาย เช่นการแล่เนื้อทั้งเป็น ตัดหัวเสียบประจานที่กำแพงเมืองเพื่อข่มขวัญอีกฝ่าย แต่วีธีที่จ้าวหยุ่นหลงโปรดปรานมากที่สุดคือการเผาทั้งเป็น พระองค์อยากรู้ว่าจะมีคนที่ทนทานต่อเปลวเพลิงอย่างพระองค์ได้หรือไม่ ราชวงค์จ้าวนั้นเป็นบุตรชายคนโตจะได้รับตำแหน่งรัชทายาท องค์ชายคนอื่นๆ ก็ไม่เคยคิดจะแย้งชิงหรือแข็งข้อเหมือนราชวงศ์อื่น เพราะมีข่าวลือว่าบุตรชายคนแรกของตระกูลจะได้รับพลังลึกลับบางอย่าง ไม่มีใครล่วงรู้แน่ชัดว่าคือสิ่งใด ว่ากันว่าจ้าววหยุ่นหลงนั้นมีร่างกายแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ฟันแทงไม่เข้าทนไฟ นอกจากร่างการจะแข็งแกร่งแล้ววรยุทธเก่งกาจเหนือผู้ใด เพราะเหตุนี้ไม่ว่าจ้าวหยุ่นหลงกีธาทัพไปทำสงครามแย้งชิงดินแดนที่แคว้นใด ก็ไม่มีแคว้นใดหยุดทัพของพระองค์ได้เลย ไม่เว้นแม้กระทั้งแคว้นเว่ย
เสียงแตรดังประชิดเข้ามาเรื่อยๆ ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ใกล้ประตูเมืองต่างพากันหวาดกลัว แต่จะหนีไปที่ได้ ทางออกถูกปิดตายเสียแล้ว
ฮองเต้ชราทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงสงครามกว่าสิบปีจบลงแล้ว หมดสิ้นแล้วราชวงศ์เว่ย ข้าศึกบุกมาถึงเมืองหลวงพระองค์พ่ายแพ้อย่างไร้ทางตอบโต้
“ฝ่าบาท รัชทายาทแคว้นจ้าวส่งสาส์นเข้าเมืองมาพ่ะย่ะค่ะ”
“จ้าวหยุ่นหลง ต้องการอะไร” เพียงแค่บุกผ่านประตูเข้ามาก็จบแล้ว ยังจะส่งสาส์นเยาะเย้อพระองค์ทำไมกัน
“พระองค์ต้องการแต่งงานกับองค์หญิงแคว้นเว่ย แล้วจะยกทัพกลับ”
คำว่ายกทัพกลับ หมายถึงยกเลิกสงครามใช่หรือไม่ ไม่ตีเมืองหลวงให้พังพินาจแล้ว
“จ้าวหยุนหลงต้องการแต่งกับองค์หญิงพระองค์ใด” ฮองเต้ชราถามโดยไม่ไตร่ตรองใดๆ แค่ส่งองค์หญิงออกไปหนึ่งคนช่วยชีวิตของพระองค์และราษฎรได้ ไม่ว่าจ้าวหยุ่นหลงอยากได้ใครพระองค์ยอมยกให้
“ในสาส์นไม่ได้ระบุมา มีเพียงเกี้ยวแดงเทียบรออยู่ที่หน้าประตูเมือง ตอนนี้ทัพของรัชทายาทจ้าวกางกระโจมตั้งค่ายอยู่ห่างเมืองหลวงหนึ่งร้อยลี่”
ข่าวการส่งองค์หญิงขึ้นเกี้ยวแดงเพื่อไปแต่งงานกับรัชทายาทแคว้นจ้าวดังกระหึ่มไปทั้งวังหลวง
ไม่มีองค์หญิงพระองค์ใดเสนอตัวอยากแต่งงานในครั้งนี้ แม้รัชทายาทแคว้นจ้าวนั้นจะมีรูปโฉมงดงามราวเทพเซียนปานใด แต่ความโหดเหี้ยมของจ้าวหยุ่นหลงนั้นโด่งดังยิ่งกว่า
องค์หญิงบางคนถึงขั้นบอกจะยอมผูกคอด้วยผ้าขาวหากฮองเต้จะบังคับให้พระนางแต่งออกไปกับบุรุษที่ใจคออำมหิต พวกนางยอมตายวันนี้ด้วยนำมือตนเอง ดีกว่าไม่รู้ว่าหากเดินทางไปอยู่แคว้นจ้าวจะถูกพระสวามีทรมารให้ตายทั้งเป็นด้วยวิธีใด ไม่ต้องให้บัณฑิตผู้รอบรู้มาอ่านสถานะการณ์ เด็กสามหนาวยังดูออกว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อให้แค้วนเว่ยไม่คิดแข็งข้อ องค์หญิงแต่งไปเพื่อเป็นองค์ประกัน
ผ่านไปสามวัน ก็ไม่มีมีคำตอบว่าจะส่งองค์หญิงพระองค์ใดไปแคว้นจ้าว ฮงเต้ชรากลัดกลุ้มพระทัยจนล้มป่วย
เสียงเซ็งแซ่ดังไปทั้งท้องพระโรง
“ฝ่าบาทได้โดยรีบตัดสินพระทัยด้วยเถิด ทหารแคว้นจ้าวมายืนตระโกนหน้าประตูเมือง หากพรุ่งนี้ยามเฉิน (07.00 - 08.59 น.) ไม่มีเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวจะยกทัพบุกเข้ามา” ขุนนางผู้หนึ่งร้อนใจรีบทูลฎีกา หากทหารบุกเข้ามาหมายถึงทุกชีวิตรวมถึงเขาและครอบครัว
ฮองเต้ชราโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ที่ถูกเด็กอมมือหยามหน้า แต่พระองค์ก็ทำอะไรจ้าวหยุนหลงไม่ได้ องค์หญิงก็ไม่ให้ความร่วมมือ
“หากองค์หญิงทั้งหลายไม่อยากแต่ง เหตุใดฝ่าบาทไม่รับบุตรีขุนนางซักคนเป็นบุตรบุญธรรมแล้วแต่งออกไปแทน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอ
สิ้นเสียงข้อเสนอนั้นขุนนางทั้งหลายที่บุตรียังไม่ได้สมรสต่างพากันคัดค้าน ไม่มีใครยอมให้บุตรตนเองไปเผชิญชะตากรรมเลวร้ายแบบนั้น
“พวกท่านอย่าเห็นแก่ตัวนักเลย จากบุตรสาวขุนนางได้เลื่อนฐานนันดรเป็นถึงองค์หญิงควรจะดีใจให้บุตรสาวแต่งออกไปสิ เสียสละเพื่อบ้านเมืองแค่นี้ทำไม่ได้ พวกท่านยังเป็นขุนนางอยู่ไหม” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกวนหย่งเหอมองเหยียดเหล่าขุนนาง
“ท่านเป็นคนเสนอเรื่องนี้ ท่านก็ให้บุตรสาวท่านรับตำแหน่งองค์หญิงไปเลยสิ ท่านเป็นถึงเสนบดีย่อมจงรักภักดีกว่าพวกข้าใช่หรือไม่”
ฮองเต้ชรานั่งฟังเงียบๆ พระองค์ไม่ต้องส่งบุตรสาวของตัวเองไป แต่สามารถรับเด็กคนอื่นมาแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงแล้วส่งขึ้นเกี้ยวนั้นได้ ฮองเต้ชราเริ่มมีความหวัง
“แน่นอนข้ากวนหย่งเหอจงรักภักดีต่อฮองเต้และราชวงษ์ ข้าจะยกบุตรสาวของข้าให้ฮองเต้” เสนาบดีกวนตะโกนสวนขุนนางผู้นั้น แสดงเจตจำนงราวกับว่าหากฮองเต้รับสั่งสิ่งใด เขาที่เป็นข้าราชบริพารล้วนต้องทำตาม
“ฝ่าบาท หากพระองค์มีพระประสงค์ให้บุตรสาวของหม่อมฉันแต่งงานแทนองค์หญิง หม่อมฉันยินดียกบุตรสาวให้พระองค์” เสนบดีกวนหันไปถวายบังคมแก่หน้าพระพักตร์
“ดีๆ บุตรสาวเจ้าชื่ออะไรเสนาบดีกวน” ฮองเต้ชรากวักมือให้ขันทียกโต๊ะเขียนหนังสือพระองค์
“กวนเสี่ยวถง” มีเพียงชื่อเดียวที่กวนหยงเหอนึกออก
“กวนเสี่ยวถง ข้าจะแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงแปด ต่อไปนี้นางคือบุตรสาวของข้าแล้ว เสนาบดีกวนพรุ่งนี้เจ้าพานางขึ้นเกี้ยวได้เลย”
ฮองเต้ชราพระทับตรามังกรลงบนราชองคการ ใบหน้าคลายความตรึงเครียด ในที่สุดก็แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย
“น้อบรับราชองคการ”
เสนาบดีกวนรับราชองค์ราชหลอบกระหยิ่มในใจ หากบุตรสาวของตนได้เป็นองค์หญิง อีกทั้งได้แต่งกับรัชทายาทแคว้นจ้าว เขาจะได้มีอำนาจมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า พวกขุนนางโง่ อยู่ๆก็โยนชิ้นปลามาให้