“ท่านแม่หลังอาหารซินเอ๋อร์มีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาท่านแม่เจ้าค่ะ” ฉันส่งสายตาให้ท่านแม่ รอบมององค์ชายสามเป็นระยะเพื่อให้ท่านแม่เข้าว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเขา สองแม่ลูกสื่อสารกันผ่านสายตาเข้าใจกระจ่าง ท่านแม่ตอบรับบอกว่าหากมีเรื่องไม่สบายใจก็ให้ไปพูดคุยกันที่เรือนยามว่างได้เสมอ
หลี่เหมยซินอารมณ์ดีขึ้นหลายส่วนนางเลิกสนใจแขกอย่างองค์ชายสามทำเหมือนกับว่าเขาเป็นธาตุอากาศ รีบลงมือกินข้าวจะได้รีบกลับเรือนตน ทว่าอาหารมื้อนี้มันไม่ง่ายเลยที่จะได้กินอย่างสบายใจ
เพราะเว่ยเหยียนเฟิ่งเอาแต่คีบอาหารตามฉันติดๆ ทีแรกก็คิดว่าบังเอิญ แต่ฉันตักอะไรเขาก็ตักตาม กินอะไรเขาก็กินตาม ไม่มีความบังเอิญแล้วมั้ง เขาจงใจทำชัวร์จากสีหน้าท่าทางมองจากดาวอังคารยังรู้เลย ไอ้หมอนี่อยากมีปัญหากับฉันรึไง
“องค์ชายเพคะอาหารถูกปากหรือไม่เพคะ” เสียงท่านแม่ดังขึ้นระหว่างสงครามประสาทของฉันกับเขา ท่านแม่หันไปถามเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ความจริงแล้วอาหารที่จวนตระกูลหลี่ของพวกท่าน ข้ารู้สึกคุ้นเคยนักเหมือนเคยได้ลิ้มลองมาก่อน” เขากล่าวตอบอย่างใช้ความคิดหลังจบประโยคก็เงยหน้าขึ้นมีรอยยิ้มจางๆ ให้ท่านแม่
ฉันกลอกตามองบนเบะปากในใจ ให้มันได้อย่างนี้สิ ตอนนี้เขาความจำเสื่อมอยู่จำไม่ได้หรอกว่าตัวเองชอบมากินอาหารที่จวนว่าที่คู่หมั้นบ่อยแค่ไหน เหอะ! “ทรงตรัสว่า อร่อย คำเดียวง่ายกว่านะเพคะ”
“ซินเอ๋อร์” ท่านพ่อเสียงเข้มใส่ ฉันจึงกล่าวขอโทษอย่างจำใจ ส่วนเขาก็ทำเป็นบุรุษมีจิตใจกว้างขวางกล่าวว่าไม่ถือสาที่ฉันพูดแถมเขายังยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าใส่ น่าหมั่นไส้!
หลังอาหารมื้อนี้เสร็จแล้วฉันก็ปลีกตัวกลับเรือนที่แสนสงบกำลังรอฉันอยู่ “ลูกคัดอักษรทิ้งไว้ยังไม่เสร็จ ขออนุญาตกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ”
ระหว่างเดินไปใกล้จะถึงเรือนจู่ๆ เหยียนเฟิ่งก็เข้ามาขวางทางฉัน ใบหน้าคมนิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ชัดแจ้งเหมือนในความทรงจำเก่า ความเย็นชาของเขาที่มีต่อนางยังคงไม่เปลี่ยน
ฉันยืนเงียบรอเขาพูดอยู่นาน เขาก็ไม่พูดจุดประสงค์ที่มาขวางสักที เลยคิดจะปล่อยผ่านเดินเลี่ยงไปทางซ้ายเขาก็ก้าวมาขวาง พอเดินทางขวาเขาก็ก้าวท้าวตาม
เอ้ะ! สมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอีกหรือไรถึงได้มีอารมณ์มากวนประสาทฉันอยู่ในจวนทุกวันตั้งแต่บ่ายยันตอนนี้ด้วยใบหน้านิ่ง รังเกียจกันมากก็อยู่ห่างฉันสิ
แม้จะด่าเขาในใจมากแค่ไหนฉันก็ยังปั้นหน้ายิ้มให้เชื้อพระวงศ์อย่างเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานติดรำคาญหน่อยๆ“องค์ชายสาม หากพระองค์ไม่มีกิจเร่งด่วนกระไรกับหม่อมฉัน หม่อมฉันขอทางด้วยเพคะ”
“อาการป่วยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามขึ้นทันทีทั้งยังไม่มองคู่สนทนาที่ตนมาขวางทางและถามคำถามที่เหมือนเป็นห่วงแต่ยังมีท่าทีเย็นชา
“ดีขึ้นแล้วเพคะ” เสียงราบเรียบตอบกลับพลางมองทางอื่น ก็ไม่อยากมองหน้าเขาเหมือนกัน
“เจ้าไม่อยากออกไปเที่ยวเล่นตลาดเหมือนก่อนหรือ” เหยียนเฟิ่งมีการเหลือบตามองสตรีข้างกายเป็นครั้งๆ ระหว่างพูด
“ไม่อยากเพคะ”
“เอาแต่อยู่ในจวนไม่เบื่อหรือ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ชอบอยู่เฉยๆ แค่ความจำเสื่อมนิสัยจะเปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวงั้นรึ”
หลี่เหมยซินยกยิ้มมุมปากคล้ายเย้ยหยันกำลังคำพูดของคนตรงหน้า “นั้นสิเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ก็สูญเสียความทรงจำเหมือนกันน่าจะเข้าใจจุดนี้ดีนะเพคะ”
“เรากำลังพูดถึงเรื่องเจ้าอย่าวนมาที่ข้า” เขายกมือขึ้นกระแอมไอเบาๆ
“ข้ามีเรื่องหนึ่งจะถามเจ้า” เขาถามมาสามประโยคแล้ว ยังจะคุยอะไรอะไรอีก
“เพคะ พระองค์มีสิ่งใดจะทรงถามอีกเพคะ” พยักหน้าคล้ายไม่ใส่ใจว่าชีวิตเขาหลังจากนี้จะเป็นยังไง ไม่ได้อยากรู้เรื่องเขามากนักหรอกเดี๋ยวมันจะมารบกวนจิตใจกันให้เจ็บช้ำอีก
“ตอนนี้เจ้ายัง.. ยัง..”
“หม่อนมฉันเหนื่อยมากแล้ว องค์ชายทรงอยากถามอันใดก็กล่าวออกมาเลยเพคะ” เห็นเขาเลิ่กลั่กไม่พูดซะทีก็เผลอถามสวนกลับด้วยความรำคาญ
“ก็ยังรู้สึก..แบบว่า..” น้ำเสียงเว่ยเหยียนเฟิ่งตะกุกตะกักจะพูดก็ไม่พูด แล้วหันมาเผชิญหน้ากับหลี่เหมยซินตรงๆ เขาหลับตาแน่นพูดคำถามในใจที่อัดแน่นมาตั้งแต่วันแรกเมื่อรู้อาการป่วยของนาง
“นี่เจ้าลืม..เรื่องระหว่างกับความรู้สึกที่มีต่อข้าจริงรึ”
เว่ยเหยียนเฟิ่งรอฟังคำตอบตั้งนานก็ไม่มีเสียงตอบจากสตรีตรงหน้าเลยคิดว่านางเดินหนีไปแล้วจึงลืมตาขึ้น เขาก็เห็นว่านางจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาที่เขาอ่านความคิดของนางไม่ออกจึงหลบตาไปทางอื่น
“องค์ชายมีสตรีที่รักอยู่แล้ว หม่อมฉันจะรู้สึกอะไรกับพระองค์ได้หรือเพคะหากเป็นเช่นนั้นมีแต่สร้างความเสียใจให้กับตัวเอง เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือที่หม่อมฉันจำไม่ได้ว่าระหว่างเราเกิดอะไรขึ้น เราทั้งคู่ต่างลืมทุกอย่างแม้กระทั่งความรู้สึกที่เคยมีต่อกันด้วย องค์ชายอย่าทรงกังวลเรื่องความรู้สึกหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” หลี่เหมยซินกล่าวน้ำเสียงปกติเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ใบหน้าใต้แสงสลัวของตะเกียงนำทางกับแสงจันทร์ยังคงมีรอยยิ้มจางๆ ให้เขารู้ว่านางไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างที่พูดจริง
แต่นัยน์ตานางกลับซ่อนบางอย่างไว้ เมื่อเห็นเขายืนนิ่งไม่พูดอะไร ฉันจึงเลือกที่จะไปต่อเดินเลี่ยงตัวเขาโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายหลบ ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ตัวเขาที่ขวางฉันแต่เป็นคำพูดที่ทำให้ฉันก้าวขาไม่ออก
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะความจำเสื่อมจริง” น้ำเสียงอ่อนลงไม่มีความเย็นชาเช่นทุกครั้งหลังเขาสูญเสียความทรงจำ
“..ข้ารู้สึกอย่างนั้น” ฉันก็อยากถามคำถามเดียวกับเขาเหมือนกัน แล้วทีท่านล่ะเหยียนเฟิ่ง ท่านลืมสิ้นทุกอย่างที่เกี่ยวกับข้าจนเชื่อใจสตรีอื่นมากกว่าสหายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาสิบปี
“เจ้าพูดเองข้าก็เคยความจำเสื่อมจนถึงทุกวันนี้และเข้าใจว่าลืมอดีตมันเป็นยังไง.. ดังนั้นข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะลืมข้าได้จริงๆ”
“เพราะทรงสงสัยหม่อมฉันเรื่องนี้เองหรือเพคะถึงได้คอยตามหม่อมฉันตลอดหลายวันนี้” จะลืมหรือไม่ลืม เขาจำเป็นต้องใส่ใจด้วยหรอ ฉันก้าวถอยห่างให้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่หรือไง แล้วเขาไม่พอใจอะไรอีก
“ใช่ หลายวันมานี้ข้าอยากทำเหมือนกับที่เจ้าเคยทำให้ข้า.. เจ้าเคยดูแลข้าตอนป่วยครานี้ข้าจะดูแลเจ้า ระหว่างเราจะได้ไม่ติดค้างต่อกัน”
“…” เกือบซาบซึ้งซะแล้วถ้าเขาไม่พูดประโยชน์หลัง เขาทำเพื่อตอบแทนที่ฉันเคยดูแลยามเขาป่วยเอง เขาทำเพื่อจะได้ไม่ติดค้างบุญคุณต่อกัน ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าคนรู้จักที่มีบุญคุณ ก็ดี…
“ข้าจะทำให้เจ้าเลิกแกล้งทำเป็นว่าลืมข้าทั้งที่ไม่ใช่ความจริง” เขามองออกว่านางไม่ได้ลืมแต่ความรู้สึกนั้นนางอาจจะลืมได้อย่างสนิทใจเพราะสายตานางมีแต่ความเย็นชาให้เขาอย่างที่ไม่ควรเป็น
“จะให้พูดอีกรอบหม่อมฉันก็ยืนยันคำเดิมเพคะ หม่อมฉันสูญเสียความทรงจำและเรื่องราวที่ผ่านมาเกือบทั้งหมด ถ้าจำไม่ผิดวันที่ท่านหมอมาตรวจพระองค์ก็ทรงทราบพร้อมกับคนในครอบครัวหม่อมฉันแล้ว ตอนนี้ผ้าขาวพันหัวอยู่ก็เป็นหลักฐานชัดเจนว่าหม่อมฉันได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักจนความทรงจำเกิดความเสียหาย เป็นเช่นนี้ก็ดีต่อพระองค์กับคนรักไม่ใช่หรือเพคะ” ฉันกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นแสดงออกอย่างเต็มที่พูดว่ามันคือความจริง
“แล้วที่เจ้าพยายามหลบหน้าข้าตลอดเพราะเหตุใดเจ้าหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ข้าทุกครั้ง หลี่เหมยซินเจ้ารังเกียจข้ารึ”
ก็คนมันกำลังตัดใจอยู่ไง! ฉันถอนหายใจการเผชิญหน้ากับเป็นเรื่องยากที่สุด กลัวว่าหากเจอกันบ่อยฉันจะลืมเขาไม่ลง ถ้าเลือกเขาครอบครัวฉันจะหายไปและชีวิตฉันจะไม่เหลืออะไรแม้แต่เขาก็ไม่ข้างฉันในวันที่ฉันไม่เหลือใคร จึงไม่อยากเห็นหน้าเขาให้มันทำร้ายจิตใจไปมากกว่านี้
“หม่อมฉันไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์กล่าวเพคะ ถ้าการที่หม่อมฉันต้องการพักผ่อนหลังป่วยร่วมเดือนในยามนี้ทำให้องค์ชายสามทรงเข้าใจว่าหม่อมฉันกำลังหลบหน้าพระองค์อยู่ หรือเรื่องอื่นที่ทรงทำให้เข้าใจผิดว่ารังเกียจพระองค์ เช่นนั้น หม่อมฉันก็จะขอทูลให้ทรงทราบว่า.. หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรผิดหรือมีความจำเป็นใดต้องหลบหน้าพระองค์ เราไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษอะไรหรือสนิทกันขนาดนั้นเพคะ”
ประโยคสุดท้ายของนางทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกใบมีดแหลมคมกรีดลงกลางใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาเผลอพูดสิ่งที่ไม่คาดคิดออกไปด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดและแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน
“เจ้าแค่อยากเอาคืนข้า เจ้าไม่ได้ลืมข้า..”
คำพูดของเขา ฟังอย่างไรฉันก็ไม่เข้าใจ แม้ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นใต้ส่วนลึกของจิตใจจะไม่เป็นอย่างที่พูด แต่ฉันเชื่อว่าหากเว้นระยะห่างกับเขาได้ สักวันคำพูดก่อนหน้านี้จะเป็นจริงเมื่อความรู้สึกในอดีตที่หลงเหลืออยู่จะจางลงไปเอง
“องค์ชายหม่อมฉันยืนยันหลายรอบแล้วนะเพคะ แน่ใจหรือว่ายังทรงต้องการคำตอบใดจากหม่อมฉันอีก” หลี่เหมยซินมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ที่ควรพูดก็พูดหมดแล้วหรือคำตอบของฉันมมันตรงกับสิ่งที่เขาอยากต้องการ ก็ไม่ใช่
“หรือพระองค์.. ทรงกังวลกลัวว่าจะมีข่าวลือที่หม่อมฉันไปตบตีกับสตรีอื่นเพราะ..แรงหึงหวงพระองค์อย่างเมื่อก่อน พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลนะเพคะว่าจะเกิดการทะเลาะวิวาทกลางสาธารณะอีก ตอนนี้หม่อมฉันรู้จุดยืนของตัวเองและ..ลืมความรู้สึกก่อนหน้าที่มีกับพระองค์ไปแล้ว วางใจได้หม่อมฉันจะไม่สร้างเรื่องรบกวนพระองค์อีกเพคะ”
“ข้าไม่ดะ..” ยังพูดไม่จบนางก็กล่าวตัดบทเขา
“องค์ชายเพคะ อย่าคาดคั้นอะไรอีกเลย หม่อมฉันเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน ขอเดินทางกลับวังปลอดภัยเพคะองค์ชายสาม” สตรีร่างบางหันกลับมาย่อกายคารวะบุรุษสูงศักดิ์สง่างามแล้ว เดินจากไป
เพราะหลี่เหมยซินหันหลังให้เว่ยเหยียนเฟิ่งอยู่ นางจึงไม่รู้ว่าประโยคที่กล่าวออกมานั้นทำให้สีหน้าของเขาแสดงอารมณ์เช่นไรยามทอดมองแผ่นหลังของสตรีร่างบางที่เดินหายเข้าไปในเรือน
ความสัมพันธ์ของทั้งสอง บัดนี้ คือหนึ่งบุรุษสูญเสียความทรงจำในช่วงเวลาที่มีค่าของเขาและนางจนหมดสิ้น หนึ่งสตรีแสร้งว่าตนเองนั่นลืมสิ้นทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาเพื่อรักษาชีวิตคนในครอบครัวของตน
เขาไม่ติดค้างนาง นางไม่มีสิ่งใดติดค้างเขา พวกเราอย่าได้เกี่ยวข้องกันอีกเลยจบๆ กันไป น่ะดีแล้ว ไม่อยากเจ็บปวดเพราะรักข้างเดียว ชีวิตนี้ก็ต้องอยู่คนเดียวได้เหมือนที่เคยอยู่ในโลกก่อน
ทั้งที่นางเคยพรำบอกเขากับปากเสมอว่าจะเป็นสหายพร้อมคอยเคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาตลอดไป ต่อให้ไล่นางอย่างไรนางก็จะไม่มีวันจากไป นั่นเป็นคำพูดล่าสุดที่นางมีโอกาสได้กล่าวก่อนนางจะตกน้ำในเวลาต่อมา