ปะทะครั้งที่7.2

1589 Words
ฝ่ามือกว้างซึ่งเอื้อมรออยู่ก่อนแล้ว ไขว้คว้ากายฉันเข้าไปกอดไว้ในอ้อมอก รู้สึกได้ชัดว่าร่างกายใหญ่กำลังสั่นแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ปล่อยฉันให้ห่างกายเลยราวกับว่าเขารอช่วงเวลาแบบนี้มานานมากแล้วจริงๆ จะมีห่างกันก็เพียงแค่ช่วงเวลาที่เกอร์ลุกออกจากเตียงเพื่อปิดไฟในห้องพักเท่านั้น เวลาที่เคลื่อนผ่านไปในแต่ละวินาที ภายในห้องพักแคบๆ บนเตียงขนาด 3 ฟุตฉันได้ยินเสียงลมหายใจอุ่น ที่เจ้าของอ้อมกอดเป่ารดลงมาบริเวณกกหู ความเย็นของเครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำให้ฉันซึ่งสวมเพียงชุดนักศึกษาตัวบางตัวรู้สึกหนาวได้เลยเมื่ออยู่ในอ้อมกอดอุ่นของเขาคนนี้ เกอร์เอนหลังพิงกับหัวเตียงในสภาพกึ่งนอนกึ่งนั่ง เขายืดขาข้างหนึ่งไปตามความยาวของเตียงส่วนอีกข้างเขาชันตั้งเอาไว้โดยมีฉันนั่งแทรกอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาในสภาพเอนหลังพิงแนบกับลำตัวและแผงอกเปลือยเปล่า เราทั้งคู่อยู่ในท่านี้ตั้งแต่ไฟในห้องดับลง ทั้งที่เกอร์มีโอกาสทำนิสัยร้ายกาจกับร่างกายฉันในช่วงเวลาแบบนี้แท้ๆ แต่สิ่งที่เขาทำคือการกอดฉันไว้ และซุกฝั่งจมูกโด่งเป็นสันไปตามซอกคอจากทางด้านหลัง จูบเบาๆ ตามต้นคอในช่วงเวลาที่เขาต้องการ เชยชมเรือนร่างจากภายนอกเท่านั้น ไม่มีการบังคับหรือขัดใจให้นึกหงุดหงิด ทั้งที่เขาโหยหาเรื่องใต้สะดือแต่กับฉันเขากลับให้เกียรติมากพอที่จะไม่ทำการฝืนใจ รุกรานร่างกายฉันไปมากกว่านี้... “สวย...” “หืม?” ฉันขานรับเสียงกระซิบชิดติดใบหูนั่น ขณะที่มือไล้เลาะไปตามข้อนิ้วแข็งแกร่งที่กักขังฉันไว้ในอ้อมกอด “อยู่บนเตียงกับเราแบบนี้บ่อยๆได้ไหม” เขาพูดและจูบเบาๆ ข้างแก้มอย่างถือโอกาส “ถ้าสัญญาว่าจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ก็อาจจะ...” “ส สวย...หมายความว่าไง” เขาถามเสียงอู้อี้เพราะริมฝีปากยุ่งอยู่กับการจุมพิตต้นคอด้านหลัง “หมายความว่าเราจะอยู่กันแบบนี้ โดยไม่ทำอะไร” “แล้วถ้าเราอยากล่ะ...” ฉันหยุดคำถามดังกล่าวด้วยผละตัวออกเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็เหลียวมองหน้าอีกฝ่ายในระยะใกล้ไปด้วย ท่ามกลางความมืดฉันกลับเห็นแววตาของเขาที่มองตอบกลับมา มันอาจฟังดูว่าคำพูดเขานั้นค่อนข้างหยาบโลน แต่ด้วยน้ำเสียงที่ใช้นั้นกลับเต็มไปด้วยความให้เกียรติไร้การล่วงเกิน เพราะนั่นมันก็แค่คำพูดเท่านั้น... “ถ้าอยาก...” ฉันบอกเขาพลางเอื้อมแตะแก้มอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ก่อนใช้นิ้วไล้ไปตามสันกรามลงต่ำมาบริเวณปลายคางขณะปากยังคงพูด “ฉันคงช่วยได้แค่ภายนอก อย่างเช่น…” “เช่น...” เขาทวนน้ำเสียงกึ่งกระซิบ “จูบ” “...” “เพราะเราไม่ใช่แฟนกัน...อะ” เกอร์หยุดเสียงฉันด้วยโน้มใบหน้าลงมาหา ปลายจมูกโด่งแตะกับสันจมูกฉันแผ่วเบา และนั่นตามมาด้วยเสียงกระซิบติดกระเส่าหากแต่ฟังดูอ่อนหวานและยอมรับทุกข้อเสนอที่ถูกหยิบยื่นให้ “อื้อ...แค่สวยจูบเราก็พอ” สิ้นถ้อยคำดังกล่าวริมฝีปากอุ่นก็ประทับลงมาอย่างแผ่วเบาๆ ไร้ความรุนแรงให้รู้สึกตกใจอย่างในครั้งแรก “อือ...” สัญชาตญาณสั่งให้สมองบังคับร่างกาย ปรับใบหน้าให้ตรงกับองศาที่อีกฝ่ายต้องการ ละมือจากคางแล้วเปลี่ยนเป็นเอื้อมวงใช้วงแขนข้างเดียวกันในการคล้องคอเขาไว้ ในช่วงที่คนตัวใหญ่ขยับริมฝีปากขบไปตามกลีบปากล่างอย่างต้องการโดยที่แขนเขายังกอดฉันไว้ในอ้อมอก แรงบดคลึงจากผิวปากเร่าร้อนขึ้นแผ่ซ่านไปทั้งกายราวกับจะช่วยดับความเย็นรอบกายอีกแรง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่เราจูบกันแบบนั้น รู้อีกทีเกอร์ก็ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกไปและทิ้งท้ายไว้ด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง “ถ้าสวยเป็นแฟนเราเมื่อไหร่ สาบานเลยว่าเราจะฉีกเสื้อผ้าเกะกะพวกนี้ออกให้หมด...” ซึ่งยังคงให้ความรู้สึกว่าเขาให้เกียรติฉันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง... คืนนั้นไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปในอ้อมกอดเขาตั้งแต่ตอนไหน รู้เพียงแค่ว่าตอลืมตาตื่นฉันไม่ได้นอนอยู่ที่เตียงของตัวเอง ร่างกายถูกห่มคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนาของเจ้าของเตียง เกอร์หายไปก่อนหน้าที่ฉันจะตื่นอีกแล้ว... ฉันพาตัวเองจัดการกับสภาพดูไม่ได้ของตัวเอง อาบน้ำ แต่งตัว เปลี่ยนชุดนักศึกษาตัวใหม่เตรียมพร้อมสำหรับการออกไปเรียนเหมือนเช่นทุกวัน และวันนี้มันก็เป็นวันที่ต้องส่งข้อมูลรายงานส่งอาจารย์ประจำภาควิชา เอกสารรวบรวมการวิเคราะห์สรีรจิตวิทยาและผลสรุปวิชาจิตสิทยาคลีนิคเบื้องต้นที่ฉันสุ่มทำมาตั้งแต่ตอนปี1เทอม2ถูกหยิบมารวมกับในแฟ้มเก็บเอกสาร เมื่อเตรียมงานทุกอย่างเสร็จสิ้นฉันจึงออกเดินทางตรงไปยังมหาวิทยาลัย อาจเพราะวันนี้มาเร็วกว่าปกติ ทำให้ยังเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงก่อนวิชาแรกและการส่งงานจะมาถึง ที่นั่งพักแสนสงบอย่างใต้ต้นไม้เก่าแก่ซึ่งอยู่กึงกลางระหว่างตึกคณะจิตวิทยาและนิเทศฯ จึงเป็นที่แรกที่ฉันพาตัวเองไป บริเวณโต๊ะม้าหินตัวเดิม มีแก๊งสวมหน้ากากนั่งพูดคุยกันรออยู่ก่อนแล้ว และมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินหนีพวกเธอแบบตรงๆ ดังนั้นฉันจึงต้องพาตัวเองไปนั่งร่วมกลุ่มเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งโดยสมบูรณ์ “ช่วงนี้ข่าว JOKER เงียบไปเลยนะว่าไหม?” ดูเหมือนเรื่องที่พวกเธอคุยกันนั้นจะเกี่ยวกับ JOKER เสียด้วย “อ้าวสวย วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ” เกรซที่หันมาเห็นฉันก่อนใครทักขึ้น ก่อนตามมาด้วยทิชา “แฟ้มหนาจังเลยนะ คงแก่เรียนมากหรือไงหล่อน” ฉันได้แค่ยิ้ม แต่ไม่ตอบอะไรทิชา พลางทิ้งตัวนั่งข้างเกรซแบบเงียบๆ กะว่าจะฟังพวกเธอพูดคุยกับเรื่อง JOKER แต่ว่า หัวข้อสนทนาดันถูกเปลี่ยนอย่างกะทันหัน “ฉันได้ข่าวมาใหม่ เขาบอกว่าอาจารย์คนหนึ่งในมหาวิทยาลัยเราเริ่มมีการให้นักศึกษาใช้ตัวแลกเกรดด้วยแหละ” “มีด้วยเหรออาจารย์แบบนั้นน่ะ แกไปเอาข่าวมาจากไหนอ่ะหยา” “เด็กปี 1 ที่คณะมันพูดกันอ่ะ” ยะหยาตอบอย่างมีจริตพลางเลื่อนสายตามายังฉันราวกับรู้ว่าถูกมอง พอสบตากันยะหยาก็ยิ้มเหยียดตามประสาลูกคุณหนูหวงศักดิ์ศรีและถามขึ้น “มองอะไรเหรอสวย?” “เปล่านี่...” “จริงเหรอ?” เธอแกล้งย้อนเสียงยียวน ก่อนพูดประโยคหนึ่งออกมา “นึกว่าร้อนตัวเสียอีก ที่คอน่ะแดงจังเลยนะ” คำพูดของเธอสร้างความตกใจให้แก่คนฟัง จนเผลอใช้ฝ่ามือปิดคอตัวเองโดยอัตโนมัติ “คอสวยเป็นอะไร เกรซดูหน่อย” เกรซที่ดูหวังดีกว่าใครพยายามจับมือฉันออกเพื่อดูร่องรอยดังกล่าว จังหวะเดียวกันนั้นทิชาที่นั่งมองมานานก็ยิ้มแล้วกล่าวออกมา “รอยดูด...” แค่คำพูดของยะหยามันก็ทำฉันตกใจพออยู่แล้ว แต่พอเจอคำพูดของทิชาร่วมด้วย ฉันยิ่งทำตัวไม่ถูก แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือแก้มสองข้างดันร้อนขึ้นมา เพราะพอเดาได้ว่ารอยดังกล่าวมันเกิดขึ้นจากอะไรและใคร “กับใครล่ะ อาจารย์หรือไอ้โรคจิตรูมเมทเธอ คิกๆ” ทิชาถามซ้ำเสียงติดตลกพาให้ยะหยาที่นั่งข้างๆ หลุดหัวเราะตามไปด้วย “แค่ยุงกัดเท่านั้นนั่นแหละ” ให้ตายสิ! การแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เอาตัวรอดมันไม่สมเป็นฉันเลยสักนิด “ฉันเดาว่าเธอโดนไอ้โรคจิตนั่นเคลมแล้วใช่มะ คิกๆ” “เงียบน่า บอกว่ายุงกัด” ยิ่งปฏิเสธพวกเธอยิ่งมองเป็นเรื่องตลก พานให้ลึกๆ รู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จะแก้ต่าง มีเพียงเกรซเท่านั้นแหละที่ทำเหมือนเชื่อว่ารอยบริเวณต้นคอเกิดขึ้นเพราะยุง เธอหยิบยาหม่องทาลงเบาๆ ราวกับจะช่วยรักษา และตอนนั้นเอง กึก… “ขอโทษนะคะ...” คำพูดแสนนอบน้อมของหญิงสาวรุ่นราวใกล้เคียงกันที่ดังขึ้น หยุดทุกเสียงหัวเราะให้เงียบลง หันมองไปยังเจ้าของเสียงอย่างพร้อมเพรียง เธอคือนักศึกษาหญิงแปลกหน้าและประดับเข็มบนปกคอเสื้อต่างไปจากทุกคน เธอสวยและน่ารัก ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกคลับคล้ายคับคลากับเคยเจอที่ไหนมาก่อน “ที่โต๊ะนี้ มีคนชื่อสวยหรือเปล่าคะ?” คำถามของเธอทำเอาแก๊งสวมหน้ากากพร้อมใจกันชี้มายังฉันเหมือนนัดกันมา “เธอเป็นใคร?” อาจดูเสียมารยาทที่ถามกลับไปแบบห้วนๆ แต่นี่คือมารยาทของฉันที่ต้องถามก่อนจะเริ่มพูดใครสักคน ถ้าต้องคุยโดยไม่รู้จักชื่อแซ่ ฉันขอไม่คุยจะดีกว่า “ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ...” “...” “ฉันชื่อ เพียงฟ้า ยินดีที่รู้จักค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD