“ไอ้หน้าอ่อน...หน็อยยยไอ้หรรมเล็ก!!!”
“มึงเคยเห็นของกูเหรอ ลามกนะมึง” มังกรหัวเราะเสียงต่ำกวนอย่างกวนประสาท “ใหญ่กว่าของไอ้หน้าอ่อนนั่นแล้วกัน”
ยิ่งเห็นลักยิ้มนั่นลมรำเพยยิ่งหงุดหงิด
“ใครจะอยากเห็นของแก ว่าแต่ว่าใครหน้าอ่อนห้ะ! อย่าเอาปากหมา ๆ มาจ้าบจ้วงพี่สิงห์ของฉันนะ” หญิงสาวกัดฟันกรอด
ด่าอีลมรำเพยยังไงไม่เคยว่า แต่มาด่าผู้ชายอีลมรำเพยไม่ยอมแน่
เธอยกเท้าทำท่าจะถีบแต่คนตัวสูงกลับหัวเราะร่วนแล้วโยกตัวหลบ เสียงกรี๊ดของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับหัวที่ถูกขยี้จากชายหนุ่มที่ตามมาทีหลัง จนรถซวนเซเป็นงูเลื้อยด้วยความโกรธ
“ไอ้มังกร!!!”
“อีแว๊ดนี่เสียงดังจนคนเขาหูจะแตก”
มังกร ลูกชายเจ้าของค่ายมังกรพยัคฆ์ ลูกชายตาติ๊ดที่สืบเจตนาลมของปู่ของมังกรประคับประคองค่ายมวยมา จนในที่สุดก็รุ่งเรืองได้เพราะมังกรที่ชกที่ไหนก็ชนะกลับมา แต่นอกจากจะเป็นค่ายคู่แข่งที่ลมรำเพยไม่ชอบแล้ว เพราะเธอกับเขาดันเรียนมาด้วยกัน ความเป็นศัตรูคู่แค้นตั้งแต่เด็กยันโตทำให้เจอที่ไหนก็ด่ากันที่นั่นเสมอ
เพียะ!!!
มังกรฟาดฝ่ามือลงท่อนขาเล็ก
“โอ๊ยไอ้เวรมังกือ ไอ้หรรมเล็ก!”
“ใส่ขาสั้นออกมาทำไม มีแต่ผีบ่อปลา บ่อกุ้ง บ่อดิน ขยันงัดนมงัดตูดนักนะมึง” ว่าพลางยกมือฟาดกลางกระหม่อมของหญิงสาวอีกที
“ไอ้ปากหมานี่หนิ ปากแบบนี้เนี่ยแหละสมน้ำหน้าถึงโดนสมจี๊ดทิ้ง”
“แล้วไงกูเสียใจเหรอ กูนอนอยู่เฉย ๆ ก็มีผู้หญิงปีนมาถึงห้องแล้ว” นั่นก็จริงเธอเห็นคนคุยกันทั้งตลาดว่าคืนวันลอยกระทงมีผู้หญิงปีนห้องมังกรจนตำรวจมากันทั้งโรงพัก ใครอยากให้มันหน้าตาดีกัน หญิงสาวเขม่นในใจ
“ใส่ให้มันยาวกว่านี้แล้วจะตายรึไง”
“เสือก!!! หลบไปเลยนะ พี่สิงห์วิ่งไปนู่นแล้วเอามือออกไป”
“กูไม่เอาออก จะทำไม”
สิ้นประโยคร่างสูงก็กระโดดขึ้นท้ายมอเตอร์ไซค์ก่อนจะคว้าเอวเล็ก รถที่เซถลาพร้อมเสียงกรี๊ดของลมรำเพยดังลั่นไปทั่วคลอง
“กรี๊ดดดดไอ้มังกือ แล้วแกจะกระโดดขึ้นรถฉันมาทำไม ฉันจะไปฟ้องตาติ๊ดพ่อแกถึงค่ายมวยเลย”
“ไปสิ กูติดรถไปด้วยขี้เกียจวิ่งแล้ว”
“แล้วทำไมมึงไม่ไปวิ่งของมึงเล่า”
“ขี้เกียจ”
หญิงสาวกระทืบเท้าแกล้งขับรถแกว่งไปแกว่งมา แต่นอกจากมันจะไม่ลงแล้วยังกระชับเอวเธอแน่นอีก คอยดูเถอะเธอจะไปฟ้องตาติ๊ดพ่อมันให้เผ่นหัวกบาลสักทีให้ร้องจ๊ากเลย
ลมรำเพยรีบขับรถไปเทียบกับร่างสูงตรงหน้า แค่เพียงขับรถไปเทียบรอยยิ้มหวานของหนุ่มเข้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนเขาก็ไม่เคยทำหน้าไม่พอใจเลย
เธออยากกลับไปกราบตักพ่อสักทีสองทีที่ไปแย่งตัวสิงหามาอยู่ที่ค่ายได้ ยาใจอีรำเพยอย่างดี ต่อให้เหนื่อยจากเถียงกับไอ้เวรมังกือด้านหลังแค่ไหน
“พี่สิงห์”
“อ้าวมังกร มาวิ่งเหมือนกันเหรอ”
นอกจากไม่ตอบมังกรยังเบือนหน้าหนี
ถึงจะเคยขึ้นชกแค่ครั้งเดียวเขาก็ไม่ชอบขี้หน้า ถึงแม้ค่ายของเขาและค่ายของลมรำเพยจะไม่ได้เป็นศัตรูกันจริงจัง แต่คนที่อยู่บนสนามเดียวกันอย่างสิงหาก็ชวนให้อารมณ์เสียอยู่ดี
รอยยิ้มซื่อ ๆ นั่นมีอะไรดีนักหนา
“ไอ้มังกวย พี่สิงห์เขาทักแกทำไมไม่พูดห้ะ”
“ขี้เกียจ”
“พี่สิงห์อย่าไปพูดกับพวกสัมภเวสีเลยจ้ะ เดี๋ยวเพยเอามันไปส่งศาลบ้านตาติ๊ด แล้วจะกลับมารับพี่นะจ๊ะ”
“จะอ้วก!”
“หุบปาก” ลมรำเพยหันไปแว๊ดคนที่ซ้อนท้าย แล้วหันกลับมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับสิงหา “เดี๋ยวเพยมานะจ๊ะพี่สิงห์”
“เดี๋ยวพี่วิ่งกลับเองก็ได้ เพยเอานาฬิกามาให้พี่ก็พอ”
“นี่จ้ะ เดี๋ยวเพยมารับ...”
“ไปเร็ว ๆ”
บรื๊นนน
“กรี๊ดดดดไอ้มังกวย!!!”
แค่เธอยื่นนาฬิกาให้กับสิงหา เท้าก็ถูกเตะออกจากเกียร์ ก่อนที่แผ่นหลังจะถูกอกเปลือยที่เต็มไปด้วยเหงื่อเบียดชิดเข้ามาจนติด แล้วแย่งแฮนด์มอเตอร์ไซค์จากเธอไป จนในตอนนี้เหมือนว่าเธอนั่งซ้อนหน้ารถของมังกร
“นั่งดี ๆ ดิ๊วะ” เขาว่าพลางเกี่ยวเอวเล็กเข้ามาประชิดลำตัว
ก่อนเสียงกรีดร้องจะดังเคล้าเสียงหัวเราะของชายหนุ่มไปทั่วทุ่งนาที่เงียบสงบในยามโพล้เพล้
ภาพชินตาของรถจักรยานยนต์คันเก่าของลมรำเพยเลี้ยวเข้าถนนคอนกรีต ไม่นานก็เข้าเขตย่านชุมชน ก่อนจะเลี้ยวเข้าในรั้วบ้านสีขาวข้างสนามมวยบ้านของมังกร ทั้งสนามมวย ค่ายมวย ต่างเป็นของบ้านเขาทั้งนั้น
หากพูดถึงความรวยนับว่าค่ายเล็ก ๆ ของพ่อเธอเทียบไม่ติด
ทันทีที่ขาตั้งแตะฟื้นเสียงดุก็เอ่ยไล่คนด้านหลังทันที “ลงไปเลยไป ป้าบัวจ๊ะหนูเก็บหมาหลงมาส่ง”
“อ้าวววรำเพย มา ๆ มากินข้าวกันลูก”
หญิงสาวยิ้มตอบแม่ของตัวที่เกาะติดหลังตัวเองพลางยิ้มแป้น หม้อข้าวขนาดเท่าหม้อวัดถูกนักมวยในค่ายพากันหิ้วออกมาจากในบ้าน ถึงจะมีผู้ชายหุ่นล่ำมากมายแต่เธออยากไปรับพี่สิงหาของเธอมากกว่า เลยได้แต่ส่ายหน้าตอบปฏิเสธ “หนูยังไม่หิวเลยจ้ะป้า เดี๋ยวหนูต้องไปรับ...”
ป้าบ
ยังไม่ทันพูดจบประโยค ฝ่ามือหนาฟาดลงกระหม่อมของคนตัวเล็กจนหัวโยก
“ไอ้มังกร!”
“มาแดกข้าว!!!”