ตอนที่ 6 ความริษยาของสตรีคือยาพิษ 1
ตำหนักจื่อเยว่ ห้องบรรทมฉงเยว่ไท่จื่อ ทุกครั้งที่นางมาที่นี่ หน้าห้องจะไม่มีใครเฝ้าอยู่ เหตุเพราะเขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาใกล้เวลาเขาอยู่ข้างในนั้น ร่างอรชรภายใต้อาภรณ์สีอ่อนขององค์หญิงผิงซวนจึงหยุดชะงักลง ดวงตาคู่งามแฝงแววประหลาดใจอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าทางด้านหน้าของตำหนักมีขันทีและนางกำนัลจำนวนหนึ่งเฝ้าอยู่
“จี๋ซาง” ดวงหน้างดงามผุดผาดซึ่งแต่งแต้มอย่างงดงามแย้มยิ้มอ่อนหวาน เรียกหัวหน้าขันทีประจำตำหนักจื่อเยว่ด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่ค่อย
ขันทีจี๋ซางเห็นองค์หญิงรองเสด็จมายังตำหนักจื่อเยว่ก็ร่ำร้องในใจว่าย่ำแย่เป็นแน่ ครั้นหันไปมองนางกำนัลและขันทีคนอื่นๆ พลันพบว่าต่างก็พากันก้มหน้าหลบตา เมื่อชั่งน้ำหนักในใจแล้ว นับว่าไท่จื่อของเขาย่อมมีความสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง ร่างผอมบางของขันทีผู้ดูแลตำหนักจื่อเยว่จึงปรี่เข้าขวางทางเดินองค์หญิงผิงซวนอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนางกำนัลประจำตัวขององค์หญิงก็พุ่งเข้ามาขวางทางเขาไว้ในทันที
“กงกง ท่านเป็นอะไร” นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงด้วยสีหน้าฉงน
“ทูลองค์หญิง ไท่จื่อบรรทมอยู่ ยามนี้ไม่สะดวกต้อนรับพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงแหลมของจี๋ซางทำให้องค์หญิงผิงซวนขมวดคิ้ว
“ปกติไท่จื่อของพวกเจ้าไม่นอนเวลานี้ เกิดอะไรขึ้นกับเขา เหตุใดท่าทีของเจ้าจึงลุกลี้ลุกลนนัก”
จี๋ซางตีปากตัวเองเบาๆ กล่าวเสียงสั่น “เมื่อคืนกว่าไท่จื่อจะเสด็จกลับมาก็เกือบรุ่งสาง ทั้งยังมิได้สวมเสื้อคลุมกันลมหนาว ร่างกายจึงไม่ใคร่แข็งแรงนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามหมอหลวงมาหรือยัง เมื่อเช้าก็ยังเห็นเขาดีๆ อยู่ แล้วเหตุใดจึงไม่ไปตามหมอ”
“ไท่จื่อทรงรับสั่งแต่เพียงว่าอยากพักผ่อนพ่ะย่ะค่ะ ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยตามท่านหมอหลวง”
“ไม่ได้! ข้าจะเข้าไปดูเขา”
องค์หญิงผิงซวนดึงดันจะเข้าไป จี๋ซางรีบคุกเข่ากางแขนขัดขวางเอาไว้ สีหน้าบิดเบี้ยวประหนึ่งจะร่ำไห้
ขันทีจี๋ซางหันไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เหลือ ทว่าแต่ละคนกลับคุกเข่าขวางอยู่หน้าตำหนักไม่ขยับเคลื่อนไหวไปไหน จะว่าไปแล้วในวังของไท่จื่อเวลานี้ก็มีเพียงเขาซึ่งเป็นข้ารับใช้ตำแหน่งใหญ่ที่สุด แต่คนตรงหน้าเป็นถึงองค์หญิงที่หวงตี้ทรงรักใคร่เอ็นดู มิอาจล่วงเกินได้แม้แต่น้อย คิดแล้วก็อยากร่ำไห้ออกมาเสียอย่างนั้น
ทว่าคนด้านในกลับสำคัญยิ่งยวด จึงได้แต่โค้งจนเอวแทบหัก กล่าวปราม “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“บังอาจ!” นางกำนัลขององค์หญิงผิงซวนตวาดขันทีจี๋ซางอย่าเหิมเกริม “องค์หญิงของข้าเป็นใคร เหตุใดท่านจึงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
องค์หญิงผิงซวนยกมือขึ้นห้าม อากาศเย็นเยียบจนลมหายใจอุ่นร้อนกลายเป็นไอ กอปรกับน้ำเสียงตวาดของนางกำนัลทำให้แววตาของขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าหน้าตำหนักแข็งกร้าวขึ้น เพียงแค่อากาศก็โหดร้ายพอแล้ว ผิงซวนหูตาว่องไวคิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน จื่อเว่ยมิใช่คนยุติธรรมเท่าใดนัก หากคนของไท่จื่อยังถูกนางกำนัลจากตำหนักอื่นข้ามหน้าข้ามตาเช่นนี้ คนที่จะถูกลงโทษก็คือนางกำนัลคนสนิทของนางเอง
“เหลียนฮวา อย่าเสียมารยาทต่อหน้ากงกง” องค์หญิงผิงซวนกล่าวเสียงเรียบ หันไปแย้มยิ้มงดงามให้กงกง มือล้วงเครื่องประดับที่เตรียมไว้ชิ้นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อยื่นให้จี๋ซาง “เป็นสินน้ำใจเล็กน้อยเพื่อปลอบขวัญเจ้า”
ถึงใบหน้าจะแย้มยิ้มทว่าดวงตากลับเย็นเยียบ จี๋ซางแม้จะเป็นขันทีหน้าตำหนักของไท่จื่อ แต่ก็เป็นไท่จื่อที่ไร้การสนับสนุนจากผู้อื่น อีกทั้งเบื้องหลังของจี๋ซางยังมิได้ใหญ่โตดังเช่นนางกำนัลในตำหนักอื่น กระนั้นแล้วเขาก็มิอาจทำให้ไท่จื่อเสื่อมพระเกียรติได้ จี๋ซางจึงคุกเข่าทาบสองมือลงบนพื้นหิมะเย็นเยียบ ก้มศีรษะลง “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงรอง ทว่าจี๋ซางมิอาจยินยอมให้พระองค์เสด็จเข้าไปในตำหนักได้”
“ไพร่ชั้นต่ำไม่รักดี” องค์หญิงผิงซวนยืดกายขึ้น เผยแววตาอำมหิตวูบหนึ่ง “เหลียนฮวา หลันฮวา จับตัวขันทีที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้!”
“เพคะ”
“ช้าก่อนองค์หญิง พระองค์ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายคนของตำหนักจื่อเยว่นะเพคะ!” นางกำนัลคนหนึ่งวิ่งเขามาผลักเหลียนฮวากับหลันฮวาออกจากจี๋ซาง ขันทีและนางกำนัลอีกจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามาขวางประดุจกำแพงมนุษย์
“บังอาจ! ข้าคือองค์หญิงรองแห้งต้าฉิน พวกเจ้ากล้าขวางทางข้าอย่างนั้นหรือ ไท่จื่ออาจทรงประชวรอยู่ หลีกไป!”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ พวกเราคนของตำหนักจื่อเยว่ เชื่อฟังแต่นายของตำหนักเท่านั้น”
องค์หญิงผิงซวนโกรธเกรี้ยวจนมือของนางสั่นเทา ดวงตาฉายแววขู่อาฆาตเสียจนนางกำนัลและขันทีในตำหนักขวัญหนีดีฝ่อ
“ข้าจะทูลเสด็จพ่อให้ตัดลิ้นพวกเจ้า”
“หากเป็นเช่นนั้น…ข้าจะสั่งให้คนตัดลิ้นนางกำนัลเหลียนฮวา ข้อหาส่งเสียงดังจนข้าตื่น”
“จื่อเว่ย”
ประตูตำหนักเปิดออก จื่อเว่ยเดินออกมาด้วยท่าทีเกียจคร้าน เขามิได้สวมเสื้อ เพียงแต่คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวเผยให้เห็นแผงอกวับแวม ใบหน้าขาวซีดบึ้งตึง แววตาเกรี้ยวกราดดุจดวงตาพยัคฆ์ร้าย มุมปากกระตุก รอบกายแผ่กลิ่นอายอันตรายออกมาอย่างรุนแรง
นางกำนัลเหลียนฮวาหวาดกลัวจนเข่าอ่อน กายผอมบางสั่นสะท้าน ทรุดเข่านั่งลงข้างกายองค์หญิงผิงซวนเพื่อหาที่กำบังตัวสั่น
“เสด็จพี่รบเร้าจะเข้ามาในตำหนักจื่อเยว่ทั้งๆ ที่ข้าสั่งให้จี๋ซางห้ามผู้อื่นมารบกวน มิเท่ากับว่าวางอำนาจเหนือเจ้านายแห่งตำหนักนี้หรอกหรือ”
องค์หญิงผิงซวนแสร้งแย้มยิ้ม เคลื่อนกายเบียดแทรกกำแพงมนุษย์เข้าไปหาจื่อเว่ย นางเอื้อมมือจะแตะหน้าผากเขา ทว่าชายหนุ่มกลับเบี่ยงตัวทัน สุดท้ายจึงเสียหน้าเล็กๆ โทสะพลันบังเกิดในดวงตาของนาง
“จี๋ซางบอกว่าเจ้ากลับมาดึกดื่นค่อนคืน ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สบาย”
“ข้าสั่งเจ้าไว้ว่าอย่างไร จี๋ซาง!”
“พ่ะย่ะค่ะ อะ…องค์ไท่จื่อทรงรับสั่งว่าอยากพักผ่อน…”
“แล้วเหตุใดเสด็จพี่รองจึงดึงดันจะเข้ามา หรือว่าคนเหล่านี้ไม่มีความคิดในการแยกแยะคำพูดของข้าแล้ว!”
จื่อเว่ยกล่าวเสียงห้วน มิได้มองหน้าองค์หญิงผิงซวนที่กำลังหน้าม้าน ซวนเซจวนจะเป็นลมล้มพับ เคราะห์ดีที่นางกำนัลคนสนิทปรี่เข้ามารับร่างนางได้ทันท่วงที
ดวงตาคู่งามมีน้ำตารื้น กลีบปากแดงสั่นระริก จื่อเว่ยถึงขนาดกล่าววาจาเชือดเฉือนไม่ไว้หน้านางต่อเหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนัก นางทั้งโกรธทั้งอับอาย
“เจ้าบังอาจหักหน้าข้าที่เป็นห่วงเป็นใยเจ้าต่อหน้าธารกำนัลเชียวหรือ” นางที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขามาตลอด ถูกเมินเฉยยังไม่พอ เขาถึงกลับฉีกหน้านางต่อหน้าผู้อื่น ทำร้ายจิตใจกันเกินไปหรือไม่
จื่อเว่ยเลิกคิ้ว เบนสายตาไปยังองค์หญิงผิงซวน “ตำหนักจื่อเยว่ หาใช่ที่ที่จะมาก็มาจะไปก็ไป เมื่อวานน้องแปดถูกข้าโบยไปแล้ว หรือว่าวันนี้เสด็จพี่อยากลองไม้นวมของตำหนักจื่อเยว่บ้าง” เขากล่าวยิ้มๆ
รอยยิ้มช่างอันตรายเหลือร้าย
องค์หญิงผิงซวนกัดริมฝีปาก ชี้หน้าจื่อเว่ย บอกความปรารถนาของตนอย่างหมดความอดทน “จื่อเว่ย! คิดหรือว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรข้าได้ เสด็จพ่อทรงมีรับสั่งส่วนพระองค์กับข้ามาแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่คิดเลือกสตรีสักคนมาข้างกาย ย่อมเป็นข้านี่แหละว่าที่นายหญิงของตำหนักนี้”
จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ หันไปหาจี๋ซาง “จี๋ซาง ไปยังเรือนปีกตะวันตก ย้ายข้าวของขององค์หญิงฝูซินมาที่ห้องข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ” จี๋ซางรับคำสั่งอย่างงุนงง
“นี่เจ้าจะทำอะไร!” องค์หญิงผิงซวนถามอย่างตื่นตระหนก ใบหน้ายิ่งเผือดสีกว่าเดิม
“ข้าบังเอิญนึกได้ จะให้องค์หญิงคนสำคัญของแคว้นเว่ยอยู่ไกลหูไกลตาก็เกรงว่าตัวนางจะถูกนางจิ้งจอกทั้งหลายกัดแทะจนยับเยิน หากมาอยู่ในห้องนอนข้าจริงๆ เวลาที่เสด็จพ่อให้สร้างความสัมพันธ์จะได้มีมากยิ่งขึ้น อ้อ…ข้าลืมบอกท่านไปสินะ องค์หญิงฝูซินขนิษฐาของเว่ยหวางฝูเจี้ยนสหายรักของข้า นางมาที่นี่ในฐานะว่าที่ไท่จื่อเฟย”
“โกหก! เสด็จพ่อยัง...”
“ที่เสด็จพ่อตรัสกับท่านนั้นเมื่อไรรึ? หึ เสด็จพี่รอง จื่อเว่ยขอบอกตามตรง หากไม่ใช่องค์หญิงฝูซิน ข้ายินดีให้ไท่จื่อเฟยของข้าเป็นชาย”
“หุบปาก! เจ้าจะเอานางชั้นต่ำหรือบุรุษมาเป็นชายาไม่ได้”
จื่อเว่ยเลิกคิ้ว ดวงตามีประกายเย็นชาวาบผ่าน “เลิกกรีดร้องตะโกนเสียงดังเหมือนสุกรถูกน้ำร้อนราดได้แล้ว หากเทียบชาติกำเนิด ท่านเองก็เป็นเพียงธิดาของอดีตราชครูมิใช่หรือ องค์หญิงฝูซินเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แคว้นใหญ่ หากจะเกิดการเกี่ยวดองกับต้าฉิน ทุกฝ่ายล้วนเห็นดีเห็นงาม”
“จื่อเว่ย! คิดว่าให้แคว้นไร้ค่านั่นหนุนหลัง เจ้าจะได้ขึ้นเป็นหวงตี้ที่ไร้ข้อกังขาอย่างนั้นหรือ อย่าลืมว่าอำนาจที่หนุนหลังข้าอยู่ ย่อมสามารถทำให้เจ้ามีอยู่หรือดับไปได้”
จื่อเว่ยยิ้มหยามหยัน
“แต่หม่อมฉันคิดว่าแคว้นที่ใครบางคนดูถูก เพียงแค่พลิกฝ่ามือ ก็อาจทำให้ตระกูลขุนนางเก่าแก่บางตระกูลล่มสลายไปตลอดกาลได้นะเพคะ องค์หญิงผิงซวน”
ฝูซินก้าวออกมายืนข้างจื่อเว่ย แม้สีหน้าแววตาแข็งกระด้าง แต่น้ำเสียงกลับไม่อนาทรร้อนใจไปกับวาจาเลื่อนเปื้อนขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์
นางฟังมาได้สักพักแล้ว องค์หญิงรองผู้นี้ไม่รู้จักใช้ไม่อ่อนเลยแม้แต่น้อย ต้าฉินมีสาวงามไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร หากจะเอาชนะใจใครสักคนย่อมต้องมีมากกว่าความงดงามที่ผู้อื่นมองเห็น ถ้าหากนางยังคงทำเป็นดอกไม้ในแจกันเช่นนี้ อย่าว่าแต่จื่อเว่ยเลย แม้แต่บุรุษทั่วไปก็เบื่อหน่ายนางได้โดยง่าย
เมื่อเห็นฝูซินเต็มตา ความริษยาพลันพุ่งขึ้นจนจุกอก องค์หญิงรองเลือดขึ้นหน้า กล่าวเสียงแหลม “เจ้า! นางปีศาจ กล้าดีอย่างไรถึงเข้าไปในตำหนักของไท่จื่อ” นางกล้าดีอย่างไรถึงไปนอนในห้องของเขา
ฝูซินนิ้วหน้ายกมือปิดหู เพียงแค่ออกมาเผชิญหน้าก็เริ่มรำคาญเสียงเล็กแหลมขององค์หญิงรองผู้นี้เสียแล้ว
“ท่านเป็นถึงองค์หญิงแห่งอาณาจักรใหญ่ ถึงแม้จะเป็นแค่พระธิดาบุญธรรม แต่นางข้าหลวงทั้งหลายมิได้สั่งสอนมารยาทขั้นพื้นฐานที่สมควรใช้กับแขกเมืองให้ท่านหรือ”
ฝูซินจงใจเลี่ยงการกล่าวหาถึงมารดาของแผ่นดินหรือเหล่าฟูเหรินของต้าฉิน พลางก้าวมายืนข้างจื่อเว่ยอย่างไม่เคอะเขิน
“ไท่จื่อแห่งต้าฉินชักชวนให้ฝูซินมานอนเป็นเพื่อน ตัวหม่อมฉันเองเป็นคนชอบเกรงอกเกรงใจผู้อื่น มิอาจปฏิเสธคำขอร้องของไท่จื่อได้เพคะ”
“เจ้า! ไร้ยางอาย!”
“ข้าเป็นคนชักชวนนางมาเอง”
“จื่อเว่ย?”
“ทำไมหรือ ชายหญิงมีใจให้กัน เสด็จพ่อก็เห็นดีเห็นงามให้พวกเราศึกษานิสัยใจคอกัน จึงอนุญาตให้ข้าเชิญนางมาพักที่ตำหนัก อีกอย่างข้าชมชอบสตรีที่มีความรู้ไม่ต่างจากบุรุษ ในวังหลวงมีคนเย็บปักถักร้อย มีกุลสตรีมากมายพอแล้ว ข้าเบื่อ”
“นางเป็นสตรี เข้าห้องบุรุษเป็นว่าเล่นได้อย่างไร หากจะให้นางเป็นไท่จื่อเฟย มิเท่ากับหยามเกียรติของไท่จื่อและราชวงศ์รึ”
จื่อเว่ยหัวเราะในลำคอ จงใจกุมมือฝูซินที่ลอบกำหมัดแน่นไว้ด้านหลังต่อหน้าผู้คนที่ยืนมอง “ข้าผู้เป็นไท่จื่อเมื่อเลือกชายาก็ย่อมต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและความพอใจของข้าเป็นหลัก องค์หญิงฝูซินมีอะไรไม่ดีหรือ หึ…เกรงว่าจะมีมากกว่าหลายคนที่เสด็จพ่อส่งภาพมาให้ดูตัวเสียด้วยซ้ำ”
เขาดึงมือเล็กมาแนบแก้ม สัมผัสเย็นเฉียบตรงฝ่ามือทำให้นางสะท้านเยือก
ฝูซินคาดเดาอารมณ์ของจื่อเว่ยไม่ถูก ทว่านางมิได้ดึงมือออกจากการเกาะกุมนั้น หญิงสาวมองหน้าองค์หญิงผิงซวน สังเกตทิศทางลมแล้วอมยิ้มน้อยๆ
“ธรรมเนียมของแคว้นเว่ยมิได้ขีดเส้นว่าบุรุษสตรีมิควรคบหาเป็นสหายกัน หม่อมฉันกับไท่จื่อตกลงคบหาเป็นสหาย กับสหายแล้วชาวเว่ยไม่มีระยะห่าง สามารถหลับนอนข้างกายกันโดยไม่มีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นได้ ส่วนเรื่องราวในอนาคต การจะตกลงปลงใจหรือไม่ เป็นเรื่องของคนสองคน ผู้อื่นจะสอดมือเข้ามามิได้”
จื่อเว่ยบีบมือฝูซินเพื่อเตือนสติ ผินหน้ามองนางด้วยสายตาพิกล ทว่านางกลับยิ่งฮึกเหิม “ฝ่าบาทสร้างบุพเพให้ฝูซินกับฉงเยว่ไท่จื่อ แต่บุพเพเป็นคนสองคนต้องสร้างร่วมกัน ส่วนองค์หญิงรองนั้น อายุอานามมิใช่น้อยๆ ในเมื่อสายน้ำไม่มีใจ บุปผาก็ควรหาคู่ครองก่อนที่จะร่วงโรยนะเพคะ”
“บังอาจ!” องค์หญิงผิงซวนโกรธเกรี้ยวจนใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาแดงเรื่อราวกับคนวิปลาส ชี้หน้าฝูซินด้วยมืออันสั่นระริก “นางปีศาจจิ้งจอก มารยาสาไถย อยู่ใต้ผืนฟ้ากลับเข้าห้องบุรุษอย่างไร้ยางอาย”
“อา…” ฝูซินเกาแก้มแก้เขิน นางหลุบตามองปลายเท้าตัวเอง เตะปลายเท้าเล่นราวกับเด็กเล็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด “เมื่อวานเอง องค์หญิงก็จงใจเข้าไปในห้องอาบน้ำของไท่จื่อมิใช่หรือเพคะ เอ๊ะ…หรือว่าต้าฉินเองก็ไม่ถือธรรมเนียมนี้” วาจาเชือดเฉือน ย้อนกลับทุกประโยค ทนฟังได้ก็นับว่าเป็นยอดคนแล้ว
“องค์หญิง! องค์หญิงเพคะ”
องค์หญิงผิงซวนตาเหลือกโพลง โกรธจนเป็นลมหมดสติไปในทันใด
ฝูซินมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างเวทนา ใบหน้าเอือมระอาอย่างถึงที่สุด
“ปล่อยข้า” นางบอกจื่อเว่ย
ทว่าเขากลับไม่ปล่อย ซ้ำยังมองนางอย่างคาดโทษ หันไปสั่งกับบริวารที่ยังคงเหลืออยู่ “อีกหนึ่งชั่วยามค่อยมาปลุก ข้าจะพักผ่อนกับสหายสักครู่”
พูดจบเขากระตุกรั้งแขนนางให้กลับเข้าไปในตำหนัก