ตอนที่ 1 มือสังหาร

2007 Words
ตอนที่ 1 มือสังหาร   พยับเมฆคล้อยผ่านยามอาทิตย์อัสดง ประกายแสงอ่อนจางกระจายเหนือน่านฟ้า ครั้นกระทบละอองหิมะที่ถูกลมแรงพัดพา จึงบังเกิดภาพคล้ายเหล่าเทพเซียนบนสรวงสวรรค์กำลังโปรยบุปผชาติเพื่อแสดงความยินดีให้กับไท่จื่อพระองค์แรกแห่งอาณาจักรต้าฉิน ผ่านมานับสองศตวรรษ ในที่สุดต้าฉินก็เพิ่งจะมีรัชทายาทที่ถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาล ทั้งยังไม่ใช่โอรสองค์โตอีกด้วย ฉงเยว่ไท่จื่อ…จื่อเว่ย ลานกว้างกลางเมืองเฟิงหยางเป็นสถานที่จัดงานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ในฤดูหนาวของปีซินซื่อ[1] แท่นสี่เหลี่ยมยกสูงราวสองจั้งคือพระที่นั่งสำหรับฉินเยว่หวงตี้ซึ่งทรงฉลองพระองค์สีดำปักลวดลายมงคลทั้งสิบสอง[2]ด้วยไหมทองอันวิจิตรบรรจง ถัดจากนั้นจึงเป็นหวงโฮ่ว หวงไท่โฮ่วและเหล่าฟูเหรินทั้งหลาย ที่ต่างก็แต่งกายด้วยอาภรณ์หลากสีสัน ราวกับหมู่มวลบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ บรรดาองค์ชายและองค์หญิงถูกจัดให้นั่งเบื้องล่างเพื่อให้สะดวกแก่การเคลื่อนไหว โดยที่นั่งฝั่งขวาที่ใกล้ชิดพระแท่นขององค์จักรพรรดิมากที่สุดก็คือเจ้าของงานเฉลิมฉลองในครั้งนี้ ฉงเยว่ไท่จื่อ…จื่อเว่ย องค์ชายสามผู้ประสูติจากหยินซีหวงโฮ่ว แม้พระเชษฐาองค์โตจะประสูติจากหวงโฮ่วเช่นกัน ทว่าตำแหน่งไท่จื่อกลับตกสู่มือของจื่อเว่ยผู้ไร้ฐานอำนาจอย่างง่ายดาย เรื่องนี้จึงสร้างความกินแหนงแคลงใจระหว่างบรรดาโอรสธิดาทั้งหลายต่อจื่อเว่ยอย่างยิ่ง แม้ว่าพระญาติทางฝ่ายหวงโฮ่วจะเป็นจวนของเซี่ยโหว ทว่าจื่อเว่ยกลับมิได้สนใจฐานอำนาจเหล่านั้น เขาแยกตัวออกมาจากอำนาจของตระกูลฝั่งพระมารดา ยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นลมในราชสำนักด้วยการดำรงตำแหน่งทางราชการ ไม่รับการคารวะส่วนตัวจากขุนนางกรมกองใดทั้งสิ้น กล่าวกันว่าตำแหน่งทางราชการของเขานั้นขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เหล่าขุนนางต่างก็ไม่กล้าข้องเกี่ยวกับเขา กระทั่งความสัมพันธ์กับองค์ชายใหญ่ผิงอันก็ยังห่างเหินเย็นชาต่อกัน กล่าวได้ว่าฉงเยว่ไท่จื่อกระทำตนประหนึ่งไร้ญาติขาดมิตรก็ไม่ผิดนัก กระทั่งงานเฉลิมฉลองในครั้งนี้ เมื่อองค์จักรพรรดิทรงออกพระโอษฐ์ว่าให้เขาจัดการด้วยตนเอง ไท่จื่อคนนี้ถึงกับกลั่นแกล้งคนตั้งแต่เบื้องบนยันเบื้องล่าง งานเฉลิมฉลองกลางลานกว้างในฤดูหนาวของต้าฉิน เท่ากับกลั่นแกล้งทั้งผู้ที่อยู่เบื้องบนอย่างองค์จักรพรรดิและข้าราชบริพารทั้งหลายที่ยืนตัวสั่นด้วยความหนาวเหน็บ แม้ว่าชุดจี๋ฝู[3]ที่สวมกันอยู่จะทั้งหนาและหนัก แต่ก็มิอาจช่วยให้คนเหล่านั้นไม่สั่นเทาเพราะความหนาวเย็นได้ มีเพียงบรรดานางกำนัลและขันทีที่ยังคอยวิ่งวุ่นเพื่อนำเตาอุ่นมาเปลี่ยนให้เท่านั้นที่เหนื่อยเหงื่อโทรมกาย กล่าวกันว่าเหล่าขุนนางเฒ่าทั้งหลายที่มักจะเอ่ยปากคัดค้านทุกโครงการของฉงเยว่ไท่จื่อ บัดนี้ได้แต่หน้าชื่นอกตรม แย้มยิ้มทั้งๆ ที่ฟันบนล่างกระทบกันจนแทบแตกเพราะความหนาวเย็น สายตาทิ่มแทงนับร้อยคู่จดจ้องมายังฉงเยว่ไท่จื่อ คมหอกคมดาบพร้อมจะเบนมาที่เขาอย่างไม่คิดเกรงกลัวพระราชอำนาจขององค์จักรพรรดิ ทว่าตัวคนที่ถูกจับตามองกลับมิได้อนาทรร้อนใจ ดวงตาคมยังคงสงบนิ่ง จดจ่ออยู่กับนางระบำหน้าขาวที่อยู่กลางเวที พร้อมทั้งสาดสุราร้อนแรงลงคออย่างใจเย็น บางครั้งเหล่าขุนนางเฒ่าที่ลอบถลึงตาอย่างเดือดดาลใส่ฉงเยว่ไท่จื่อยังแทบกระอักเลือดเพราะรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ประดับริมฝีปากทุกครั้งที่เผลอสบสายตา นั่นมิเท่ากับว่ากำลังสำราญพระทัยเหลือคณาหรอกหรือ! เรื่องเหล่านี้ถึงจะอยากร้องเรียน คนเหล่านั้นก็มิบังอาจ เพราะโอรสสวรรค์ที่ประทับบนพระแท่นสูงยังมิเคยออกพระโอษฐ์ดุด่าสักคำ ทั้งยังเปรยๆ ว่าวันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นมาก สมควรอาบแดดกันสักชั่วยามสองชั่วยามเพื่อให้เลือดลมสูบฉีด สุขภาพจะได้แข็งแรงปราศจาคโรคภัย เฮอะ! สวรรค์ทรงโปรด ที่แท้แล้วตำแหน่งขุนนางอันใหญ่โตที่บรรดาประชาชนให้ความเคารพยำเกรงยังเป็นอะไรได้อีก ถูกบิดาและบุตรคู่นี่รังแกจนเลือดลมจุกอกแทบตายแล้ว   จังหวะกลองศึกในการแสดงระบำดาบกลางเวทีกระตุ้นเลือดลมร้อนแรงในอกของผู้คนจนบังเกิดความฮึกเหิม อาภรณ์น้อยชิ้นสีแดงชาดที่นางระบำทั้งสามสวมอยู่สะบัดพลิ้ว ผิวขับให้ขาวปานหิมะของพวกนางที่ปรากฏใต้แสงอาทิตย์อัสดงคล้ายเปลวเพลิงร้อนแรง เนินเนื้อนวลเนียนกระเพื่อมไหวตามจังหวะเร่งเร้า ทรวดทรงอรชรบิดส่ายคล่องแคล่วประเปรียวประดุจกิ่งหลิวที่สะบัดพลิ้วตามแรงลม พานให้ผู้คนที่พบเห็นบังเกิดความกระหายอย่างแรงกล้า คงมีเพียงนางระบำเหล่านี้เท่านั้นที่พอจะเรียกว่า...สามารถสร้างความบันเทิงเริงใจได้ เมื่ออยู่กลางเวที ยามที่ร่างกายของพวกนางเคลื่อนไหวด้วยจังหวะดุดันระคนร้อนแรง แม้อาภรณ์จะน้อยชิ้น หรืออากาศจะเหน็บหนาวเพียงไร ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกนางรู้สึกอย่างไร เพราะดวงหน้าทั้งใบถูกพอกแป้งขาว คิ้วโก่งวาดด้วยถ่านดำจนไม่มีเค้าเดิม ริมฝีปากทาชาดแดงเข้มราวกับโลหิต ใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้า หากมิได้สังเกตอย่างละเอียด กลับไม่สามารถแยกนางระบำทั้งสามจากกันได้ ดวงตาหงส์กวาดมองบุรุษรอบด้านที่แสดงสายตาหื่นกระหายอย่างโจ่งแจ้ง สังเกตรายละเอียดและทางหนีทีไล่ระหว่างเคลื่อนไหวด้วยท่าระบำอันน่าตื่นเต้น พลันเห็นว่าเป้าหมายนั่งอยู่ไม่ไกล เขาสวมอาภรณ์สีดำปักลายมงคล แววตาเรียบเฉยต่างจากใบหน้าที่แย้มยิ้มซึ่งดูคล้ายกำลังเย้ยหยันสรรพสิ่ง น่าแปลก...สายตาคมกล้านั้นกลับมิได้ละไปจากตัวนาง แย่ล่ะ…หรือเขาจะดูออก หญิงสาวในชุดนางระบำลังเลใจเล็กน้อย ดวงตาหงส์ปรายมองคนตีกลองคราหนึ่ง รอคอยจังหวะสัญญาณ ตึง…ตึง ตึง ตึง ตึง เท้าเปล่าเปลือยโจนทะยานไปข้างหน้า เหวี่ยงดาบปลายห่วงในมือไปยังเป้าหมายในทันใด ผู้คนแตกตื่น ทว่ามิได้แตกตื่นเพราะตกใจกลัว คนเหล่านี้กำลังตื่นเต้น เหล่าขุนนางต่างก็ภาวนาให้สตรีนางนี้สังหารไท่จื่อพระองค์นี้เสียให้สิ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงความคิดเหลวไหลก็ตาม สวรรค์เท่านั้นที่รู้ใจพวกเขา แต่มันจะเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร  ใครหน้าไหนจะยังกล้าสังหารรัชทายาทของอาณาจักรใหญ่อย่างต้าฉินได้ นั่นมิเท่ากับว่าโง่งมแล้วหรือ สีหน้าของจื่อเว่ยยังคงนิ่งสงบ เขาลุกขึ้น มิได้วิ่งหนี ทว่ากลับเคลื่อนกายเข้าหานางอย่างรวดเร็ว กลีบปากได้รูปเผยอยิ้มงามจนคนมองตาพร่า ยื่นแขนแกร่งโอบเอวนางแน่น แรงเหวี่ยงส่งให้คนทั้งสองหมุนกลางอากาศ ธนูดอกหนึ่งเฉี่ยวปลายหูนางไปไม่ถึงชุ่น[4] ขณะกำลังจะพลิกตัวหนีตามสัญชาตญาณ ข้อมือพลันถูกจื่อเว่ยกระแทกจนอ่อนแรง ดาบในมือร่วงสู่มือเขา ครั้นเท้าแตะพื้น เขากลับกระโจนตัวสูงขึ้นอีกครั้ง กอดร่างนางแนบอก ดาบในมือปัดป้องธนูลับที่ยิงมาอย่างไม่ปรานี กลิ่นอายบุรุษโอบล้อมจนนางมึนงงไปชั่วขณะ ไม่ถูกต้อง! “มีคนร้าย!” ใครบางคนตะโกนเสียงดัง คราวนี้เหล่าขุนนางต่างตกใจจนหูอื้อตาลายที่เรื่องซึ่งเป็นเพียงจินตนาการกลับกลายเป็นเรื่องจริง ได้แต่กู่ร้องในใจพร้อมแก้ตัวกับสวรรค์ว่าตนเองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพียงชั่วอึดใจเหล่าองครักษ์จึงกรูเข้ามาช่วยปัดป้อง บรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์กรีดร้องโวยวายด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เบื้องหน้ามิใช่การแสดงแล้ว “คุ้มครองจักรพรรดิ คุ้มครองเชื้อพระวงศ์!” ฝูซินตื่นตระหนกในใจ ในแผนการมิได้มีธนูมาเกี่ยวข้อง แล้วธนูปริศนามาจากที่ใดกัน หรือเสด็จพี่ของนางเปลี่ยนแผน? จื่อเว่ยร่อนลงพื้น ตกอยู่ในการคุ้มครองของเหล่าองครักษ์ ฝูซินพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดของเขา ทว่าข้างหูพลันได้ยินเสียงขู่กำชับอันเย็นเยียบ “อยู่นิ่งๆ หากเจ้ายังไม่อยากถูกบั่นคอในตอนนี้” กระแสลมเย็นพัดวูบจนตัวของนางสั่นเทาเล็กน้อย เกล็ดหิมะโปรยลงมาใส่ปลายจมูก ก่อนจะละลายไปกับอุณหภูมิของร่างกาย ลมหายใจของนางถี่กระชั้น ตัวแข็งทื่อไปโดยปริยาย หลังจากร่ายระบำจนเหงื่อท่วมตัว บัดนี้กลับรู้สึกหนาวเหน็บในใจอย่างยิ่ง “ไท่จื่อ นางคนนี้…” องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยถาม จื่อเว่ยยกมือขึ้นห้าม กล่าวเสียงเรียบ “นางเป็นคนของข้า เมื่อครู่หากไม่ได้นางช่วย ธนูคงเสียบคาอกข้าแล้ว กลับตำหนักก่อน” แม้จะสงสัย ทว่าองครักษ์กลับไม่กล้าสงสัยคำพูดของผู้เป็นนาย “พ่ะย่ะค่ะ” ขบวนคุ้มครองไท่จื่อเบียดอัดไปด้วยเหล่าองครักษ์ที่มีกลิ่นเหม็นสาบ ฝูซินถูกผ้าสีดำคลุมทับศีรษะ มองเห็นแต่เพียงรอยเท้า ถูกเขากึ่งลากกึ่งจูงให้เดินตามไป กระทั่งได้ยินเสียงเล็กแหลมของนางกำนัลที่เฝ้าต้นทาง เท้าพลันสะดุดกับพื้นที่ต่างระดับจนล้มคะมำ ตุ้บ! ไม่มีมือยื่นมา ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่เสียงฝีเท้าที่จากไปและเสียงปิดประตู ฝูซินกัดริมฝีปาก ดึงผ้าที่คลุมศีรษะออกด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน ครั้นสายตาปรับการมองเห็นได้แล้ว พลันเห็นว่าที่ยืนค้ำศีรษะนางอยู่ก็คือ…เป้าหมายในการลอบสังหารครั้งนี้ ดวงตาคมกริบทิ่มแทงจนนางต้องเสหลบตา กลีบปากบางเม้มแน่น “เจ้าชื่ออะไร” ไม่ตอบ…เรื่องอะไรนางจะตอบ “ใครส่งเจ้ามา” ตอบนางก็ตายสถานเดียวเท่านั้น เขานิ่งไปชั่วอึดใจ ทันใดนั้นพลันตะโกนบอกคนด้านนอก “เอาน้ำร้อนเข้ามา” ฝูซินสะดุ้งเล็กน้อย ทว่าสามารถเก็บอาการไว้ได้อย่างทันท่วงที หางตาของนางกระตุก คล้ายว่า...ลางร้ายกำลังจะมาเยือน นางหลุบตาลงต่ำ ยังคงดื้อดึง จื่อเว่ยย่อเข่าลง หรี่ตามองนางด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะหันไปทางประตู “ส่งองครักษ์มาสี่นาย จับนางแก้ผ้า ผลัดกันเชยชมแล้วส่งใครสักคนมาวาดรูปนางแปะประจานทั่วต้าฉิน!” ใจของฝูซินแกว่งไกวด้วยความตระหนก นางถลึงตาใส่เขาอย่างเดือดดาล รุ่มร้อนในอกจนอยากจะใช้กรงเล็บฉีกกระชากร่างกายเขาจนเหลือแต่เพียงกระดูก สวรรค์! เขามันปีศาจชัดๆ   [1]     ปีงูทอง นับตามปฏิทิน 60 ปี ในระบบเทียนก้านตี้จื่อ [2]     ในคัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์ ซ่างซู (**********ū) หนึ่งในงานประพันธ์ของขงจื๊อ อ้างถึงบันทึกของจักรพรรดิช่วน (**) ตรัสเรื่องเกี่ยวกับฉลองพระองค์ที่จะใช้อย่างเป็นทางการว่า “ข้าฯ ปรารถนาจะเห็นรูปสัญลักษณ์โบราณเหล่านี้ อันมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ขุนเขา มังกร ไก่ฟ้า ปรากฏที่ส่วนบนของฉลองพระองค์ ส่วนจอกคู่ สาหร่าย เครื่องหมายผู้ทรงธรรม ธัญญาหาร ขวานและเครื่องหมายพลังแห่งปัญญา ปรากฏที่ส่วนล่างของฉลองพระองค์ ข้าฯปรารถนาจะเห็นเครื่องหมายมงคลเหล่านี้ด้วยสีสันทั้งห้า เพื่อให้เป็นฉลองพระองค์อย่างเป็นทางการ ที่จักรพรรดิเท่านั้นเป็นผู้ทรงสิทธิ์ในการสวมใส่” จากการเรียบเรียงบันทึกประวัติศาสตร์จีนของ ซือหม่าเฉวียน มีบันทึกการตีความหมายเกี่ยวกับ เครื่องหมายอันเป็น สัญลักษณ์ลายมงคล แทนความหมายต่าง ๆ 12 ความหมาย   [3]     ชุดมงคงที่ใช้สวมใส่ในงานพระราชพิธี [4]     1 ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD