‘ถ้าข้ามมาเขตเราแล้ว สวยจะไม่มีโอกาสได้กลับออกไปอีก’
สิ้นวลีดังกล่าว บรรยากาศระหว่างเราทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความเงียบทันที แต่ไม่ใช่กับมือของเกอร์ที่จับแขนฉันไว้จนแน่น แววตาของเขาไม่ได้ปรากฏความหวาดหวั่นหรือเขินอายในสิ่งที่พูด
หากได้ดึงแว่นเกะกะนั่นแล้วแต้มสีดำแต่งเติมรอบดวงตาเขาสักหน่อย นั่นน่ะ แววตาเดียวกับ JOKER ชัดๆ
แรงกระตุกเบาๆจากฝ่ามือดึงตัวฉันให้โอนเอนกลับเขาไปอยู่ด้านใน แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นฉันพึงพอใจที่จะโอนเอนทำตามสิ่งที่อีกฝ่ายอยากให้เป็น
เกอร์ก้าวเท้าเดินเข้าหาฉันหนึ่งก้าวโดยยังจับกุมตัวฉันไว้แบบนั้น
“ออกไปไม่ได้แล้วนะ...”
หลังจากต่างคนต่างเงียบ สุดท้ายมันก็เป็นเขาเองที่ทำลายความเงียบลง
“ส สวยต้องอยู่กับเราที่ฝั่งนี้เข้าใจไหม”
ได้ยินแบบนั้นฉันจึงยิ้ม
“ลองบอกเหตุผลดีๆ สักข้อที่ทำให้ฉันออกจากฝั่งนี้ไม่ได้ทีสิ…” และถามกลับไป หลังได้ฟังฟังโยคบอกเล่ากึ่งข่มขู่แกมบังคับภายใต้ท่าทางใสซื่อและเคอะเขินตลอดการเปล่งถ้อยคำจากคนตรงหน้า
พอถูกถามมือเขาก็เริ่มสั่น เสมือนว่ากำลังถูกกดดันจนดูไม่ออกว่านั่นมันเป็นแค่การแสดงเหมือนตอนที่เขาเป็น JOKER หรือเปล่า
บอกตามตรงว่าเดาไม่ออก ทั้งที่คิดว่าฉันอาจเป็นคนแรกที่เข้าใจคนป่วยอย่างเขามากกว่าใคร แต่ตอนนี้ไม่ใช่เลย ฉันแยกไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารูปแบบไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่
ระหว่างภาพลักษณ์ขี้อาย ไม่สู้คน ซื่อตรงกับความต้องการ
“หะ เหตุผลก็เพราะ ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอสวย...” หรือว่าภาพลักษณ์โผงผางผ่าซาก บ้า ติดตลก ตรงไปตรงมาแบบ Character JOKER ที่เขาพยายามปกปิดไว้
“เราก็รู้ทันที...ว่าอยากเสียตัวกับใคร”
‘แล้วผู้ป่วยที่เป็นโรคสไตเรียซิสกับโรคสองบุคลิกล่ะคะ ผู้ป่วยสองประเภทนี้ถูกจัดว่าขาดความรักหรือเปล่า?’
ในหัวมีเสียงสะท้อนดังอยู่ตลอดเวลาที่มองหน้า มองตาเขา
‘อย่างที่รู้โรคนี้มันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นโรคโหยหาความรัก...’ ฉันมองเห็นความต้องการการความโหยหาความรักจากแววตาคู่นั้นไม่ว่าเขาหรือ JOKER ซึ่งมันเป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกว่า
‘การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยซึ่งมีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้ป่วยมักจะมีการต่อต้านยามที่ต้องเข้าหาบุคคลไม่คุ้นเคย หากว่าเขาสามารถเข้ากับคุณได้นั่นแปลว่าเขาอาจจะรู้สึกดีกับคุณและพร้อมที่จะรับการบำบัด’
เขาพร้อมรับการบำบัด...
สายตาลดไปจากใบหน้าคมคล้ายภายใต้แว่นเลนส์หนา มองมือแกร่งอีกฝ่าย ขณะที่เขาปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของตัวเองออกทีละเม็ดช้าๆ จนหมด เผยให้เห็นลวดลายศิลปะบอกตัวตนบนร่างกายภายใน
“ส สวย...” เสียงขานชื่อทำฉันกระพริบตาหนึ่งที่เพื่อให้หลุดจากภวังค์ความคิด ก่อนพบว่ามือที่เขาจับแขนไว้ในได้ถูกปล่อยออกไปแล้ว
และคราวนี้มือที่เขาใช้ปลดกระดุมเสื้อออกนั้นได้เลื่อนขึ้นจับกรอบแว่นหนาของตัวเองและถอดมันออก พร้อมด้วยคำถามที่เราสองคนคุยค้างกันไว้
“เหตุผลที่ให้ไป มันมากพอไหม...”
“...”
“ที่จะทำให้สวยอยู่บนเตียงกับเราคืนนี้”
คำถามดังกล่าวไม่ใช่คำถามที่อีกฝ่ายต้องการคำตอบ เพราะไม่ทันตอบอะไร มือหนาก็เริ่มกระตุกแขนฉันให้กระทำตามความต้องการของตัวเองแบบไม่รอฟังอะไร ทว่า
คราวนี้มันไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด เมื่อฉันจงใจรั้งตัวไม่ให้โอนอ่อนไปตามแรงอีกฝ่ายแบบตอนแรก
“มันเร็วไปหน่อยไหม กับการอยู่บนเตียงกันสองคน”
“จะ 3 ปีแล้ว” เขาตอบเต็มเสียงและถาม “สวยว่ามันนานพอหรือเปล่า?”
“จะ 3 ปีที่?” ฉันย้อน
“จะ 3 ปีที่เราอยากอยู่กับสวย...บนเตียงเดียวกัน”
เกอร์ให้คำตอบทุกอย่างด้วยหนังแน่นเหมือนแววตาที่เขามองฉัน และมันบ้าสุดๆ ไปเลยที่ฉันดันหวั่นไหวกับคำพูดเถรตรงของผู้ชายตรงหน้า จนเผลอหลุดหัวเราะคิกคักออกมา
“สะ...สวยหัวเราะอะไร?” ครั้งนี้น้ำเสียงหนักแน่นของเขาเริ่มมีความลังเลและความเคอะเขิน
“เปล่านี่...คิกๆ” ฉันปฏิเสธทั้งที่ยังหัวเราะ
มันน่าตลกนะ ทั้งที่เขาเคยบอกฉันเองแท้ๆ ว่าให้มองทุกอย่างเป็นเรื่องตลกและสนุกกับมัน พอหัวเราะ เสียงหัวเราะดันทำเขาไม่เป็นตัวของตัวเอง
“ก็นี่ไง สวยกำลังหัวเราะ...”
เสียงแย้งด้วยความเขินอายเงียบลงในช่วงท้ายประโยค ทันทีที่ถูกฉันเอื้อมมือแตะลงเบาๆ บนหน้าอกข้างซ้าย ฉันไม่ได้มองเขาหรอก แต่กำลังเชยชมลวดลายเอกลักษณ์ตัวตลกบนเรือนร่างเขาอยู่ต่างหาก
“ความตาย ความรัก ทรัพย์สมบัติและความรู้...” ฉันเอ่ยขึ้นเรียงตามที่ปลายนิ้วลากผ่านไพ่ Ace ทั้งสี่ใบบนแผงอกซ้าย
เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นลายบนตัวเขาใกล้ขนาดนี้ และมันน่าตกใจจริงๆ ที่เพียงแค่เห็นลวดลายดังกล่าว ฉันกลับเข้าใจความหมายของผู้ที่เป็นเจ้าของมัน
“นายกำลังหัวเราะให้ความตายอยู่งั้นเหรอ?” ฉันถามขึ้นอีกครั้งและหยุดนิ้วลงบนไพ่ใบใหญ่สุดอย่าง Ace โพธิ์ดำ[1]ที่โดยรอบเต็มไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ HA แสดงถึงเสียงหัวเราะบ้าคลั่งห้อมล้อมจนเต็มพื้นที่ พลางเงยมองหน้าผู้เป็นเจ้าของเพื่อรอคำตอบ
เกอร์หลุดหัวเราะดังหึในลำคอและให้คำตอบเพียงการพยักหน้าเท่านั้น
“หัวเราะให้ความรัก... แต่ก็ยังต้องการมัน ถูกไหม?”
“คงอย่างนั้น...” เขาตอบแบบไม่เต็มเสียงนักเมื่อถูกถามอย่างรู้ทัน แต่ฉันไม่ได้สนใจน้ำเสียงแบบนั้นของเขาเท่าไหร่ เมื่อเวลานี้ความสนใจดันพุ่งเป้ากลับไปยังลวดลายบนตัวเขาเป็นหนที่สอง
ปลายนิ้วลากไล้ไปตามแนวขวางของกล้ามหน้าอกอกฝ่ายและหยุดลงบนหน้าโครงกระดูกสวมหมวกตัวตลกบริเวณอกข้างขวา
“ความตายพรากเสียงหัวเราะและความสุขไปจากชีวิตนาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เจ้าของรอยสักพวกนี่ต้องการความรัก ความสุขและเสียงหัวเราะจากใครสักคน ฉันคิดถูกไหม?”
คราวนี้เกอร์ไม่ตอบแต่ใช้มืออีกข้างจับข้อมือฉันให้ละออกจากแผงอกเขา นัยน์ตาคมคู่นั้นกำลังวูบไหวราวกับถ้อยคำบางวลีจากฉันกำลังกระทบกระเทือนใจเขาอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังยิ้มแล้วพูดขึ้น
“สวยเนี่ย...สมกับเป็นนักศึกษาจิตวิทยาจังเลยนะ” แม้ไม่ใช่คำตอบที่ฉันต้องการ แต่ฟังแล้วมันก็ใกล้เคียง
“อยากให้ฉันอยู่กับนายบนเตียงนี้ คืนนี้ถูกไหม?” อีกครั้งที่ฉันถามโดยยังจ้องสบสายตากับอีกฝ่ายแบบไม่วางตา ซึ่งฉันไม่ได้รอให้เขาเปิดปากตอบ แต่เลือกจะพูดออกไปเอง “ลองขออีกทีสิ...”
สิ้นเสียงคนตัวใหญ่ก็ค่อยๆ ปล่อยมือที่จับแขนและข้อมือของฉันออก เขากลับหันหลังไปที่เตียงของตัวเอง ขึ้นไปนั่งในสภาพหลังพิงผนังและชันขาข้างหนึ่งไว้ พลางยื่นแขนสองข้างออกมาราวกับกำลังร้องขออ้อมกอดจากใครสักคน
ไม่ต้องมีคำขอร้องสวยหรู เพียงได้เห็นท่าทางแค่นั้น ร่างกายก็เริ่มเคลื่อนไหว
ฉันหันหน้าไปทางเกอร์แบบตรงๆ โน้มกายเอนไปข้างหน้า ทาบมือข้างถนัดกับเตียง หยัดเข่าเคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้าๆ
ตามที่อีกฝ่ายต้องการ...