ตอนที่ 2 ไท่จื่อผู้วิปริต
ตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนล่วงเลยมาสิบแปดหนาว ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึกถึงการถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน เสียงฝีเท้าด้านนอกเร่งขึ้นตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ฝ่ามือของนางหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ ได้แต่ถลึงตากร้าวด้วยแรงโทสะ ประหนึ่งสัตว์ตัวเล็กที่กำลังจนตรอก ราวกับว่าหากเกิดเรื่องอย่างที่เขาว่าขึ้นมาจริงๆ นางก็พร้อมจะตายตกไปตามกันกับเขา
ครั้นเสียงประตูเปิดขึ้น ชายฉกรรจ์สี่คนก้าวเข้ามาพร้อมน้ำร้อนถังใหญ่เท่าตัวคน ตัวของนางสั่นเยือกจนแป้งที่พอกหนาบนใบหน้าคล้ายจะแตกล่อนในทันใด
เสด็จพ่อสอนนางว่าเกิดเป็นสตรียืดได้หดได้ อุดมการณ์ต้องมาก่อน แต่หากสูญสิ้นตัวตนอันน่าภาคภูมิแล้วคนเราจะหลงเหลืออะไร
“ฝูหลิง”
เสียงของนางแหบพร่า พานให้จื่อเว่ยหรี่ตาลงอย่างคาดคั้น มองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่แข็งกร้าวของนาง รอกระทั่งชายทั้งสี่เทน้ำร้อนจนครบสี่ถังแล้ว ในที่สุดจื่อเว่ยก็ยืดกายขึ้น เรือนร่างสูงใหญ่คล้ายกลืนกินพื้นที่ในดวงตาของนางจนหมดสิ้น กลิ่นอายอันตรายพลันแผ่กำจายในอากาศ บุรุษตรงหน้าเปรียบเสมือนเทพแห่งความตายที่ซ่อนความชั่วร้ายไว้ภายใต้รูปลักษณ์อัันงดงาม
“พวกเจ้าออกไป ข้าจะเล่น…กับนาง” เสียงนุ่มทุ้มลากยาวตามอารมณ์อันรื่นเริงในอก ปลายนิ้วเรียวยาวเริ่มปลดชุดพิธีการตัวนอกแล้วโยนใส่นาง
ชายฉกรรจ์เดินออกไปอย่างรู้งาน ประตูถูกปิดสนิท
ภายในห้องเหลือแต่เพียงเสียงปลดอาภรณ์ของจื่อเว่ยและเสียงลมหายใจแผ่วเบาของนาง
ฝูซินก้มหน้ามองพื้น สมองคิดหาทางออกอย่างเร็วรี่ ตัวสารเลวตรงหน้าคิดจะข่มเหงนางอย่างนั้นหรือ...คงไม่ง่ายดายนัก
อาภรณ์สีดำลอยปลิวใส่ศีรษะ ราวกับเห็นนางเป็นเพียงนางกำนัลในตำหนัก ฝูซินขยุ้มเศษผ้าในมือ ข่มกลั้นโทสะ มิให้อาละวาดออกมาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
อดทน…นางเพียงต้องอดทนและหาวิธีออกไป หรือไม่ก็ต้องหาอาวุธเพื่อสังหารคนบัดซบผู้นี้ เลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิชั่ว
ฝ่ายจื่อเว่ยที่ถอดอาภรณ์จนเหลือแต่กางเกงตัวเดียวหลุบสายตามองร่างอรชรที่เครียดขมึงของนางรำหน้าขาวนางนี้ พิศมองผิวเนื้อที่มีอาภรณ์น้อยชิ้นขาวเนียนประดุจหยกมันแพะเนื้อดี ทว่าตรงข้อมือของนางกลับมีสีเข้มกว่าจุดอื่นเล็กน้อย และหากเขาคาดไม่ผิด ใบหน้าของนางก็คงไม่แคล้ว…
จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ ไม่สนใจท่าทีพยศของนางแม้แต่น้อย เขาดึงแขนนางขึ้น ลากร่างโปร่งระหงไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่ด้านหลัง
ฝูซินมิได้กรีดร้องเสียงหลงเฉกเช่นสตรีทั่วไป นางกัดฟันแน่น มองข้ามกล้ามเนื้ออันงดงามและผิวกายบุรุษ ยื่นขาเรียวงามสกัดกั้นจังหวะเดินของเขาในทันที จื่อเว่ยรั้งเท้า ยกขาขึ้นสูง ท่าสกัดของนางจึงพลาดพลั้งจนเกือบหงายหลังไปอีกครา ชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอ ท้ายที่สุดจึงแบกนางขึ้นบ่า อุ้มไปยังห้องอาบน้ำโดยไม่สนใจแรงทุบตีจากนางแม้แต่น้อย
ฉากนางอาละวาดคล้ายละครใบ้ ทว่าผิวกายขาวจัดของเขากลับเริ่มมีรอยแดงช้ำ ฝูซินมิได้สนใจร่องรอยเหล่านี้ คิดแต่จะทุบตีให้เขาตายคามือ
ยิ่งนางดิ้น ชุดนางระบำก็ร่นขึ้นสูงจนเผยขาเรียวงามเด่นชัด จื่อเว่ยปราดมองเพียงแวบหนึ่งอย่างเฉื่อยชา แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจลึกๆ กลับเป็นสัมผัสจากเนินเนื้อที่บดเบียดกับแผ่นหลังของเขาไปมาโดยที่นางมิได้ระวังนั่นต่างหาก
ชายหนุ่มหยุดตรงบ่อน้ำร้อนขนาดหนึ่งผิง[1] น้ำร้อนที่องครักษ์เมื่อครู่แบกมาแม้จะถังใหญ่ แต่ระดับน้ำกลับมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มออกแบบให้ข้างใต้คือถ่านร้อนจำนวนหนึ่ง หากมีคนคอยดูแลก็จะสามารถควบคุมความร้อนของน้ำได้ ยามน้ำร้อนปะทะกับอากาศเย็นจึงเกิดไอหมอกขาวกรุ่นลอยวนในอากาศ
ฝูซินเลิกทุบตีชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลขึ้นมาอีกครั้ง กว่าจะรู้ตัวมือของนางก็คว้าได้เพียงอากาศ “เจ้าจะ…อ๊า!”
จื่อเว่ยโยนร่างนางระบำหน้าขาวลงน้ำ ส่วนตัวเขานั้นยืนกอดอกมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ฝูซินดิ้นพล่านเพราะคิดว่าตนเองจะจมน้ำตาย นางกัดฟันแน่น พยายามตะเกียกตะกายหาจุดยืน แป้งขาวละลายกับน้ำร้อนทำให้นางแสบตาจนมองไม่เห็น ครั้นตั้งตัวได้ หญิงสาวจึงทำได้แต่หลับตาแน่นแล้วขัดเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าอย่างบ้าคลั่งเพื่อระบายโทสะในอก
จื่อเว่ยมองเจ้าของร่างระหงที่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตาคมกริบกวาดมองผ่านผ้าผืนบางน้อยชิ้นที่ติดแนบกับผิวกายเนียนละเอียดของนางราวกับไม่รู้สึกรู้สาอันใด หยาดน้ำพร่างพราวเกาะเนินเนื้ออวบอิ่ม ลาดไหล่ขาวเนียนเปล่าเปลือยน่าสัมผัส แป้งขาวละลายไปกับน้ำร้อนจนหมด ริมฝีปากบางมีรอยแดงเปรอะเปื้อนเล็กน้อย ถ่านดำที่วาดคิ้วจนเสียรูปละลายไปหมดจนเหลือแต่โครงคิ้วที่เฉียงขึ้นอย่างดื้อรั้น แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างเท่าบุรุษครั้นนางหลับตาแน่นเช่นนี้ จึงขับเน้นให้เห็นแพขนตาหนาราวกับปีกผีเสื้อซ้อนกันอย่างไรอย่างนั้น
ดวงหน้ารีได้รูป เครื่องหน้าเด่นชัดตรึงตรา กลีบปากอิ่มเม้มแน่นอย่างคนที่ไม่คิดยอมตกอยู่ใต้อาณัติผู้ใด
คุ้นตายิ่งนัก...
มุมปากของจื่อเว่ยยกขึ้นน้อยๆ ดวงตาล้ำลึกมองภาพเบื้องหน้าราวกับกำลังคิดคำนวณสถานการณ์อย่างถี่ถ้วน ครั้นสายตาเหลือบเห็นรอยสักรูปผีเสื้อตรงหลังกกหูด้านขวาของนาง แววตาขบขันก็พลันเปลี่ยนไป
จื่อเว่ยเดินลงน้ำ จับข้อมือที่สีผิวไม่สม่ำเสมอของฝูซินแล้วกล่าวเสียงเรียบ “องค์หญิงห้าแห่งแคว้นเว่ย…ข้าเดาไม่ผิดกระมัง”
เปลือกตาสีอ่อนลืมขึ้น หยดน้ำที่กำลังจะร่วงหล่นพลันไหลย้อนไปยังหางตา ดวงตาสีน้ำตาลลึกลับพลันฉายแววตื่นตระหนกชั่วครู่ ทันใดนั้นนางก็เสมองไปทางอื่น ไม่ยอมรับคำกล่าวหานั้น “ผู้น้อยคือฝูหลิง มิใช่องค์หญิงห้า”
“อย่างนั้นหรอกหรือ”
จื่อเว่ยมิได้บังคับข่มขู่นาง ทว่ากลับเคลื่อนกายเข้าแนบชิดสนิทสนม เขาหลุบตามองเนินอกของนางอย่างหยาบคาย พลันเห็นว่าพวงแก้มและผิวกายของนางแดงก่ำราวกับผลตำลึงสุก ท่าทางทระนงนั้นขัดใจเขาไม่น้อย ชายหนุ่มยื่นใบหน้าเข้าใกล้นาง ตรึงสายตาของนางให้อยู่กับที่
การใกล้ชิดบุรุษเช่นนี้มิได้ทำให้คนอย่างฝูซินตื่นตระหนกเท่าใดนัก นั่นเพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางล้วนต้องฝึกฝนวิชาการต่อสู้กับพี่น้องที่มีทั้งชายและหญิง บุรุษหน้าตาหล่อเหลางดงามปานไหนนางก็เห็นจนชินชา เรือนกายที่ทีแต่มัดกล้ามของบุรุษ หรือแม้แต่ร่างเปลือยเปล่าของเหล่าทหารยามถูกเสด็จพี่ลงโทษ นางก็เห็นผ่านตามาบ้าง
กระนั้นแล้วการใกล้ชิดสนิทสนมถึงขั้นที่ว่า แนบเนื้อ…ใช้ลมหายใจร่วมกันเช่นนี้ กลับไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
ดวงตาของจื่อเว่ยคล้ายกับท้องฟ้าในฤดูสารท กระจ่างใสเต็มไปด้วยความลึกลับของดวงดาวมากมายที่แข่งขันกันเปล่งแสงระยับ ขณะเดียวกันก็คล้ายกับความว่างเปล่าของผืนนภาอันไกลโพ้น ชวนให้ผู้คนหลุดลอยไปโดยมิได้ตั้งใจ เครื่องหน้างดงามของบุรุษ นางเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก หากว่าเสด็จพี่ไม่ให้นางดูภาพเหมือนเขาก่อน เกรงว่าเป้าหมายที่นางสังหารคงจะผิดตัวเป็นแน่
การจะบรรยายถึงรูปลักษณ์ของคนผู้นี้ เกรงว่าภาพวาดจากยอดฝีมือในการวาดภาพก็ไม่อาจถ่ายทอดความงามได้ถึงหนึ่งในสิบจากความเป็นจริงที่ได้พบเห็น ใครจะคาดคิดว่าบุรุษคนหนึ่งจะเหมาะสมกับคำว่า งามล่มเมือง เช่นนี้
จื่อเว่ย…องค์ชายสามที่ผู้คนต่างก็ร่ำลือว่าเป็นพวกวิปริตผิดเพศ รอบกายมีแต่องครักษ์หนุ่มรูปงามล้อมรอบ ขณะเดียวกันนางกำนัลที่รับใช้กลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เล่าลือกันว่าเป็นเพราะองค์ชายผู้นี้มักจะเริงรักกับองครักษ์ของตนในตำหนักจนเหล่านางกำนัลต่างก็หวาดผวาและค่อยๆ หายไปทีละคน
เพราะใบหน้างดงามเกินกว่าจะเป็นบุรุษ รสนิยมที่วิปริตผิดเพศ ฐานอำนาจจึงมิได้มั่นคงอย่างองค์ชายใหญ่หรือองค์ชายองค์อื่นๆ เพราะอุปนิสัยที่เป็นปัญหา คนรอบตัวจึงคิดถอยห่าง นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ฝูซินอาสารับงานสังหารนี้
มิคาดว่าบุรุษที่ดูเหมือนมิใช่บุรุษผู้นี้ กลับรู้วรยุทธ์ อีกทั้งยัง…กล้ามเป็นมัด
เพราะมัวแต่คิดย้อนเรื่องราวก่อนหน้านี้ ริมฝีปากของเขาพลันเฉียดผ่านพวงแก้มแดงซ่านของนางแผ่วเบาราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ สัมผัสนั้นปัดผ่านใบหูเล็กของนางจนขนกายลุกชูชัน รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายบุรุษเข้มข้น เสียงกระซิบของจื่อเว่ยกลับดังขึ้นทำลายห้วงความคิดของนางเสียสิ้น
ไอร้อนลอยวนรอบกายคล้ายม่านหมอก ทว่าโสตประสาทกลับชัดเจนยิ่ง
“องค์หญิง…ฝูซิน”
ฝูซินข่มอาการสั่นเทาไว้จนเกร็ง สัมผัสเปียกชื้นชวนซ่านเสียวตรงติ่งหูทำให้นางย่นคอลงในทันใด หญิงสาวเม้มริมฝีปาก ยกเท้าสกัดขาของจื่อเว่ยจนเขาผลุบลงไปในน้ำที่มีเพียงครึ่งบ่อ ส่วนตัวนางตะเกียกตะกายพาตัวเองออกจากบ่อน้ำร้อนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่าการเคลื่อนไหวในน้ำช่างน่าขันนัก น้ำในบ่อสาดกระจาย นางไม่เพียงก้าวไม่ถึงขอบบ่อ ยังถูกเขากระชากจนเกาะอกขาดวิ่น ยอดอกของนางเปลือยเปล่า ได้แต่ข่มความอับอายแล้ววิ่ง…แต่วิ่งไปไม่ทันไรจื่อเว่ยก็รวบเอวนางได้ทัน ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันเกือบฉือ[2] ตัวของนางจึงลอยหวือ แผ่นหลังเปลือยเปล่าแนบชิดอกแกร่ง เนินเนื้ออวบอิ่มถูกเขารัดแน่นจนหายใจไม่ออก ความรู้สึกที่นางมีในตอนนี้ มีแต่ต้องการเอาชีวิตรอด การแตะต้องเนื้อตัวระหว่างชายหญิงกลายเป็นเรื่องเล็กไปเสียสิ้น
คนทั้งสองต่างก็หายใจหอบเหนื่อย ใช้ความเงียบเข้าสู้อย่างไม่มีใครยอมใคร นางยิ่งดิ้นเขายิ่งรัดแน่น ท้ายที่สุดฝูซินก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับแรงของเขา ไม่อาจทนให้คนผู้นี้หยามหน้านางอีกต่อไป
“ปล่อยข้า!”
จื่อเว่ยไม่ตอบ เขาลากนางลงน้ำ สัมผัสที่รัดรึงผิวเนื้อจากทางด้านหลังกอปรกับความร้อนในบ่อทำให้นางตัวแดงเป็นกุ้งสุก ครั้นพยายามดิ้นพล่านเพื่อให้หลุดจากสัมผัสหยาบกระด้างนี้ ปากพลันถูกเขาเอื้อมมือปิดไว้แน่น
“หุบปากและอยู่นิ่งๆ หากยังไม่อยากตาย”
เมื่อสัมผัสถึงแรงขัดขืนที่อ่อนลง จื่อเว่ยจึงคลายอ้อมแขน เลื่อนฝ่ามือต่ำลงไปยังหน้าท้องเรียบเนียนของนาง จากนั้นจึงปลดปิ่นบนศีรษะเล็กจนเส้นผมเปียกชื้นสยายลงมาปกปิดเรือนร่างของนางอย่างหมิ่นเหม่
“อา…น้องสาม ข้าคิดว่าเจ้า”
จื่อเว่ยรั้งร่างเล็กเข้าแนบชิดอกแกร่ง เกยคางบนไหล่ของฝูซินแล้วเลื่อนไล้ฝ่ามือบนผิวเนื้อเรียบลื่นราวกับคนที่จ่มอยู่ในห้วงปรารถนา ดวงตาลึกล้ำเปี่ยมเสน่ห์ปรายมองผู้มาเยือนชั่วแวบหนึ่ง เขาค่อยๆ กดร่างของนางให้เรือนกายอยู่ใต้น้ำ ก่อนจะเคลื่อนกายบดบังนางไว้
อากัปกิริยาเชื่องช้าเย้ายวนของบุรุษ ส่งผลให้ผู้มาเยือนมองตาปรอย ไม่อาจละสายตาจากแผ่นหลังกำยำที่ซ่อนรูปของเขาได้
“เสด็จพี่รอง…ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรจึงบุกเข้ามาในห้องข้าเช่นนี้”
ยามเอ่ยกับองค์หญิงผิงซวน องค์หญิงรองแห่งอาณาจักรต้าฉิน น้ำเสียงของจื่อเว่ยกลับแข็งขึง ไม่อ่อนโยนดังเช่นคุยกับสตรีอื่น นางเป็นถึงองค์หญิงรองแห่งต้าฉิน บุตรีของอดีตราชครู ทั้งยังมีเสนาบดีใหญ่หนุนหลังไหนเลยจะพอพระทัย ใบหน้าผุดผาดเชิดขึ้น ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างแง่งอน
“หลังจากเกิดเรื่องเมื่อครู่ก็ไม่มีข่าวคราวจากตำหนักจื่อเยว่ เสด็จพ่อทรงกังวลพระทัยอย่างมาก ข้าจึงอาสามาดูอาการเจ้าด้วยตัวเอง”
“ข้าปลอดภัยดี เสด็จพี่รองกลับตำหนักไปเถิด”
องค์หญิงผิงซวนมองเงาร่างที่ถูกจื่อเว่ยบดบัง ดวงตาคู่งามพยายามซ่อนเร้นความริษยา นางแค่นเสียงขึ้นจมูก กล่าวตัดพ้อต่อว่าอีกประโยค “ไท่จื่อเชยชมหญิงสาวต่ำศักดิ์เหล่านี้ทุกวัน สร้างความกังวลพระทัยให้เสด็จแม่อย่างหนัก เห็นทีว่าอีกไม่นานคงมีพระประสงค์ให้ท่านเสกสมรสไท่จื่อเฟยเข้าตำหนักแล้วกระมัง”
ประกายตาที่หลบซ่อนของจื่อเว่ยเย็นเยียบ กล่าวโดยไม่หันไปมองอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “เสด็จพี่หญิงไม่ต้องกังวลพระทัย ไท่จื่อเฟยที่ข้าเลือกย่อมไม่ทำให้ต้าฉินอับอายอย่างแน่นอน เชิญ” เขาเน้นประโยคหลังอย่างหนักแน่นในความตั้งใจ สตรีที่จะยืนเคียงข้างเขาต้องเป็นสตรีที่เขาเลือกเองเท่านั้น แม้แต่องค์จักรพรรดิก็มิอาจทำอะไรได้
สิ้นเสียงขับไล่อย่างไร้เยื่อใย องค์หญิงรองก็พลันสะบัดแขนเสื้อจากไป เพียงครู่หนึ่งก็พลันแว่วเสียงโวยวายอาละวาดอย่างร้ายกาจดังไกลออกไป
ฝูซินหัวเราะในลำคอ องค์หญิงองค์ชายแห่งต้าฉินเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ไม่ผิดกันเลยแม้แต่น้อย สมองของนางคาดเดาความสัมพันธ์ของคนทั้งสองในทันที
หรือจักรพรรดิชั่วผู้นั้นคาดหวังให้โอรสธิดาสมรสกันเองกระมัง
“คิดไม่ถึงว่าต้าฉินอันเกรียงไกร พี่น้องจะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อกันเช่นนี้”
จื่อเว่ยบีบไหล่ของฝูซินจนหญิงสาวนิ่วหน้า มือที่รัดหน้าท้องรัดแน่นขึ้น เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังข้างหูจนนางสะท้านเยือก
“อย่าเพิ่งย่ามใจไปองค์หญิงฝูซิน เจ้าคิดหรือว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆ”
ฝูซินยิ้มเย็น “มั่นใจเหลือเกินนะ”
ปลายโลหะแหลมคมวาบผ่าน ฝูซินบิดกายออกจากการเกาะกุม อาศัยจังหวะที่ร่างกำลังจะหงายหลัง แทงปิ่นโลหะใส่อกจื่อเว่ยอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
จื่อเว่ยมิได้เบี่ยงหลบ ปล่อยให้นางกดปลายแหลมของปิ่นอย่างเลือดเย็น
บุปผาโลหิตบานสะพรั่ง ไหลลงสู่ผิวน้ำ
ฝูซินชะงักค้าง เบิกตามองภาพเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่นางทิ่มแทงสุดแรงเกิด ไฉนจึงสร้างเพียงรอยแผลเล็กน้อยเท่านี้เล่า
ดวงตาของจื่อเว่ยเปรียบเสมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน ทว่าบัดนี้กลับมืดหม่นลงราวกับว่าเค้าลางแห่งพายุกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
ฝูซินผละร่างออก รีบปีนขึ้นจากบ่อน้ำร้อน คว้าสิ่งใดปกปิดร่างกายได้ก็รีบคว้ามาสวมใส่ ไม่ทันฉุกคิดด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ในตำหนักที่มีองครักษ์นับร้อยเฝ้าอยู่ แม้แต่หนูสักตัวก็ยังไม่อาจหนีรอดได้ นางกระชากม่านโปร่งบางมาพันรอบตัว ฉีกกระชากชุดนางระบำทิ้ง ก่อนจะเกล้ามวยผมแล้วเสียบปิ่นกลับที่เดิม ดวงตาหงส์กวาดมองสิ่งของที่พอจะเป็นอาวุธได้
“หาไปก็ไร้ประโยชน์ หนีไปก็ไร้ประโยชน์ ก้าวเข้าถ้ำเสือแล้ว คิดจะหนีออกไปไม่ง่ายดายนัก”
จื่อเว่ยกล่าวเสียงเรียบ ใช้ผ้าสะอาดเช็ดบาดแผลบนอกอย่างไม่อนาทร ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ราวกับว่าเมื่อครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ปีศาจ…เขามันคือปีศาจ เคราะห์ดีที่คนผู้นี้ไม่สนใจสตรีเพศ มิเช่นนั้นแล้วนางคง...
หญิงสาวกลืนน้ำลาย ความคิดวกวนหาทางออกไม่ได้ หากต้องการจะหลบหนี อย่างน้อยก็ต้องสังหารคนไม่ต่ำกว่าสิบคน องครักษ์ของต้าฉินฝีมือมิใช่ชั่ว ไม่รู้ว่านางจะตายก่อน หรือจะรอดออกไปก่อนกันแน่
“ไม่ต้องคิดหนีให้เสียเวลา” จื่อเว่ยโยนอาภรณ์บุรุษให้นาง “เรื่องเมื่อครู่ข้าจะไม่ถือสา แต่ถ้าหากเจ้าคิดจะสังหารข้าอีก…ครั้งต่อไปข้าจะยัดเยียดความเป็นสามีให้เจ้าก่อนส่งคืนฝูเจี้ยน ดีหรือไม่?”
นางสะอึก…มิใช่เพราะเขาจะยัดเยียดความเป็นสามีให้นาง แต่เป็นเพราะ... “เจ้ารู้จักเสด็จพี่?”
จื่อเว่ยนั่งบนเตียง คว้ากระปุกยาขึ้นมา “หากไม่เปลี่ยนอาภรณ์ ก็มาใส่ยาให้ข้า”
ฝูซินถูกคำพูดของจื่อเว่ยทำเอาสับสนงุนงง รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้องเสียแล้ว
เสด็จพี่ของนางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ มิใช่ยกทัพเพื่อมาแก้แค้นให้เสด็จพ่อหรอกหรือ นางลอบกังวลใจ เหตุใดตอนนี้แม้แต่คนที่ลอบติดตามนางมาก็ยังไร้วี่แวว
บิดาของนางถูกจักรพรรดิชั่วแห่งต้าฉินใส่ไคล้ว่าจงใจก่อกบฏ แม้ว่าเว่ยจะสวามิภักดิ์ต่อต้าฉินมายี่สิบปีแล้ว แต่มังกรเฒ่าผู้นั้นก็มิเคยไว้วางใจแคว้นต่างๆ อย่างแท้จริง เพียงเพราะเว่ยหวางจัดงานล่าสัตว์ทุกปีในป่าทางทิศตะวันตกของแคว้นเว่ย กลับมีคนกล่าวหาว่าซ่องสุมกำลังพลเพื่อก่อกบฏ สุดท้ายก็ได้รับราชโองการให้ดื่มยาพิษต่อหน้าประชาชนแค้นเว่ย
ผ่านไปเกือบสองปี กว่านางจะมาถึงที่นี่ได้ ทว่าเสด็จพี่ของนางกับไท่จื่อของต้าฉินมีเรื่องอันใดกัน
“คิดอะไรให้มากความ รอให้ออกไปจากที่นี่ได้ก่อนเจ้าก็จะเข้าใจเอง”
ดวงตาหงส์เป็นประกายมองไท่จื่อแห่งต้าฉิน กล่าวเสียงลอดไรฟันด้วยความรังเกียจ “บิดาเป็นเช่นไร บุตรก็เป็นเช่นนั้น”
ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็พลันเผือดสี ชี้หน้าเขาด้วยมืออันสั่นเทา “เจ้ากับเสด็จพี่…”
มิใช่ว่าเขากับเสด็จพี่ของนางคิดจะหนีตามกันไปหรอกนะ
สวรรค์ นี่เสด็จพี่ของนางจะยกทัพมาชิงตัวบุรุษหยกหรอกหรือ นี่คือการแก้แค้นให้เสด็จพ่อที่เขาบอกนางว่าคือสิ่งที่สาแก่ใจที่สุด นางพลันรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมากะทันหัน เพียงแค่คิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า ขนกายก็ลุกชูชันไปทั้งตัวแล้ว
นางคิดแล้วเชียว มิน่าเล่ายกกำลังพลมามากมายถึงเพียงนี้ต้าฉินกลับไม่ระมัดระวังตัว ที่แท้เจ้าจื่อเว่ยผู้ชั่วช้าก็คิดหลอกล่อให้พี่ชายนางมาชิงตัวเขากลับแคว้น!
สงครามขนาดย่อมระหว่างฝูซินและจื่อเว่ยสงบลงชั่วคราว นางหลบหลังเสา ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์บุรุษอย่างช่ำชอง ไม่ถึงครึ่งก้านธูป[3] หญิงสาวก็ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับเขา
จื่อเว่ยเอนกายบนเตียง อาภรณ์ที่สวมอยู่อย่างหลวมๆ แบะออกเผยให้เห็นแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและรอยแผลซึ่งเลือดหยุดไหลแล้ว มือข้างหนึ่งโยนกระปุกยาในมือเล่น มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์
เส้นผมดำขลับราวกับม่านไหมถูกรวบม้วนขึ้นจนหมด ไรผมกลุ่มเล็กๆ คลอเคลียข้างพวงแก้ม ผิวกายที่โผล่พ้นคอเสื้อคล้ำกว่าใต้ร่มผ้าเล็กน้อย กระนั้นแล้วเครื่องหน้าของนางก็เหมาะเจาะและเด่นชัดเกินกว่าจะปฏิเสธว่านางไม่งาม อาจเป็นเพราะขนคิ้วสีอ่อนที่หนากว่าสตรีในต้าฉิน จึงทำให้ใบหน้าของนางแลดูคมเข้มกว่าสตรีทั่วไป
สตรีต้าฉินนิยมโกนขนคิ้วแล้ววาดใหม่ ทว่าฝูซินมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะนางต้องฝึกฝนร่างกายตลอดเวลา มิมีเวลาใส่ใจความงามดังเช่นสตรีทั่วไป กระนั้นแล้วหากมองเผินๆ ดวงตาของนางก็ใสกระจ่างราวกับห้วงธารลึก คล้ายว่าใครๆ ก็สามารถอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่นางจงใจเปิดเผยนั้น แท้จริงแล้วลึกล้ำถึงขั้นใด
ดวงตาของนางเป็นสีน้ำตาลเข้ม แปลกแตกต่างจากสตรีทางตะวันตก บางครั้งก็กระจ่างใส บางคราวก็ขุ่นมัว ราวกับสภาพอากาศในทะเลที่แปรปรวนยากคาดเดา
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มอ่อนตามสภาพอารมณ์ พบเห็นได้เพียงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของแคว้นเว่ยเท่านั้น เชื้อสายของเว่ยหวางไหลเวียนอย่างเข้มข้นในตัวนาง กอปรกับรอยสักรูปผีเสื้อตรงกกหูด้านขวา บ่งบอกว่านางถือกำเนิดจากหวางเฟย บรรดาศักดิ์ของแคว้นเว่ยถูกจัดลำดับตั้งแต่เกิดจนตายไม่เปลี่ยนแปลง ลวดลายผีเสื้อสยายปีกอันเป็นเอกลักษณ์จะสืบทอดเฉพาะทายาทลำดับห้าของเว่ยหวาง หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่สืบทอดความสามารถพิเศษของตระกูลเว่ยเท่านั้น
“มองพอหรือยัง” ฝูซินกล่าวเสียงเรียบ มิได้ขัดเขินกับแววตาที่ประเดี๋ยวร้อนแรงประเดี๋ยวเย็นเยียบของเขา นางยืนตัวตรง เชิดหน้าอย่างทระนง ระเบียบที่ฝึกในกองทัพทำให้นางยืนเช่นนี้จนติดเป็นนิสัย ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูด้วยแล้ว อย่าหวังว่านางจะยอมอ่อนข้อให้โดยง่าย
จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ มองนางราวกับมุสิกที่ไม่รู้จักกลัวแมว พลันโยนขวดยาให้นาง “มาใส่ยาให้ข้า”
ปฏิกิริยาตอบสนองของนางว่องไว มือเอื้อมรับโดยสัญชาตญาณ
ฝูซินนิ่งชะงัก เปิดจุกขวดยาแล้วใช้มือพัดให้กลิ่นโชยเข้าจมูกอย่างระมัดระวัง จื่อเว่ยเลิกคิ้วข้างหนึ่ง กล่าวสำทับ “ไม่ต้องกลัวไป ยาสมานแผล มาใส่ยาให้ข้า”
“จำเป็นต้องช่วยเจ้าด้วยหรือ มือเจ้าก็มี”
ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาลงอย่างมาดร้าย กล่าวเสียงเย็น “หากข้าประกาศว่าองค์หญิงห้าแห่งแคว้นเว่ยบุกเข้าห้องข้า คิดดูสิว่าผลร้ายจะตกอยู่ที่ใคร แม้เจ้าจะมีหกเศียรแปดกร ก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดจากกององครักษ์ของข้าไปได้ อ้อ…อย่าลืมว่าหญิงสาวบุกเข้ามาในห้องบุรุษ รู้ถึงไหนก็เสื่อมเสียถึงนั่น โดยเฉพาะหากคนจับได้ว่าเจ้าคือใคร”
ฝูซินถลึงตาใส่เขา นางข่มกลั้นโทสะไว้ในใจ ย่างสามขุมเข้าหาชายหนุ่มที่แต่งตัวรุ่มร่ามโดยไม่มีอาการเขินอายแม้แต่น้อย
มือที่สากเล็กน้อยของฝูซินแหวกสาบเสื้อของจื่อเว่ย ครั้นเห็นว่าเขาเกร็งแขนก็กระตุกยิ้มมุมปาก “ทำไม หรือกลัวข้าแล้ว”
จื่อเว่ยหลุบตามองริมฝีปากนาง เอ่ยเสียงพร่า “ระยะห่างเพียงเท่านี้ ข้าสามารถใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจฉีกกระชากอาภรณ์ของเจ้า จากนั้น…”
“หุบปากถ้ายังอยากให้ข้าใส่ยาให้เจ้าอยู่”
“หึ องค์หญิงผู้บ้าดีเดือด คิดไม่ถึงว่าเรื่องระหว่างชายหญิงกลับอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ อึก!”
ฝูซินจงใจกดแผลของเขาจนเลือดซึม จื่อเว่ยจึงหุบปากลงได้ จากนั้นจึงเทผงยาจนหมดขวดอย่างประชดประชัน
“เสร็จแล้ว”
จื่อเว่ยคว้าแขนของฝูซินไว้ก่อนที่นางจะลุกขึ้น พลันกระชากนางให้ขึ้นมาบนเตียงอย่างรวดเร็ว ครั้นนางกำลังจะต่อต้าน เขาก็พลิกกายคร่อมร่างนางไว้ เกศาดำขลับแผ่สยายปกคลุมใบหน้าของหญิงสาว จมูกพลันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่กำจายออกมาจากร่างกายเขา ผงยาที่ใส่เมื่อครู่ฟุ้งกระจายจนเกือบจะทำให้ฝูซินจาม จื่อเว่ยเอามือปิดปากนางแล้วเขม่นตาให้เงียบ
เพียงชั่วอึดใจประตูห้องของเขาก็เปิดออก ผู้มาเยือนชะงักเท้าเล็กน้อย โบกมือให้คนยกสำรับอาหารเข้ามา
“อา…มิคาดว่าไท่จื่อกำลังเล่นสนุกอยู่ โอ๊ะโอ…เป็นหนุ่มน้อยจากที่ใดกันเพคะ”
ผู้มาเยือนคือองค์หญิงแปด...ปาเซียน
จื่อเว่ยหลับตาครู่หนึ่งเพื่อข่มกลั้นโทสะในอก คนขององค์หญิงรองยังไม่ทันโดนจัดการ องค์หญิงแปดก็เข้ามารับโทษถึงที่
เรือนร่างหอมกรุ่นของปาเซียนก้าวเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ สองมือสอดประสานไว้ใต้แขนเสื้อ ดวงตาหวานซึ้งจ้องมองจื่อเว่ยโดยที่ไม่ปิดกั้นอารมณ์ส่วนลึก อาภรณ์สีชมพูหวานรัดรึงเนินเนื้ออวบอิ่มจนล้นปรี่ เอวบางคอดกิ่วแขวนถุงหอมสีเดียวกัน เครื่องหน้างดงามตรึงตรา อากัปกิริยาอ่อนหวาน
ทว่าจื่อเว่ยเพียงปรายมองนางแวบหนึ่ง กล่าวเสียงเย็นชา “ขอบคุณน้องแปดที่มีใจเป็นห่วงข้า”
ปาเซียนยกยิ้ม เคลื่อนกายเข้าใกล้ชายหนุ่มราวกับว่าท่าทางล่อแหลมของเขามิได้ทำให้นางกระดากอายเท่าใดนัก ทั้งยังทำท่าทีราวกับว่ามันน่าสนใจเสียเหลือเกิน
“วันนี้หนุ่มน้อยที่ท่านพามาเป็นใคร”
นางถามราวกับว่าตนเองเป็นเจ้าของตัวเขา จื่อเว่ยหลับตาข่มกลั้นโทสะ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า…”
“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร…หากเสด็จพี่ไม่รังเกียจ”
จื่อเว่ยรวบเส้นผมของตนขึ้น ผินหน้ามององค์หญิงปาเซียนผู้ไร้ยางอายพลันยิ้มเยาะนาง “หากน้องแปดต้องการ องครักษ์ของข้าที่อยู่ข้างนอกนั้นก็เพียงพอให้เจ้าหายอยากไปหลายวันแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่นางผู้นี้มิใช่บุรุษ”
องค์หญิงปาเซียนขมวดคิ้ว สีหน้าโกรธขึ้งผุดวาบขึ้นมา นางกล่าวเสียงแข็ง “นาง? ท่านมิได้…”
จื่อเว่ยหัวเราะเสียงเย็น “มิใช่ว่าน้องแปดต้องการบุรุษจนทนไม่ไหว ให้คนมารับองครักษ์ข้าไปปรนนิบัติทุกวันหรือ ข้ามิได้สนใจบุรุษอยู่แล้ว ไยน้องแปดทำสีหน้าเช่นนั้นเล่า?”
ฝูซินขมวดคิ้ว เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนพี่ชายกับน้องสาวกำลังทะเลาะแย่งบุรุษกันนะ
“แต่ท่านนอนกับบุรุษ…”
“หืม? องครักษ์ก็ต้องนอนเฝ้าข้าอยู่แล้ว มีอะไรผิดปกติหรือ?”
“ท่านมิเคยให้สตรีขึ้นเตียงกลางวันแสกๆ มาก่อน”
“ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว”
“ไม่ได้! ข้าไม่ยอม” นางพูดอย่างร้อนรน ที่ตรงนั้นต้องเป็นของนาง
“หยุด! ก่อนที่เหล่านางกำนัลจะหมดความนับถือเจ้าปาเซียน!”
จื่อเว่ยกล่าวเสียงแข็ง
“ท่านมิได้ชอบสตรี ท่านรังเกียจสตรีมิใช่หรือ”
“หึ ข้ารังเกียจเจ้าต่างหาก”
น้ำเสียงไร้เยื่อใยของจื่อเว่ยทำให้องค์หญิงปาเซียนทรุดเข่าลงอย่างหมดแรง จนนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกต้องวุ่นวายเข้ามาประคองด้วยความตกใจ ดวงตาหวานซึ้งพลันมีน้ำตาเอ่อ พร้อมกับเสียงสะอื้นอย่างน่าเวทนา
“ไม่จริง…เสด็จพี่โกหก”
จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ เขาเลื่อนฝ่ามือออกจากปากของฝูซิน ก้มลงดูดกลืนริมฝีปากนางต่อหน้าองค์หญิงแปดและนางกำนัลทั้งหมด
ฝูซินตัวแข็งทื่อ ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ริมฝีปากถูกเขาดูดดึงอย่างหยาบคาย กลีบปากพลันเจ็บแปลบราวกับว่าถูกเขากัดกินอย่างไรอย่างนั้น หญิงสาวกลั้นหายใจ กำหมัดแน่นด้วยความตกตะลึง
จื่อเว่ยถอนริมฝีปากออก หันไปคลี่ยิ้มให้กับองค์หญิงปาเซียน “นางเป็นว่าที่ไท่จื่อเฟยของข้า…เช่นนี้น้องแปดพอจะรับได้หรือไม่”
“ไม่!” ฝูซินปฏิเสธเสียงแข็ง ยกเท้าทั้งสองข้างถีบจื่อเว่ยเต็มแรงจนตกเตียง
พลั่ก!
“กรี๊ด!!! บังอาจ” องค์หญิงปาเซียนกรีดร้องเสียงดังราวกับคนวิปลาส นางเพิ่งถูกเสด็จพี่ที่นางคลั่งไคล้ไล่ออกจากห้อง ทว่าสตรีน่ารังเกียจนางนี้กลับทำร้ายร่างกายเขา ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
หลังจากเสียงหวีดร้องขององค์หญิงแปด องครักษ์นับสิบพลันกรูกันเข้ามาในทันใด
ครั้นเหล่าองครักษ์เข้ามาถึง ก็พลันเห็นว่าองค์หญิงปาเซียนร่ำไห้ปิ่ม
จะขาดใจ ไท่จื่อของพวกเขากลับนั่งแผ่หลาบนพื้นแล้วหัวเราะเสียงเย็น อาภรณ์รุ่ยร่ายจนเห็นบาดแผลบนอกที่มีเลือดซึมออกมา ส่วนคนบนเตียง บัดนี้นางยืนเท้าสะเอว ถลึงตาดุร้ายราวกับแม่เสือและตั้งท่าจะลงมากระทืบไท่จื่อของพวกเขาซ้ำ
องครักษ์นายหนึ่งตั้งสติได้ ปราดเข้าไปขวางหน้าไท่จื่อของเขาด้วยความภักดี
“เจ้าบังอาจทำร้ายไท่จื่อ!”
จื่อเว่ยยิ้มเย็น เอียงคอมองฝูซินด้วยสายตาของผู้ชนะ พลางส่งเสียงด้วยความตกใจ “โอ๊ะ…ความแตกซะแล้ว”
[1] 1 ผิง ประมาณ 3 เศษ 1 ส่วน 3 ตารางเมตร
[2] 10 ชุ่น
[3] 1 ก้านธูปเท่ากับ 15 นาที ครึ่งก้านธูปประมาณ 7-8 นาที