ตอนที่ 5 ต่อให้ถอดอาภรณ์แล้วยั่วยวนข้า 2

4018 Words
ตอนที่ 5 ต่อให้ถอดอาภรณ์แล้วยั่วยวนข้า 2   ช่วงเวลาที่เห็นไหล่เล็กๆ ของเซวียนหลินผู้เป็นน้องสาวสั่นไหว กอปรกับคำพูดชักจูงของจื่อเว่ย นางก็ได้แต่ครุ่นคิดในใจอยู่พักหนึ่ง “น้องสาม…เสด็จพ่อบอกว่าองค์หญิงฝูซินจะพำนักในตำหนักเจ้าหรือ” “อืม” ฝูซินเงยหน้าขึ้น ผู้มาใหม่คือองค์ชายใหญ่...ผิงอัน องคาพยพทั้งห้าเด่นชัด รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ดวงตาคมกริบทว่าแฝงแววยิ้มอ่อนโยน รอบกายแผ่กลิ่นอายอันไม่ธรรมดาออกมา ความกดดันระหว่างสองพี่น้องนี้ฝูซินสัมผัสได้ ความห่างเหินระหว่างคนสองคนทำให้คนรอบข้างเบือนหน้าคล้ายกับมิได้สนใจ แต่ก็คงตั้งใจถ่างหูรอฟังอยู่แล้ว นางหยัดกายขึ้น ย่อกายอย่างอ่อนช้อย “ฝูซินคารวะองค์ชายใหญ่” ใบหน้าสุภาพของผิงอันเปลี่ยนไป เขาฉีกยิ้มกว้าง คล้ายกับมีดอกไม้เบ่งบานรอบตัว ฝูซินมองเขานิ่งงัน พลันคิดว่านิสัยขององค์ชายใหญ่ผู้นี้ช่างเปิดเผยจริงใจเสียนี่กระไร กระนั้นแล้วด้วยสถานะระหว่างทั้งสอง นางจึงมิได้แสดงอากัปกิริยาใดๆ อีก “องค์หญิงฝูซิน ดวงตาของเจ้าทำให้ข้าคิดถึงดาวจื่อเวย” รอยยิ้มของฝูซินผุดขึ้นบางๆ ก้มหน้าอย่างเขินอาย ดวงตาคู่งามหลุบมองปลายเท้า เก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ “ขอบพระทัยเพคะ” “น้องสาม องค์หญิงฝูซินเปี่ยมด้วยหลักจริยางดงามเช่นนี้ ด้วยรสนิยมของเจ้าเกรงว่าจะเป็นการทำให้นางถูกติฉินนินทาเป็นแน่” “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่ที่ทรงเป็นกังวล” ฝูซินชิงพูดขึ้นก่อน มองหน้าจื่อเว่ยแล้วยิ้มบางๆ “ฝูซินมีจิตปฏิพัทธ์ต่อไท่จื่อ หากมีโอกาสได้ถวายการรับใช้ คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย อีกอย่างเสด็จพี่ได้ฝากฝังฝูซินไว้กับไท่จื่อ คิดจะให้ฝูซินหาที่พำนักใหม่ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนักเพคะ” ที่จริงอยู่กับจื่อเว่ย อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครบังคับขืนใจ รอยยิ้มประดุจแสงตะวันเจิดจ้าขององค์ชายใหญ่ผิงอัน มีเบื้องหลังที่ไม่ใคร่ธรรมดาเท่าใดนัก อย่างน้อยเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับนางกำนัลจำนวนไม่น้อยที่หายตัวไปอย่างลับๆ ก็มิใช่เรื่องที่ไม่มีมูลกระมัง องค์ชายใหญ่แย้มยิ้ม ประหนึ่งมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น เขาตบบ่าจื่อเว่ย หัวเราะอารมณ์ดี “น่าอิจฉาน้องสามนัก มีหญิงงามมาสนใจตั้งมากมายเช่นนี้ เห็นทีว่าในอนาคต นางคงมิใช่เพียงแขกในตำหนักเจ้ากระมัง” จื่อเว่ยหัวเราะ ขยับมาโอบรอบบ่าของฝูซินอย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้างดงามเกินชายฉีกยิ้มกว้าง เผยไรฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวย หลอกล่อหญิงงามที่อยู่โดยรอบให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล เขาเชยคางฝูซินขึ้น สบตานางแล้วกล่าวยิ้มๆ “หญิงสาวที่มีดวงตา ของดาวจื่อเวย ย่อมคู่ควรกับไท่จื่อของต้าฉินมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ผู้คนที่ไม่เคยเห็นอารมณ์รื่นเริงของจื่อเว่ยพลันตาพร่าไปชั่วขณะ หลายคนต้องขยี้ตาซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจว่ามองไม่ผิด ฉงเยว่ไท่จื่อผู้อื้อฉาว เคยแค่โอบไหล่องครักษ์สรวลเสเฮฮา กับหญิงสาวทั่วไปแล้วมิได้ใส่ใจอะไรมากนัก อย่างมากก็ใช้นางกำนัลเล็กๆ เพื่ออุ่นเตียง หลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่มีชาติตระกูลสูง ทว่าครั้งนี้กล้าโอบเอวหัวร่อต่อกระซิกกับองค์หญิงแห่งแคว้นเว่ย ย่อมมิใช่เรื่องปกติเป็นแน่แท้ องค์หญิงห้าที่แม้แต่เว่ยหวางยังต้องเสด็จมาส่งด้วยองค์เอง เบื้องหลังของนางคือแคว้นเว่ยทั้งแคว้น ในคำทำนายหนึ่งของต้าฉิน…หากดาวจักรพรรดิอ่อนแสงลง นั่นหมายความว่าดาวจักรพรรดิดวงใหม่กำลังเปล่งประกาย ไม่แน่ว่าองค์หญิงนางนี้ อาจจะช่วยส่งเสริมจักรพรรดิพระองค์ใหม่ในอนาคตก็เป็นได้ ถ้อยคำที่องค์ชายใหญ่กล่าวขึ้นมา ได้สร้างคลื่นใต้น้ำครั้งใหญ่ในต้าฉิน หลายฝ่ายต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ “จริงสิ องค์ชายหนานกงจะเสด็จมาถึงในอีกสามวัน เสด็จพ่อบอกว่าจะจัดงานรื่นเริงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เกิดเรื่องวุ่นวาย อย่างไรก็แล้วแต่ อย่าได้ทำให้องค์หญิงฝูซินบอบช้ำนักล่ะ มิเช่นนั้นข้าเองก็คงได้แต่ละอายที่เห็นบุปผางามร่วงโรย” จื่อเว่ยก้มศีรษะน้อยๆ มองปราดไปยังผู้คนที่คอยชมฉากทะเลาะเบาะแว้งของสองพี่น้อง พลันหัวเราะในลำคอ “ที่จริงช่วงเวลานี้หลายคนมีงานให้ทำ หรือว่าตอนนี้มิอยากมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขกันแล้ว ข้าผู้เป็นไท่จื่อจะได้แบ่งสรรงานที่ต้องสะสางให้ทุกคนทำ โดยเฉพาะงานสร้างฝายก่อนที่จะเข้าฤดูใบไม้ผลิ” เพียงชั่วอึดใจพวกคนเหล่านั้นพลันหายไปจนหมด ใครๆ ต่างก็ทราบว่าฉงเยว่ไท่จื่อรับงานสร้างฝายมาจากจักรพรรดิ หากมีใครทำอะไรไม่เข้าตา สามารถส่งไปเป็นคนงานฝายได้ทุกเมื่อ โดยเหตุที่ว่าไม่มีพรรคพวกเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่คอยสนับสนุน นอกจากญาติทางฝ่ายหวงโฮ่วที่เป็นพระมารดา ที่นานๆ ครั้งจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซง การลงดาบกับใครก็ตามที่ไม่เข้าตาจึงเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง เหลือแต่องค์ชายใหญ่ที่ยังทำตัวไม่รู้สึกรู้สา อาจเป็นเพราะเป็นพระเชษฐา จึงไม่กลัวอำนาจของไท่จื่อ จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ หันมาพูดกับฝูซิน “ไปตำหนักจื่อเยว่กับข้า ของที่เหลือให้คนขนไป ส่วนองค์หญิงเซวียนหลิน นางยังเด็ก ข้าจะส่งไปอยู่บ้านท่านยาย นางจะได้ไม่กดดันนัก” ฝูซินซึ่งมัวแต่ตกอยู่ในภวังค์กับชื่อองค์ชายหนานกงดวงตาว่างเปล่าไปชั่วขณะ กระทั่งจื่อเว่ยบีบไหล่ของนางเบาๆ จึงได้ผงกศีรษะราวกับคนไร้วิญญาณ   ฝูซินถูกพาไปยังปีกตะวันตก ซึ่งอยู่ถัดจากที่พำนักของจื่อเว่ยไม่ไกล องค์หญิงเซวียนหลินร่ำไห้ไม่อยากจากนางไปอีกคน ทว่าฝูซินเองก็จนปัญญาจะจัดการอะไร สุดท้ายจึงขอร้องให้จื่อเว่ยอนุญาตให้น้องสาวของนางพักอยู่กับนางคืนหนึ่ง รอจนพ้นงานเลี้ยงต้อนรับค่อยพานางไปส่งที่จวนเซี่ยโหว “องค์หญิงฝูซิน ไท่จื่อเรียกพบเพคะ” นางกำนัลต้นห้องของจื่อเว่ยรออยู่หน้าเรือน ฝูซินห่มผ้าให้น้องสาว ผลัดเปลี่ยนเป็นชุดทะมัดทะแมงอย่างที่เคยสวมใส่ประจำ จื่อเว่ยบอกแล้วว่าอยู่ในตำหนักเขาไม่ต้องสนใจเรื่องการแต่งกายมากนัก นางเองก็มิได้สนใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว สวมชุดฝึกในฤดูหนาวจึงเป็นสิ่งที่นางชื่นชอบ ตัวชุดนวมบุขนสัตว์ไว้ด้านใน เนื้อผ้าสีครามเข้มมิได้มีลวดลายสวยงาม ตรงคอและสาบเสื้อเย็บติดกับขนเตียวเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ศีรษะสวมหมวกอุ่นที่ทำจากขนสัตว์ และรองเท้าเย็บจากหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้ม “เปาเอ๋อร์ หว่านเอ๋อร์ สลับกับอีกสองคนเข้ามาดูน้องเก้า หากคืนนี้ข้ายังไม่กลับ ไม่ต้องส่งคนไปตาม” หว่านเอ๋อร์หน้าตาตื่น “ทำไมกันเล่าเพคะ ไม่ให้เสี่ยวหลันตามไปหรือเพคะ” ฝูซินส่ายหน้า นางรู้ดีว่าจื่อเว่ยจะกลั่นแกล้งนางเป็นแน่ นางกำนัลที่ตามไปมีแต่จะทำให้นางลำบากมากขึ้น “ไม่ต้อง หากตำหนักจื่อเยว่ไม่ปลอดภัย ก็ไม่มีที่ใดในต้าฉินปลอดภัยแล้ว” นางวางเดิมพันกับความเชื่อใจของฝูเจี้ยน หนานกงมาต้าฉิน มิคาดว่าตามมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ฝูซินไม่อยากมีปัญหาในตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ อย่างน้อยต้องทำข้อตกลงกับจื่อเว่ยให้ได้ก่อน   ห้องบรรทมของฉงเยว่ไท่จื่อ เต็มไปด้วยเหล่าองครักษ์ที่สวมแต่กางเกงตัวเดียวท้าลมหนาว ยืนเรียงแถวตรงหน้าจื่อเว่ยเป็นระเบียบเรียบร้อย ครั้นขันทีขานชื่อของฝูซิน นางก็ก้าวเข้ามาด้านในพอดี ฝูซินกวาดตามองมัดกล้ามบนตัวองครักษ์ทั้งหลายด้วยแววตาเฉื่อยชา แต่พอเดินไปหาจื่อเว่ยจึงตกใจชะงักจนแทบล้มหน้าคว่ำ “ท่านจะเปลือยอกทำไม จะให้ข้ามาดูท่าน…กับองครักษ์หรือ” จื่อเว่ยโยนกระปุกยาให้นาง “ใส่ยาให้ข้า ส่วนพวกเจ้าออกไปได้แล้ว” “พ่ะย่ะค่ะ” แผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของจื่อเว่ยชื้นเหงื่อ ใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อน้อยๆ ตรงรอยแผลที่ถูกแทงมีรอยช้ำและเริ่มตกสะเก็ด แต่ยังมีโลหิตแดงไหลซึมอยู่บ้าง ท่าทางเย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาติของจื่อเว่ย กอปรกับสิ่งที่นางคิดในหัว พลันทำให้ฝูซินดวงหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าขยับเข้าใกล้เขาแม้แต่น้อย สวรรค์! องครักษ์นับสิบกับเขาคนเดียว เพียงแค่คิดฝูซินก็อยากเดินหนีเสียอย่างนั้น   “คิดไปไกลถึงไหน หรือว่ามีใจให้ข้าจริงๆ เสียแล้ว” สิ้นคำพูดที่ออกจากปากจื่อเว่ย ฝูซินพลันกลอกตาไปมา “ฝันไปเถอะ” นางยังไม่อยากใช้สามีร่วมกับชายอื่น แค่คิดก็ขนลุกชูชันไปทั้งกายแล้ว “ใส่ยา” “รู้แล้ว” ฝูซินกลืนน้ำลาย ขยับไปใกล้ตั่งตัวยาวที่จื่อเว่ยนั่ง นางคุกเข่า ขยับไปใกล้เขา ดวงตาคู่งามมองรอยแผลที่ตนเป็นผู้สร้าง มิได้มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย ทว่าลมหายใจอุ่นร้อนยามที่นางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ปัดเป่าผิวกายของชายหนุ่มจนเป็นตุ่มไต ฝูซินมิได้สนใจความใกล้ชิดระหว่างชายวิปริตกับหญิงสาวอยู่แล้ว จึงใส่ยาอย่างไม่ระมัดระวังเท่าใดนัก จื่อเว่ยหลุบตามองแผงขนตาหนา ไล่เลยไปจนถึงกลีบปากแดงระเรื่อที่เผยอน้อยๆ กระตุกยิ้มให้กับผิวกายที่ไม่สม่ำเสมอเพราะโดนแดดของนาง คลื่นลมในดวงตาสีน้ำหมึกแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง “เจ้าไม่กลัวข้าเลยแม้แต่น้อย” “มีอะไรให้กลัวหรือ…เพคะ” นางกล่าวเสียงเรียบ ใช้มือเกลี่ยผงยาอย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะสัมผัสผิวกายของจื่อเว่ยจนเขาต้องกลืนน้ำลาย เอ่ยกับนางเสียงพร่า “เจ้าไม่คิดว่าข้าน่าหลงใหลหรอกหรือ” ดวงตาคู่งามเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก้มลงจัดการกับบาดแผลของเขาต่อ “ทำอย่างไรก็ไม่รู้สึก เลิกถามเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียที ท่านต้องระมัดระวังยามสนุกสนานกับองครักษ์ให้มาก บาดแผลปริแตกเช่นนี้จะหายช้า” “เจ้าเข้าใจว่าข้ากับพวกเขากำลังทำอะไร” ฝูซินหน้าแดง อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมพูด เรื่องแบบนี้ใช่เอามาพูดเล่นกันได้เสียเมื่อไรกัน “ข้าว่าเจ้าคงเข้าใจอะไรผิด” ฝูซินเงยหน้าขึ้น เลิกคิ้วสูง “ไม่ผิดแน่ๆ ในกองทหารของข้าก็พบเจอได้บ่อยไป” “เจ้าพูดเช่นนี้มิกลัวเสียใจทีหลังหรือ” “ไม่…เพคะ” จื่อเว่ยยื่นใบหน้าเข้าใกล้นาง เห็นว่าดวงตาที่มีประกายคล้ายดาวจื่อเวยของนางเต็มไปด้วยประกายท้าทาย ความอยากเอาชนะทำให้เขาประคองใบหน้าของนางไว้ ก้มลงประทับริมฝีปากอย่างรวดเร็ว ฝูซินพยายามดันมือเขาออก ทว่าจื่อเว่ยกลับยิ่งประทับแนบแน่น ขบเม้มสลับกับดูดดึงกลีบปากแดงที่มีรอยช้ำน้อยๆ สูบลมหายใจของนางไปจนหมด ฝูซินหัวใจเต้นแรง เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าแดงซ่าน ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายกับคนไร้สติเพราะรสชาติประหลาดในโพรงปาก ช่องท้องของนางบิดมวนประหนึ่งมีผีเสื้อนับพันบินวน พลันวาบหวามในอกจนต้องกำหมัดแน่น ครั้นเขาผละริมฝีปากออก ฝูซินกะพริบตาซ้ำๆ เรียวคิ้วขมวดมุ่น ร่างของนางซวนเซ พิงเข้ากับอกเขาอย่างมึนงง จื่อเว่ยหัวเราะชั่วร้ายในลำคอ ใช้ปลายนิ้วไล้พวงแก้มของนางเบาๆ “หากเจ้าอยากพิสูจน์ความเป็นชายของข้า” รอยยิ้มของเขาประดุจปีศาจราคะที่มีเพื่อล่อลวงหญิงสาว “เราสามารถสานต่อได้” ฝูซินส่ายหน้า ครั้นนางได้สติ ก็พลันกระถดกายถอยหนี ชี้หน้าเขาด้วยสายตาโกรธแค้น “ท่าน! หลอกผู้อื่นมาโดยตลอดหรือ?” จื่อเว่ยลุกขึ้น ย่างสามขุมเข้าหานางอย่างผู้ชนะ เขาย่อกายลง เชยคางนางขึ้นเพื่อสบตา “ข้ามิเคยบอกว่าตนเองชอบบุรุษในเชิงชู้สาว เป็นผู้อื่นคิดไปเอง ส่วนเจ้า…องค์หญิงฝูซิน หากยังอยากให้แผนการของพี่ชายเจ้าลุล่วง และรักษาชีวิตของน้องสาว ก็จงเตรียมตัวเป็นของข้าได้แล้ว” ฝูซินอ้าปากค้าง แค่นเสียงขึ้นจมูก “สวรรค์ต้องกลั่นแกล้งข้าแน่ๆ ท่านอย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก ข้ารู้ดีว่าเหล่าบุรุษหยกมักจะอยากแต่งภรรยาเพื่อบังหน้ากันทั้งนั้น” นางปลุกปั่นขวัญกำลังใจให้ตัวเอง เขาโกหกแน่ๆ นางมั่นใจ จื่อเว่ยผลักนางนอนราบกับพื้นพรม กางแขนคร่อมร่างนางไว้ แววตาสะท้อนใบหน้าตื่นตระหนกของนางอย่างชัดเจน “เลือกเอาว่าอยากมีชีวิตรอด หรืออยากตายด้วยน้ำมือข้าทั้งตระกูล แคว้นเว่ยเพียงแคว้นเดียว ใช่ว่าข้าจะไม่สามารถถล่มให้พังพินาศได้ ฝูซิน…ความอดทนของข้ามีจำกัด” น้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนหัวลุกราวกับคำสาปแช่งของปีศาจ ชั่วเวลานั้นนางพลันกลั้นหายใจ ร่างกายชาวาบ ภาพความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนไหลย้อนกลับมาอีกครั้ง ดวงตาของนางแดงเรื่อ เสหลบไปทางอื่นพลางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านมันก็ไม่ต่างจากเขา” จื่อเว่ยชะงัก ถามเสียงห้วน “เขา? ใคร?” ฝูซินไม่ตอบ แขนที่พยายามผลักดันจื่อเว่ยปล่อยแนบลำตัว โทสะผุดวาบในดวงตาของชายหนุ่ม มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น “เงาในตาของเจ้าจะเป็นใครก็ช่าง แต่ฝูเจี้ยนยกเจ้าให้กับข้าแล้ว ช้าเร็วเราก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ดังนั้นเจ้าควรเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรก” “เพราะดาวจื่อเวยในตาของข้าใช่หรือไม่” จื่อเว่ยลุกขึ้น เขาสูดลมหายใจเพื่อปรับอารมณ์ในอก “ในดวงตาของเจ้าควรจะเป็นข้าจื่อเว่ย มิใช่ดาวจื่อเวย”   ดาวจื่อเวย… สิบแปดปีก่อน ยามนางถือกำเนิด โหรหลวงได้ทำนายไว้ อู่กงจู่แห่งแคว้นเว่ยจะนำพาแสงสว่างของดาวจื่อเวยมาสู่แผ่นดินในช่วงกลียุค ดวงตาของนางจะเปล่งประกายอีกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อดีตเว่ยหวางทรงคิดการณ์รอบคอบ เพื่อมิให้แผ่นดินหลังจากที่พระองค์ไม่อยู่เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย แผนการฝึกฝนโอรสธิดาในกองทัพจึงเกิดขึ้น ในวัยเด็กฝูซินมิได้คิดนำพาเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจ วันๆ ขลุกอยู่แต่ในค่ายทหาร หลังจากที่เสด็จแม่ของนางสิ้นพระชนม์และฟูเหรินคนอื่นๆ เริ่มจะล้มป่วยตาม ในชีวิตของนางก็มีแต่เสด็จพ่อและพี่น้องทั้งหมดสิบกว่าคนคอยเป็นแรงผลักดันให้กันและกัน กระทั่งวันที่เสด็จพ่อของนางถูกประหาร ดาวจื่อเวยอ่อนแสงลง ขณะเดียวกันดวงตาของนางก็เปลี่ยนไป ประกายตาอันงดงามที่สืบทอดมาจากอดีตเว่ยหวาง ทำให้องค์ชายรองแห่งแคว้นฉู่เกิดจิตปฏิพัทธ์ตั้งแต่แรกพบ…ฉู่หนานกง ใครบางคนที่ปล่อยข่าวลือเรื่องการทำนายนี้ ทำให้ฉู่หนานกงหาข้ออ้างเข้ามาพัวพันกับตัวนาง โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายที่ทำให้ฝูเจี้ยนตัดสินใจส่งนางมายังต้าฉิน คราแรกนางคิดว่าเสด็จพี่ไว้ใจให้นางมาสังหารไท่จื่อของต้าฉินด้วยมือตัวเอง ใครจะคาดคิด นี่กลับเป็นอุบายที่ทำให้นางตัดสินใจมาที่นี่โดยไม่ต้องบังคับ ฉู่หนานกงมีใจให้นาง หากเกิดการเกี่ยวดองกันขึ้นมาจริงๆ ไม่เพียงเรื่องเก่าของอดีตเว่ยหวางถูกรื้อฟื้น ต้าฉินจะมองว่าแคว้นเว่ยคิดร่วมมือกับแคว้นฉู่ในทันที แม้ว่าจะเป็นสองแคว้นใหญ่ที่เกรียงไกร กระนั้นแล้วความสามารถทางด้านอื่นนอกเหนือกำลังพลกลับด้อยกว่าต้าฉินมากนัก เว่ยหวางฝูเจี้ยน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาระหว่างต้าฉินและแคว้นเว่ย ถึงกับยอมส่งฝูซินเข้าปากเสือ มอบให้นางไว้ในอุ้งมือของฉงเยว่ไท่จื่อ ในความคิดของฝูซินแล้ว เพียงเพราะไม่อยากให้ประชาชนในแคว้นเว่ยเดือดร้อน นางจึงไม่ดึงดันจะกลับไปที่นั่นอีก ทว่าคราวนี้ ฉู่หนานกงกลับตามมาถึงต้าฉิน ฝูซินดันกายขึ้นนั่ง มองแผ่นหลังของจื่อเว่ยด้วยแววตาสับสน ทว่าเมื่อคิดถึงภาพเลวร้ายที่เลือนรางซึ่งฉู่หนานกงได้กระทำไว้ นางจึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “คนที่กำลังเดินทางมาที่นี่ คนคนนั้น…ก็ต้องการตัวข้าเช่นกัน” “อืม…แล้วอย่างไร” “หากท่านสามารถกันเขาออกห่างจากข้าได้ ไม่ว่าจะให้ทำอะไรข้าก็ยอม” จื่อเว่ยหลุบตาลงต่ำ แสร้งทำเป็นเปิดตำราม้วนไม้ไผ่อ่าน “เจ้าอยู่ในฐานะที่ต่อรองข้าได้หรือ” ฝูซินกำหมัดแน่น กลืนก้อนโทสะลงท้อง “หาไม่แล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูด” นางลุกขึ้น หมุนกายเตรียมจากไป “ที่จริงก็มีสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้” เสียงของเขาเรียบเรื่อย ราวกับว่ามิใช่เรื่องสลักสำคัญ “เรื่องอะไร” จื่อเว่ยนั่งลงบนตั่งตัวยาว เอนกายอ่านม้วนไม้ไผ่ เขาสูดลมหายใจลึก มือข้างหนึ่งลูบผิวกายเปล่าเปลือยไปมา “ข้าหนาว” ฝูซินชะงัก ครั้นคิดตั้งสติขึ้นมาได้ จึงเดินไปยังเตียงนอน หยิบผ้านวมผืนหนึ่งออกมา คลี่คลุมร่างกายให้เขา จื่อเว่ยเงยหน้ามองนาง ขยับกายเว้นที่ว่างแล้วตบมือลงกับพื้นตั่ง “อะไรของท่าน” “ข้าหนาว” นางกะพริบตาอย่างงุนงง เดินไปคว้าเตาพกขนาดเล็ก “เจ้าทำอะไร” “มิใช่ว่าท่านอยากได้เตาอุ่นหรอกหรือ” จื่อเว่ยมองนางนิ่ง เนิ่นนานกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “เจ้ามานอนตรงนี้” ฝูซินถลึงตาใส่เขา กล่าวเสียงห้วน “มากไปแล้วนะ!” จื่อเว่ยเลิกคิ้ว ไม่อนาทรไปกับท่าทางของนาง “จุมพิตเจ้าก็ทำมาแล้ว แค่อุ่นเตียงให้ข้าเท่านี้ ไม่กล้าหรือ” แววตาเกรี้ยวกราดของนางปรากฏในครรลองสายตาของจื่อเว่ยทั้งหมด ฝูซินวางเตาพกอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง นางก้มหน้าลง กล่าวเสียงเรียบ “ฉงเยว่ไท่จื่อ หากพระองค์ต้องการกลั่นแกล้งหม่อมฉัน โปรดทรงใช้งานหม่อมฉันเยี่ยงทาส ดีกว่าดูแคลนศักดิ์ศรีของหม่อมฉันด้วยวิธีการเช่นนี้ หม่อมฉันแม้มิใช่เชื้อสายต้าฉินอันสูงส่ง กระนั้นก็ยังภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของเชื้อพระวงศ์แคว้นเว่ย ได้โปรดอย่ากระทำเช่นนี้ เพราะมันจะทำให้หม่อมฉันเกลียดพระองค์จนไม่อาจทนร่วมหายใจในสถานที่เดียวกันได้เพคะ” “หากว่าข้าขอร้องให้เจ้านอนตรงนี้เล่า” นางเงยหน้าทันควัน สบกับดวงตาคมกริบด้วยความงุนงงสงสัย จื่อเว่ยยังคงมีสีหน้าราบเรียบ ท่าทางมิได้เย่อหยิ่งถือดีดังที่ควรเป็น แม้ว่าเขาจะมิได้ยิ้ม แต่นางกลับรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกแววตาใสกระจ่างของเขาหลอกล่ออย่างไรอย่างนั้น “พระองค์ตรัสอะไรหม่อมฉันไม่เข้าใจ” จื่อเว่ยเบือนหน้าหนี ในใจกระอักกระอ่วนไม่น้อย สตรีซื่อบื้ออย่าง ฝูซินน่ะหรือจะเข้าใจแววตาอะไรเช่นนี้ “เลิกเรียกขานประชดประชันเสียที ฝูเจี้ยนบอกว่าเจ้าก็เคยนอนกลางดินกลางทรายกับเหล่าทหารมาแล้ว แค่นอนเฉยๆ ข้างกายข้า ลำบากขนาดนั้นเลยรึ” “หากผู้อื่นเข้าใจผิด” “สตรีโง่งม ช่างหัวผู้อื่นสิ ตำหนักจื่อเยว่มีข้าเป็นนาย ใครจะกล้าเข้ามา เสด็จพ่อทรงอนุญาตให้เจ้ามาอยู่กับข้าแล้ว นั่นหมายความว่าทรงเปิดทางให้ข้ากับเจ้าได้ใกล้ชิดกัน หากคนอย่างองค์หญิงฝูซินไม่เข้าใจความหมายนี้ ก็เท่ากับว่าฝูเจี้ยนกล่าววาจาเกินจริงไปมาก” ฝูซินเม้มปากแน่น นางอยากเถียงเหลือเกินว่าบรรดาองค์หญิงพี่น้องบุญธรรมของเขาล้วนแล้วแต่เข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าวทั้งนั้น ทว่าสุดท้ายก็ปัดความคิดนี้ทิ้ง นางก้มลงมองมือทั้งสองข้างของตนเอง หากนางสังหารเขาเสีย เรื่องน่าบัดซบทั้งหลายก็จะจบสิ้น แต่หากกระทำการด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ผลลัพธ์จะทำให้คนทั้งแคว้นเว่ยเดือดร้อน ใช่…นางรู้ มีแต่ต้องเป็นหนึ่งในใจของฉงเยว่ไท่จื่อแห่งต้าฉิน นางจึงจะสามารถปกป้องแว่นแคว้นของตนเองได้ หญิงสาวพยายามปลุกปั่นกำลังใจ…เขายังมิได้เษกสมรสไท่จื่อเฟย ทั้งยังมิได้ตบแต่งชายารอง แต่หากนางเลือกทางที่เสด็จพี่ปูทางไว้ให้ จะไม่สามารถก้าวถอยหลังได้อีกต่อไปแล้ว “ถึงเจ้าจะคิดมากจนหัวแทบแตก แต่ด้วยความสามารถเพียงน้อยนิดในตอนนี้ ก็มีแต่เสียแรงเปล่า” “ท่านพูดง่ายดาย เพราะท่านได้อยู่บนจุดสูงสุดของทุกคนไปแล้ว” “หึ…เจ้ามองเห็นคนเบื้องหลังของข้าหรือไม่ ไม่รู้หรือว่ามันเป็นอย่างไร” ว่างเปล่า…ไม่มีใคร ฝูซินมิได้พูดอะไรอีก นางสาวเท้าไปหาจื่อเว่ย นั่งลงบนตั่งยาวตัวเดียวกัน ก่อนจะเอนกายนอนตัวแข็งทื่อข้างกายเขาราวกับตุ๊กตาหิน “ข้าจะเป็นเพื่อนคอยอุ่นเตียงให้ท่าน หากว่าหน้าที่นั้นมิได้เป็นการกระทำให้ผู้อื่นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีทั้งหมดที่เหลือของข้า” “เพื่อนคอยอุ่นเตียง…หึ” จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ “อยู่กับข้า มีเกียรติอะไรให้เสื่อมเสียได้หรือ” นางไม่พูด ได้แต่นอนกอดอกตัวเอง จื่อเว่ยนอนตะแคงมองฝูซินที่นอนนิ่งราวกับศพ เขาตวัดผ้าห่มคลุมกายนาง โยนม้วนไม้ไผ่ลงบนพื้น ลำแขนเย็นเฉียบโอบรอบร่างเล็กของนางไว้ นางสะดุ้งน้อยๆ ตกใจที่จู่ๆ เขาก็กระทำเช่นนี้ “ท่านควรสวมอาภรณ์” “ตอนนอนข้าไม่เคยสวมอาภรณ์สักชิ้น นี่นับว่าปรานีเจ้าที่สุดแล้ว ทำไม หวั่นไหวหรือ” อากาศหนาวเช่นนี้ยังล้อเล่นได้ เห็นทีว่าเขาคงไม่อยากมีชีวิตยืนยาวนัก “หึ…ข้าไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น” แม้หัวใจของนางจะเต้นแรงด้วยความประหม่าก็เถอะ “เช่นนั้นก็ดี” เขาโอบกอดนางใต้ผ้าห่ม หลับตาพริ้ม เพียงครู่เดียวลมหายใจก็สม่ำเสมอ สมองของฝูซินคล้ายถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ นางกะพริบตาเรียกสติ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อลอบมอง ทว่ากลับเห็นเพียงใบหน้าหล่อเหล่าที่สงบนิ่งไร้พิษภัยของเขา ที่จริงบุรุษเมื่ออยู่ใกล้หญิงงาม หากมีโอกาสมิใช่ว่าจะคิดปลุกปล้ำทำเมียหรอกหรือ เมื่อครู่เขาฉวยโอกาสจุมพิตนางเป็นครั้งที่สอง ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเค้าลางของเรื่องต่ำช้าเลยแม้แต่น้อย หรือนางมิใช่หญิงงาม อา…สตรีที่สีผิวไม่สม่ำเสมอกันเช่นนาง จะเป็นหญิงงามได้อย่างไร คิดได้เช่นนี้ฝูซินก็หัวเราะในลำคอ แต่ครั้นระลึกได้ว่าหลุดกิริยาประหลาดออกไปนางก็ต้องแสร้งกระแอมแล้วเหล่มองว่าจื่อเว่ยรู้ตัวหรือไม่ ในค่ายทหาร แม้ตอนฝึกฝนจะเคยถูกให้นอนข้างนายทหารมากมาย ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่นางนอนข้างกายบุรุษ และไม่ได้สัมผัสถึงความหื่นกระหายใดๆ อย่างที่เคยหวาดกลัว จื่อเว่ยนอนโอบกอดนาง ทว่ามิได้ล่วงล้ำต่ำทรามแต่อย่างใด กลิ่นอายบุรุษโอบล้อมใกล้ชิดจนนางประหม่าไม่เป็นตัวของตัวเอง ลมหายใจสม่ำเสมอของเขาทำให้นางคลายความระแวงสงสัยชั่วคราว อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนางตากอากาศเย็นยามดึก ตอนนี้จึงรู้สึกร้อนวูบวาบคล้ายเป็นไข้ เพียงไม่นานนางก็ถูกลมหายใจของเขากล่อมเกลาจนตกสู่ห้วงนิทรา    
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD