“อืม”
นัดดากรพยักหน้าให้เพื่อน แล้วก็ทรุดกายลงนั่งเก้าอี้หรูหรา ที่ตัวเองเคยสงสัยตอนเจ้านายเก่าเรียกเข้ามาประชุมบ่อยๆ ว่ามันจะเป็นยังไงนะถ้าได้นั่ง ตอนนี้ก็ได้รู้แล้ว ว่ามันสบายกว่าเก้าอี้เดิมคนละเรื่อง มิน่าล่ะ ราคาถึงได้แพง ตาก็มองข้าวของบนโต๊ะ สลับกับใต้โต๊ะ ที่มีของวางไว้อย่างเป็นระเบียบ และแทบจะอยู่ในตำแหน่งเดิมตอนอยู่โต๊ะเก่า เลยอดสงสัยไม่ได้ ว่าใครย้ายมาให้ ทำไมถึงทำได้แนบเนียนขนาดนี้
“แท๊นๆๆ มาแล้วค่ะบอส”
รุ่งฤดีกลับมาพร้อมกาแฟสองแก้ว ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วห้อง นัดดากรมองผ่านช่องกระจกตรงประตู ครึ่งหนึ่งเป็นไม้ครึ่งหนึ่งออกไป ก็เห็นว่าทั้งออฟฟิศยังมีคนมาไม่เท่าไหร่
“ปิดก่อนนะแก ฉันไม่อยากให้ใครเห็น อยากนั่งกินแบบสบายๆ และไม่ถูกคนมองสักวันบ้าง”
“ได๊ค่ะบอส”
รุ่งฤดีทำตามทันที ถึงแม้อยากจะอวดออฟฟิศใหม่เพื่อนสักแค่ไหน แต่เหตุผลของเพื่อนก็เข้าท่าไม่น้อย เลยไม่ได้ว่าอะไร นอกจากปิดมู่ลี่ตรงส่วนที่เป็นกระจกทันที
“อีกละ จะเรียกแบบนี้ทำไมวะ?”
“ก็เรียกเอาเคล็ดไงคะบอสสส”
รุ่งฤดีแกล้งลากเสียงสาวๆ ตาก็มองไดเร็กเตอร์ป้ายแดงอย่างล้อเลียน
“เคล็ดเคลิดอะไรวะ?”
“อู๊...แกนี่ ฉันเรียกแกแบบนี้ เผื่อได้เป็น ผจก อย่างที่อยากเป็นไง๊ มาๆ แก นั่งกินให้สบายๆ หน่อย”
พอเพื่อนกวักมือเรียก นัดดากรก็ลุกจากเก้าอี้หรูหราไปหาชุดรับแขก ที่หรูหราไม่ต่างกัน ตรงโต๊ะกลางนั้น ก็มีถุงมื้อเช้าหลายอันที่เพื่อนหอบมาจากร้าน เปิดไปก็เห็นพายไก่ ครัวซองต์ แซนด์วิชด์ ขนมปังไส้กรอก คุกกี้
“นี่จะซื้อมาขายหรือไงแก?”
นัดดากรมองเพื่อนแล้วเลิกคิ้ว มือก็จับหูแก้วมัคขึ้นมาจิบกาแฟไปด้วย เพราะขาดมันไม่ได้เลย วันไหนไม่ได้ดื่ม ก็ จะปวดหัวหนึบๆ ตลอด รู้แหละว่าตัวเองติดคาเฟอีนไปแล้ว และตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมโน่น
“ฉันก็ซื้อมากินไง แล้วไหนจะเผื่อพวกข้างนอกมาขอกินเหมือนทุกวันอีกล่ะแก ไม่เคยเจอหรือไง ซื้อมาห้าได้แหลกแค่สองอะ”
“แต่อยู่ในห้องนี้ คงไม่มีใครกล้าตามมาขอหรอกมั้ง”
“เอ่อใช่ๆ เห็นมั้ยล่ะ ข้อดีของการมีห้องส่วนตัว มันดือเว่อร์วังมากๆๆๆ แล้วแกจะลาออกมั้ยล่ะตกลง?”
คำนี้รุ่งฤดีแทบเปลี่ยนเป็นกระซิบ ต่อให้ไม่รู้ว่าเจ้านายใหม่ที่อยู่ห้องข้างๆ กัน จะได้ยินหรือไม่ ก็ขอปลอดภัยไว้ก่อน นัดดากรก็ไม่วายมองไปยังประตูตรงผนัง กั้นไว้ระหว่างสองห้องนี้ด้วย
เพราะรู้ดีว่าเจ้านายเก่าทั้งสองใช้ช่องทางนั้น เดินเข้าออกมาหากันเสมอ มันไม่แปลกหรอกสำหรับคนเป็นสามีภรรยา แต่เธอกับเขานี่สิ จะทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ แล้วก็หันมาหาเพื่อนเพื่อขอความเห็นอีก
“แกว่าไงล่ะ?”
“จะว่ายังไง ฉันก็ไม่อยากให้แกลาออกน่ะสิ อย่างที่บอกแหละ ตอนนี้งานหายากยิ่งกว่าเพชร หรือหาได้ แกก็คงจะไม่ได้ตำแหน่งใหญ่ และไม่ได้ห้องส่วนตัวแบบนี้หรอก ที่สำคัญนะ เขาคงไม่รับฉันกับแกพร้อมกันหรอกว่ะ เราไปไหนไปกันมาเกือบตลอดนะแก ถ้าต้องแยกกันมันจะดีเหรอวะ? คิดให้ดีนะเว้ย”
รุ่งฤดียังคงกระซิบกระซาบอยู่ เพราะกลัวเสียงจะลอดไปหาอีกห้อง
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะลาออกนะแก แต่ฉันก็ไม่เชื่อว่าเขาจะจำฉันไม่ได้ไง”
“ไม่หรอกมั้ง ก็แกอยู่กับเขาไม่กี่วัน ปีๆ หนึ่ง พวกคนรวยอย่างเขา คงมีผู้หญิงผ่านมาในชีวิตไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เขาไม่น่าจะจำแกได้หรอก หรือถ้าจำได้ แล้วไงล่ะ? ก็อย่างที่บอก ว่าแกไม่ได้ไปข้องเกี่ยวกับเขานี่ เขามาเอง จะมาโทษแกได้ยังไงล่ะ อย่าคิดมากเลยแก รอดูท่าทีเขาไปก่อนละกัน เคปะ?”
“อืมๆๆ”
4
หลังจากเพื่อนแยกออกไปแล้ว นัดดากรก็กลับไปนั่งทำงาน พอเปิดเมล์ออก ก็เห็นเมล์โปรโมตเธอ ส่งจากประธานไปหาพนักงานระดับบริหารทั้งหมด นั่นค่อยทำให้โล่งอกหน่อย เพราะตอนนั่งอยู่ในนี้ เห็นคนเดินผ่านหน้าห้องไปมา ต่างพากันมองด้วยความสงสัย โดยเฉพาะมนุษย์ป้าฝ่ายขายที่อยู่ออฟฟิศอีกฟาก กับยัยลิส คู่อริจากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน สายตาคนพวกนั้นเขียนติดหน้าผากไว้ชัดเจนว่า
“ยัยนี่สะเหล่อเข้านั่งในห้องเจ้านายทำไม?”
จนเธอไม่กล้าออกจากห้องเลย ทั้งที่อยากเข้าห้องน้ำแทบแย่แล้ว ชั่วขณะนั้น หญิงสาวก็เกิดความสะใจนิดๆ เมื่อมองออกไป แล้วเห็นยลรดีกับยัยลิสและพวกผู้หญิงที่อยู่ฝ่ายขาย เห็นต่างพากันเดินเฉียดหน้าห้องเธอไปมาหลายรอบ ให้เดาก็คงจะอยากมาเห็นด้วยตาของตัวเอง แล้วก็เอากลับไปซุบซิบกันต่อแน่ๆ
ถ้าเธอนั่งอยู่โต๊ะทำงานเดิม ซึ่งอยู่กึ่งกลางของชั้นนี้ คือฝั่งซ้ายก็เป็นฝ่ายพีอาร์ ไล่มาถึงห้องทำงานของผู้บริหารหลายห้อง ซึ่งตอนนี้ว่างอยู่ เพราะเกิดวิกฤตแล้วเจ้านายเก่าโละระดับผู้จัดการออกหมด
เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เหลือไว้แค่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการ เกือบทุกแผนก จะมีเหลือระดับผู้จัดการไว้ ก็แค่ฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม ฝ่ายจัดเลี้ยง และฝ่ายต้อนรับส่วนหน้าเท่านั้น ซึ่งเป็นฝ่ายทำเงินเข้าโรงแรม
ฝ่ายจัดเลี้ยงตอนเกิดวิกฤตใหม่ๆ ก็แทบไม่มีงาน แต่เธอกับลีลาวดีก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปลี่ยนนโยบายจากจัดเลี้ยงในโรงแรม เปลี่ยนเป็นรุกเข้าไปในสถานที่ของลูกค้า คิดราคาไม่แพง ให้พออยู่กันได้ รักษาความสะอาดขั้นสูงสุด ป้องกันด้านสาธารณะสุขอย่างรัดกุม
ไม่ว่าจะเป็นชุด หมวก หน้ากาก เฟชชิลด์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า ซึ่งผลตอบรับก็ดีมากๆ หลายออฟฟิศเรียกใช้บริการ เวลาจะจัดเลี้ยงในสำนักงานหรือจัดงานเลี้ยงตามบ้าน เพราะต้องการความสะดวกสบายและความหรูหรา
ขณะคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น แรกทีเดียวไม่ชิน และไม่แน่ใจว่าเป็นสายของตัวเอง หรือสายของเจ้านายเก่า เลยลังเลนิดหนึ่ง แต่พอมันดังไม่หยุด เลยต้องรับสาย
“น้องเค้กคะ พี่เพ็ญนะคะ”
ต่อให้อีกฝ่ายไม่บอก นัดดากรจำได้ว่าเป็นเสียงของพี่เพ็ญศรี เลขาของคุณลีฮุง ซึ่งตอนนี้ก็กลายมาเป็นเลขาของประธานคนใหม่ไปแล้ว และนั่งอยู่โต๊ะหน้าห้องไม่ไกลเลย