ตอนที่6

2146 Words
หลี่เหมยซินนั่งเขียนหนังสือบนโต๊ะด้วยท่าทางสง่าเหมือนเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม ทั้งการใช้พู่กันบรรจงอักษรจีนแต่ละตัวอย่างชำนาญ ความเป็นคุณหนูลูกผู้ดีมีชาติตระกูลล้วนมาจากความสามารถเดิมของตนในร่างหลี่เหมยซินล้วนๆ ฉันกำลังใช้ความสามารถจากอาชีพเสริมที่เคยทำในโลกเก่ามาใช้ในยุคนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพตัวเอง คือการเขียนนิยายขายนั่นเอง ฮ่า! คนรักในการเขียนและมโนเก่งอย่างฉันบอกเลยว่าเขียนได้ทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะตันแล้วหยุดพักสมองกับสายตา แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ฉันมีเรื่องมากมายต้องวางแผน อย่างเช่นหาทางล้มเลิกพิธีหมั้นให้ได้และทำให้ท่านพ่อปลีกตัวออกจากราชสำนัก ไปใช้ชีวิตที่สงบสุขห่างไกลจากเมืองหลวง เมื่อถึงเวลานั้นฉันก็จะเดินตามความฝันมุ่งหน้าสู่เส้นทางอาชีพของตน ทุ่มเทให้กับงานเขียนในยุทธภพนี้ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นในเวลาที่ผ่านมาหลังอาการป่วยดีขึ้นหลี่เหมยซินจะใช้ช่วงเช้าหลังตื่นนอนมาจับพู่กันลงมือเขียนเรื่องราวทีละน้อย วันละนิดฝึกฝนทักษะการเขียนให้คล่องและพัฒนาอยู่เสมอรวมถึงสมองน้อยๆ ของนางด้วย “คุณหนูอาภรณ์จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ” “อืม รอประเดี๋ยว” ฉันเขียนประโยคสุดท้ายจบก็รอให้น้ำหมึกแห้งได้ที่แล้วเก็บสมุดใส่กระเป๋าสะพายข้างที่ฉันสั่งออกแบบให้เหมือนสมัยใหม่ “อาอิงเจ้าจำที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ได้ใช่หรือไม่” “เจ้าค่ะหอวิหคราตรีอยู่ฝั่งตะวันตก เมื่อถึงตอนนั้นอาอิงจะแยกไปทางเหนือเพื่อไปรอคุณหนูที่จุดนัดพบและห้ามเปิดเผยตัวตน” “เก่งมากสาวน้อย เจ้าไปนำอาหารสำหรับสามมื้อของวันนี้มาข้าจะนำของกินไปด้วย แจ้งปิดเรือนห้ามพวกบ่าวไพรคนไหนเข้ามา หากพวกเขาถามก็ให้บอกว่าคุณหนูหลี่เหมยซินต้องการความสงบสร้างสมาธิเพื่ออ่านหนังสือใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ บลาๆ อ้างไร้ก็อ้างไปเถอะ” ฉันพูดกับอาอิงขณะที่ตัวเองกำลังจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่หลังฉากกั้น วันนี้ฉันจะไปข้างนอกโดยให้ใครรู้ไม่ได้เพราะคิดดูแล้วหากฮองเฮาทรงรู้ทราบว่าที่ลูกสะใภ้หายดีถึงขั้นออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พระองค์คงรีบร้อนจัดงานพิธีหมั้นในเร็ววันเป็นแน่ “รับทราบเจ้าค่ะ” อาอิงตอบรับก่อนไปทำตามที่คุณหนูสั่ง ส่วนฉันก่อนหวีผมเงางามให้เรียบตรงมือเรียวรวบผมขึ้นมาเป็นหางม้าผูกเชือกสีแดงให้แน่นหนา อาอิงก็กลับมาพร้อมอาหารว่างสองสามอย่างพอดี ใกล้ยามซื่อ (09.00–10.59 น.) ฉันกับอาอิงแอบปีนกำแพงจวนออกมาอย่างง่ายดายเพราะฉันมีวรยุทธเล็กน้อยที่ท่านพ่อผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเคยฝึกฝนให้ตั้งแต่เด็กไงล่ะ ส่วนอาอิงก็ไม่ธรรมดานางเป็นสาวใช้ของคุณหนูบุตรสาวแม่ทัพใหญ่จะให้อ่อนแอยามตกอยู่ในอันตรายพร้อมนายของตนโดยที่ไม่มีความสามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้อย่างไร หอวิหคราตรีใหญ่โตยิ่งกว่าจวนตระกูลหลี่ของฉันเสียอีก ภายนอกจัดด้วยอาคารงามตามีการไล่ทาสีน้ำเงินเข้มไว้ด้านบนไปจนสีฟ้าอ่อนด้านล่างลวดลายเมฆาบนพื้นหลังสีฟ้าอ่อนกับดวงดาวบนพื้นหลังสีน้ำเงินเข้มหลากสี มีรูปปั้นนกตัวใหญ่สีเงินในท่ากางปีกสีทองของมันออกขนาดมหึมาตั้งอยู่ตรงหน้าทางเข้าเป็นสัญลักษณ์ของหอวิหคราตรี สตรีสวมชุดจอมยุทธหญิงสีแดงเดินตาโตใต้หมวกติดผ้าคลุมหน้าสีขาว สิ่งที่ทำให้นางชะงักอีกครั้งหลังเดินผ่านรูปปั้นนก คือ บ่อน้ำพุ ถ้ามันเกิดขึ้นตามทำธรรมชาตินางจะไม่ตะลึงเลยแต่ว่ามองยังไงก็คือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น สมัยนี้มีคนอัจฉริยะถึงขั้นทำน้ำพุจำลองได้เชียวรึ หอวิหคราตรีชั่งน่าสนใจยิ่งนัก น่าแปลกที่ในอดีตชาติฉันเอาแต่สนใจบุรุษจอมซึมอย่างองค์ชายสามจนขาดโอกาสที่จะได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ “ยินดีต้อนรับขอรับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งใดขอเพียงสิ่งนั้นถูกกฎหมายบ้านเมือง หอวิหคราตรียินดีจัดการให้ท่านสมหวังขอรับ” บุรุษวัยกลางคนมีใบหน้ายิ้มแย้มกล่าวต้อนรับอย่างเป็นมิตร พลางเชื้อเชิญหลี่เหมยซินเข้าร้าน สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์ร่วมกิจการต่างๆ เลยก็ว่าได้เหมือนห้างสรรพสินค้าในโลกก่อนมีของมากมายให้เลือกซื้อแต่ละชั้นก็จัดอยู่ในหมวดหมู่เจ้าของหอวิหคราตรีผู้นี้มีความคิดสร้างสรรค์ดีแท้ “ข้าต้องการนกหนึ่งตัว” หลังกล่าวความต้องการบุรุษวัยกลางคนยังมีท่าทางเช่นเดิมแล้วนำทาง ระหว่างเดินขึ้นชั้นห้าผู้คนก็เริ่มน้อยลงคงเป็นเพราะสินค้าที่ฉันต้องการผู้คนทั่วไปไม่ได้สนใจสิ่งนี้มั้ง เมื่อขึ้นมาถึงแล้วชายวัยกลางคนก็บอกให้ฉันรออยู่ตรงนี้ก่อน เขาเดินไปพูดคุยกับบุรุษสองคนที่ยืนอยู่ตรงจุดคล้ายเคาน์เตอร์สมัยใหม่ ยิ่งเห็นความคล้ายคลึงกับโลกก่อนของที่นี่ฉันก็ยิ่งคิดถึงโลกที่พึ่งจากมา ชายวัยกลางคนเดินกลับมาแจ้งให้ฉันทราบเกี่ยวกับสินค้าที่สั่ง “ท่านโชคดีมากเลยขอรับที่ได้บัตรเข้าร่วมชิงตราวิหคเป็นใบสุดท้าย ราคาอยู่ที่สามร้อยตำลึงทองขอรับ” สามร้อยตำลึงทอง! ไม่ใช่คนทั่วไปไม่สนใจแล้ว แต่เป็นเพราะราคามันแพงเกินไปต่างหาก “ท่านลุงเหตุใดราคาตั๋วจึงสูงถึงเพียงนี้” ชายวัยคนกลางเห็นฉันตกตะลึงจนกะพริบตาปริบๆ มองบัตรสีเงินที่ใช้เข้าร่วมชิงตราวิหค จึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เช่นนั้นท่านจงตอบก่อนว่ารู้จักตราวิหคของหอแห่งนี้มากน้อยเพียงใดขอรับ” ฉันจำได้ว่าอดีตชาติประมุขฮ่าวหรานบุรุษที่เคยช่วยชีวิตจากกองไฟในอดีตชาติ เขามอบมีตราวิหคให้ฉันเพื่อใช้หาหลักฐานเอาผิดคนชั่วที่ใส่ร้ายครอบครัวฉัน เพียงแค่นำตรานี้ไปยื่นที่หอวิหคราตรีแล้วกล่าวสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้นหากได้รับอนุมัติจากเจ้าของหอสิ่งที่ขอก็จะมาอยู่ในมือ แต่หากไม่ได้รับการอนุมัติก็จะสูญเสียตราวิหคโดยไม่ได้อะไรกลับคืน ชายวัยกลางคนเห็นลูกค้าเงียบไปนานสองนานจึงกล่าวให้กระจ่างเกี่ยวกับสินค้าชิ้นนี้ “ตราวิหคหนึ่งปีมีเพียงชิ้นเดียวนายท่านของข้าน้อยก็คือเจ้าของหอผู้จัดการแข่งขันเข้ารับชิงตราวิหคปีหนึ่ง หนึ่งครั้ง บัตรเข้าร่วมมีจำนวนสิบใบต่อปี แต่หากขายใบสุดท้ายก่อนสิ้นปีก็จะจัดงานนี้ในวันถัดไปหลังขายใบสุดท้ายได้ ผู้แพ้จะได้เบี้ยคืนครบจำนวน ส่วนผู้ชนะจะได้รับตราวิหคและข้อตกลงเพิ่มเติมจากเจ้าของหอวิหคราตรีอีกที ซึ่งจุดนี้เป็นความลับระหว่างท่านลูกค้ากับเจ้าของหอ ไม่มีผู้ใดรับรู้ข้อตกลงขอรับ ส่วนมากผู้คนจะรู้แค่ว่า ตราวิหคเป็นเหมือนพรข้อเดียวหากต้องการความช่วยเหลือสิ่งใดเพียงบอกจุดประสงค์และเหตุผลที่มีน้ำหนักมากทำให้เจ้าของหอแห่งนี้พอใจ นายท่านของข้าล้วนทำให้ได้หมด ที่สำคัญตราวิหคใช้ได้กับแค่หอวิหคราตรีเท่านั้น” “หอวิหคราตรีรุ่งเรืองเพราะขายสิ่งนี้สินะ” ฉันคิดตามที่ชายวัยกลางคนพูด พลางกล่าวลอยๆ แบบไม่คิดว่าเขาจะได้ยิน “ผิดแล้วขอรับ เงินที่ได้จากการขายบัตรเข้าร่วมชิงตราวิหค นี้ 7ส่วนนำไปช่วยเหลือชาวบ้านตาดำๆ ที่ใช้ชีวิตลำบาก 3ส่วนเป็นค่าแรงของพวกข้าน้อยและแบ่งมาเป็นค่าจ่ายใช้ในหอแห่งนี้ ส่วนเจ้าของหอวิหคราตรีเพียงเก็บเบี้ยที่เหลือจ่ายไว้ใช้เองเท่านั้น” ฉันฟังเรื่องราวของหอวิหคราตรีจากท่านลุงเพลินจนเกือบลืมเรื่องสำคัญเสียแล้ว “ท่านลุงจากที่ท่านเล่ามาเจ้าของหอเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวางและมีเมตตามาก ท่านลุงในอนาคตข้ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ตราวิหคจริงๆ สามร้อยตำลึงทองข้าสู้ราคานี้ไม่ไหวพอมีทางอื่นหรือผ่อนจ่ายได้ไหมเจ้าคะ” ชายวัยกลางคนมองฉันนิ่งเหมือนสายตาเขาคล้ายกำลังประเมินฉันอยู่ แต่ไม่ใช่สายตาดูถูกที่ฉันไม่มีมีปัญญาซื้อบัตร เขาเกาคางสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะพาฉันไปที่โต๊ะลักษณะคล้ายเคาน์เตอร์ในโลกก่อน “ความจริงมีวิธีหนึ่งแต่ค่อนข้างเสี่ยงมากนะขอรับ นายหญิง…เอ่อหมายถึงเจ้าของหอวิหคราตรีนายท่านของเรา แม้จะมีจิตใจเมตตาจริงอย่างที่ท่านพูดทว่าเป็นคนเอาแต่ใจด้วยเช่นเดียวกัน ท่านวิเคราะห์ได้จากประโยคก่อนหน้านี้ที่ข้าน้อยกล่าวว่า เหตุผลที่มีน้ำหนักมากจนทำให้เจ้าของหอแห่งนี้ ‘พอใจ’ ล้วนทำให้ได้หมด หากท่านมีความจำเป็นต้องใช้จริงก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของท่านแล้วขอรับ” ชายวัยกลางคนเปิดสมุดหน้าหนึ่งยื่นให้ฉันดู ท่านลุงผู้นี้เหมือนจะเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ไม่งั้นคงไม่กล้าพูดว่าเจ้านายมีนิสัยเอาแต่ใจให้ลูกค้าฟัง “วิธีชำระค่าบัตรเข้าร่วมชิงตราวิหคมีข้อตกหลายรูปแบบเชิญท่านเลือกดูข้อที่สนใจแล้วข้าน้อยจะอธิบายให้ฟังขอรับ” ฉันเห็นเงื่อนไขมากมายหลายข้อไหนจะตัวเลขที่อยู่ในหนังสืออีก เลยตัดสินใจถามเงื่อนไขเกี่ยวกับข้อสุดท้ายให้ท่านลุงผู้นี้อธิบาย “ข้อนี้ท่านต้องทำตามคำสั่งของเจ้าของหอวิหคราตรีและจ่ายหมัดจำสิบตำลึงเงินขอรับ ทุกข้อมีค่าหมัดจำราคาต่างกันแต่ทุกเงื่อนไขล้วนจ่ายน้อยกว่าสามร้อยตำลึงทองหลายเท่านะขอรับ” “คำสั่งเป็นรูปแบบใดหรือ” ฉันว่าข้อนี้ไม่เลวนะแต่ก็ระแวงคำสั่งที่จะได้รับไม่น้อย “ในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของหอ ข้าน้อยมิทราบขอรับ” ฉันรู้สึกหนักใจมากพอควร เงื่อนไขนี้มีความเสี่ยงมากจะใช้ข้ออื่นก็ใช่ว่าไม่มีจ่าย แต่หมายเหตุมันเขียนเต็มตาว่าถ้าแพ้จะไม่ได้รับเงินคืน หากยกเลิกข้อเสนอภายหลังนอกจากจะไม่ได้รับเงินคืนด้วยแล้วยังมีค่าปรับอีก ตราวิหคควรเป็นไพ่ตายสุดท้ายที่ฉันต้องมีเก็บไว้เพราะหลังจากนี้หากเปลี่ยนเส้นทางชะตาชีวิตแล้วไม่มีหลักรับประกันเลยว่าเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจะได้พบตัวประมุขฮ่าวหรานบุรุษผู้ที่มอบตราวิหคให้ในชาติก่อนหรือไม่ “ข้าขอพบกับเจ้าของหอได้หรือไม่” “เกรงว่าจะมิได้ขอรับ เจ้าของหอวิหคราตรีใช่ว่าจะยอมพบใครง่ายๆ ขนาดเหล่าราชวงศ์หรือฮ่องเต้ที่มีอำนาจล้นฟ้าเรียกให้ไปเข้าเฝ้ายังมิยอมไปเลยขอรับ” เรื่องชื่อเสียงของสตรีเจ้าของหอวิหคราตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา นางมิกลัวโดนลงโทษที่ขัดราชโองการหรือไร แม้ฉันจะเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความเป็นมาของหอนี้มากแค่ไหนก็จำต้องเก็บงำไว้ก่อน “แล้วข้าจะรู้คำสั่งของนางได้อย่างไรเล่า” “ขั้นตอนดำเนินการ หลังท่านกรอบข้อมูลเอกสารให้ทางเราเช่นที่อยู่ติดต่อและจ่ายค่าหมัดจำครบสิบตำลึงเงิน ข้าน้อยจะไปแจ้งให้เจ้าของหอทราบขอรับ จากนั้นคำสั่งจะถูกส่งไปที่จวนท่านไม่เกิน12ชั่วยาม (24ชั่วโมง) ท่านจะได้รับบัตรเข้าร่วมชิงตราวิหคเมื่อทำตามคำสั่งของเจ้าของหอลุล่วงแล้วขอรับ” “ท่านลุงไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่” เงินสิบตำลึงสำหรับจวนตระกูลหลี่ไม่ได้รู้สึกระคายเคือง แต่ฉันผู้ใช้ชีวิตอย่างประหยัดในโลกก่อนย่อมคิดแล้วคิดอีกมันเป็นนิสัยติดตัว ชายวัยกลางคนกำลังตอบด้วยท่าทางใจเย็นเหมือนเคยไม่ได้รำคาญฉันสักนิดเขายินดีตอบทุกข้อสงสัย หรืออาจจะเริ่มรำคาญบางแล้วแต่ยังคงทำหน้าที่ให้ดีต่อไป ขณะนั้นเองบุรุษผู้หนึ่งก็เข้ามาแทรกกลางพร้อมวางเงินเต็มจำนวน “ตั๋วเงินสามร้อยตำลึงทอง ตราวิหค”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD