“ตั๋วเงินสามร้อยตำลึงทอง ตราวิหค”
หลี่เหมยซินเบิกตากว้างยังดีที่หมวกคุมใบหน้างามตกตะลึงไว้อยู่ ลอบมองบุรุษร่างสูงมาใหม่ด้วยอารมณ์หลากหลายเขาก็สวมหมวกคลุมหน้าสีดำเช่นเดียวกับนาง ก่อนที่หลี่เหมยซินจะออกปากว่าเขาไร้มารยาท ท่านลุงก็ตอบกลับไวกว่านาง
“บัตรเข้าร่วมชิงหมดแล้วขอรับ” ท่านลุงพูดได้ถูกใจฉันมาก มันหมายความว่าถึงฉันจะจ่ายน้อยกว่าท่านลุงเก็บบัตรใบสุดท้ายไว้ให้ฉันแล้วแม้จะยังไม่ลงนามทำสัญญา
“ใบสุดท้ายยังไม่ถูกขาย คนผู้นี้ยังไม่ได้จ่ายค่าบัตรให้เจ้ามิใช่หรือ” เขาพูดเสียงเย็น
“ใช่ขอรับ แต่อยู่ในขั้นตอนการตกลงกันอยู่ถือว่าท่านนี้มีสิทธิ์ซื้อก่อนขอรับ เว้นแต่จะถูกยกเลิก” ความอ่อนน้อมถ่อมตัวยังมีล้นเหลือ
“ข้าวางเงินแล้วจำนวนเยอะกว่าหลายเท่าในข้อตกลง เจ้ากลับไม่สนใจว่าหอวิหคราตรีจะได้กำไลมากกว่า”
“สามร้อยตำลึงทองของท่านทางหอวิหคราตรีจะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่านจะแพ้หรือชนะในวันชิงตราวิหคต่างหากขอรับ ต่างจากท่านผู้นี้ที่จ่ายเพียงสิบตำลึงเงินต่อให้แพ้หรือชนะทางหอวิหคราตรีของเราก็ได้รับเงินส่วนนั้นแม้น้อยนิดแต่ข้าน้อยเชื่อว่าคำสั่งของเจ้าของหอในเงื่อนไขจะต้องเป็นประโยชน์กับหอวิหคราตรีแน่นอน”
ฉันลอบยิ้มในใจอย่างมีหวัง หลังฟังท่านลุงชี้แจงให้บุรุษผู้นี้ทราบอย่างชัดเจน ท่านลุงผู้จัดการหอไม่ธรรมดาสมกับเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ ทว่าคนวางเงินก่อนเขายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อบัตรใบสุดท้าย
“หากข้ามีโอกาสชนะพวกเจ้าจะได้รับเงินมากกว่าเชียวนะ”
“นั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตขอรับ บททดสอบของเจ้าของหอเป็นสิ่งที่แปลกใหม่เสมอไม่มีหัวข้อซ้ำกันเลยสักปี ดังนั้นที่ท่านกล่าวว่าตนมีโอกาสชนะเป็นไปได้ยากขอรับ” ท่านลุงกล่าวได้นุ่มนวลและเชือดเฉือนถึงใจเหลือเกิน ขนาดฉันฟังแล้วยังจี๊ดขึ้นสมองทำให้คิดตามคำพูดแล้วอยากจะตบมือดังๆ ให้ท่านลุงพร้อมยกนิ้วโป้งให้
“เช่นนั้นข้าเลือกทำตามเงื่อนไขข้อเดียวกัน นี่สิบตำลึงเงิน”
“ไม่ได้ขอรับ”
“ทำไมเล่า?”
“เพราะท่านผู้นี้มาก่อนขอรับ” ฉันตอนนี้คือไม่กลัวถูกแย่งบัตรแล้วแหละ ยังไงซะใบสุดท้ายนี้ก็ต้องตกมาอยู่ในมือฉันแน่นอน
“แต่ข้าจ่ายก่อน”
“ทางหอเรายังไม่รับเงินของท่านขอรับ” ท่านลุงผู้มีความอดทนสูงเหลือเกินเจ้าค่ะ
บุรุษหมวกดำถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนหันมาทางฉันน้ำเสียงของเขาอ่อนลงหมดความเย็นชาเมื่อครู่นี้ “ข้าต้องการใช้ตราวิหคเพื่อช่วยชีวิตคน เจ้ามอบใบสุดท้ายให้ข้าได้หรือไม่”
ฉันผู้ยืนฟังความคืบหน้าอยู่พอเขากันมาพูดตรงๆ ขอให้สละสิทธิ์ เข้าใจว่าทุกคนก็มีความจำเป็นที่ต่างกัน น่าสงสารเขาอยู่หรอกแต่ครอบครัวฉันก็สำคัญมากเหมือนกัน “ขออภัยท่านด้วยที่ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ ครอบครัวของข้าจำเป็นต้องพึ่งตราวิหคนี้เช่นกัน”
“หากเจ้าให้โอกาสข้าชิงตราวิหค ข้ายินดีช่วยเหลือครอบครัวของเจ้า” เขายื่นข้อเสนอที่ฟังดูเป็นทางออกที่ดีสำหรับสองฝ่ายให้ แต่ฉันตัดสินใจแล้วไม่คิดเปลี่ยนใจภายหลัง
“เรื่องราวปัญหาในครอบครัวข้าวางใจตราวิหคมากกว่าท่านที่พึ่งเจอกันคราแรก ขออภัยด้วย” อีกอย่างฉันมีประสบการณ์ในการใช้ตราวิหคแล้วครั้งหนึ่งย่อมวางใจมากกว่าให้บุรุษที่ตนไม่รู้จักและไม่มีหลักรับประกันใดว่าจะมาปกป้องครอบครัวของฉันได้จริง
เดิมทีชั้นห้าของหอวิหคราตรีนี้จะไร้ผู้คนอยู่แล้วจึงเงียบเป็นปกติเพราะใช้สำหรับติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของหอหากเกิดปัญหาในชั้นอื่น ตอนนี้จึงเกิดความเงียบทั่วชั้นห้า “ข้ายังมีสหายรออยู่ สรุปว่าบัตรใบสุดท้ายนี้เป็นของข้าหรือไม่ท่านลุง”
“ขอรับ”
“นำสัญญาออกมาให้ข้าลงนามเถิด ข้าไม่ติดใจเรื่องใดแล้ว” ฉันจ่ายสิบตำลึงเงินให้ท่านลุง ไม่ช้าหนังสือลงนามก็ถูกกางตรงหน้าฉัน ขณะที่ฉันกำลังอ่านรายละเอียดทุกอย่างตัวอักษรก่อนลงนามเพื่อความรอบคอบ น้ำหมึกสีดำจากพู่กันกำลังแต้มลงบนกระดาษเสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ
“ช้าก่อน” ร่างระหงเดินลงบันไดจากชั้นหกลงมา อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มตัดสีผิวเนียนขาวน่าสัมผัส ชายกระโปรงสะบัดพัดปลิวไสวตามย่างก้าวของนาง ทรงผมก้าวเป็นมวยขึ้นปักปิ่นไม้บรรดามีบางส่วนหลุดจากการพันธนาการของปิ่นไม้บางส่วน คล้ายคนพึ่งตื่นนอนแต่ความสง่างามของนางก็ยังเอ่อล้นผ่านหน้ากากสีดำที่บดบังครึ่งใบหน้า
“คารวะนายหญิง” ท่านลุงโค้งหลังทำความเคารพนางอย่างนอบน้อมทั้งที่นางดูอายุน้อยกว่าท่านลุงมาก
สตรีผู้เป็นเจ้านายของท่านลุงเดินตรงมาที่ฉัน ดวงตาสีน้ำเงินดังรัตติกาลห้วงลึกล้ำสบตาฉันใบหน้าเรียบนิ่งคล้ายยิ้มก็ไม่ยิ้ม นางกล่าวเรียบกับท่านลุงทั้งยังไม่ละสายตาจากฉัน
“ลุงจินลงไปจัดการปัญหาที่ชั้นสามเถิด ส่วนสองคนนี้ข้าจะสานต่อเอง”
ท่านลุงรับคำสั่งอย่างว่าง่ายคำนับนางอีกครั้งแล้วไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย สตรีผู้นี้พิกลเสียจริงทั้งที่นางลงมาจากชั้นหกกลับบอกว่าชั้นสามมีปัญหาท่านลุงก็เชื่อ
นัยน์ตาประกายสีน้ำเงินของสตรีเจ้าของหอเปลี่ยนไป ก็ไม่เข้าใจว่าเปลี่ยนยังไง แค่รู้สึกว่าเมื่อกี้ตอนสบตานางอย่างกับถูกมนต์สะกด รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยพบกันมาก่อน
เจ้าของหอปรายตามองทั้งสองคนที่เข้ามาในฐานะลูกค้า ก่อนกล่าวพลางเดินขึ้นบันไดทางที่ตนพึ่งมา “เจ้าตามข้ามา”
ระหว่างเดินตามสตรีเจ้าของหอไปชั้นหกนางทำท่าจะเปิดประตูห้องทว่าก็หันมาสบตาใต้หน้ากากกับพวกเรา “ข้าหมายถึงให้นางตามมาคนเดียว”
“?” ฉันเลิกคิ้วหันไปมองบุรุษร่างสูงข้างกาย เขายังคงมีท่าทีสงบนิ่ง เจ้าของหอเดินไปที่ระเบียงตะโกนเรียกคนจากชั้นห้าที่ประจำเคาน์เตอร์เมื่อกี้
“เสี่ยวซานนำใบสัญญาเข้าร่วมชิงตราวิหคมาให้บุรุษผู้นี้ที” เจ้าของหอตะโกนดังลั่นไม่ห่วงภาพลักษณ์กุลสตรีแม้แต่น้อย ไม่ได้น่าอายอะไรมากก็แค่เจ้านายเรียกลูกน้อง “เสี่ยวซาน! ได้ยินที่ข้าพูดไหมเตรียมให้พร้อมข้าจะไล่เขาลงไปหาเจ้า!”
“อ้อ! แล้วก็นับเงินให้ดีๆ หน่อย เงินต้องครบ ห้ามขาด ถ้าเกินก็ไม่ต้องคืนเข้าใจนะ ตามนั้น” สองคำหลังสตรีเจ้าของหอหันกลับมาพูดทางบุรุษชุดดำ นางส่งสายตาให้เขากลับลงไปกรอบใบสัญญาซื้อขายตั๋วเข้าร่วมชิงตราวิหคด้านล่าง
เอ๋? ใบสัญญา? เข้าร่วมชิงตราวิหค? นางจะมอบตั๋วใบสุดท้ายให้เขารึ แล้วฉันล่ะ “เดี๋ยวสิทะ..”
“อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า ทำอย่างไรเจ้าก็ไม่ได้ครอบครองหรอกนะนังหนู ดังนั้นเงียบปากแล้วตามข้ามา” นางกล่าวเสียงเรียบ เปิดประตูห้องทิ้งไว้ให้หลี่เหมยซินตามเข้าไป
นางเรียกฉันว่า นังหนู? ดูจากรูปร่างภาพนอกนางอายุ20ต้นๆ เองล่ะมั้ง ห่างกันไม่กี่ปีเรียกฉัน ‘นังหนู’ เลยหรอ
ข้าวของใช้ในห้องมีความคล้ายคลึงกับเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่ โคมไฟดวงเล็กติดเต็มเพดาน เมื่อเดินเข้ามาทางซ้ายมือจะมีม้านั่งเหมือนสมัยนี้เป็นแบบเก้าอี้ไม้ธรรมดา2ตัวกลับโต๊ะ1ตัว ขวามือเป็นโซฟาตัวยาวสีน้ำตาลเข้มวางไว้กับโต๊ะเล็กๆ ตรงหน้าจะเป็นโต๊ะทำงานกระจก มีเก้าล้อหมุนแบบพิงตั้งอยู่ตรงกลางสุดของมุมห้องใกล้ๆ ระเบียงไว้รับลมด้วย ถ้าแดดแรงเกินก็มีผ้าม่านสีกลมผืนหน้ากับผ้าขาวบางเลือกใช้ได้ ประตูหน้าต่างยังคงมีความเป็นจีนโบราณยกเว้นการลงกลอนที่แน่นหนากว่าสมัยนี้
“ชื่นชมพอยัง” เสียงราบเรียบของสตรีเจ้าของห้องเอ่ยขึ้น ขณะที่ฉันตกอยู่ในภวังค์ไม่รู้นานแค่ไหนกับการชมข้างของเครื่องใช้ของแม่นางผู้นี้จึงได้สติ “ถอดหมวกออกซะ”
“ขออภัยเจ้าค่ะ” พลางถอดหมวกคลุมหน้าแต่ยังเหลือผ้าขาวปกปิดครึ่งหน้าอีกหนึ่งผืน บนหน้าผากข้างซ้ายปรากฎลวดลายดอกเหมยสีแดงปกปิดรอยแผลเป็นกว้างและยาวของฉัน
“ช่างเถอะ” นางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจพลางโยนกำไลไม้สลักลายวิหคสวยงามให้ฉัน “คิดว่าเจ้าจะไม่มาที่นี่สะแล้ว”
นางล้มตัวลงนั่งพิงเก้าอี้หลับตาพลิ้วสบาย “ผู้ได้เป็นเจ้าของตราวิหคมักจะมีชะตาเลวร้าย เจ้ายังจะอยากได้อีกหรือ”
แต่ตรานั่นสามารถนำมาช่วยเหลือครอบครัวฉันให้ผ่านเคราะห์กรรมในอนาคตได้เชียวนะ
ราวกับเจ้าของหออ่านความคิดของฉันได้แล้วนางก็ลืมตาขึ้นสบตาฉันพลางตอบหน้าตาเฉย “มีเก็บไว้เท่ากับแช่งตัวเองซะเปล่า อย่าลืมว่าผู้นำตราวิหคมาใช้ไม่มีสิทธิ์ได้ทุกอย่างที่ตนต้องการ เพราะผู้ตัดสินใจให้คือข้า”
ที่ท่านลุงกล่าวก่อนหน้านี้เป็นความจริงนายหญิงของเขานิสัยเอาแต่ใจไม่ผิดตัวแน่ ฉันไม่หลบสายตาคู่งามประกายสีน้ำเงินนัยน์ตาของนางที่จับจ้องกัน “เช่นนั้นท่านสร้างมันขึ้นมาเพื่อความต้องการของตัวเองหรือ”
“หึ ผู้สร้างมันขึ้นมามีจุดประสงค์ไว้ช่วยเหลือชาวบ้านยากจน แต่โลกนี้มันชั่วช้าเกินให้อภัย เพื่อปกป้องสิทธิการใช้ของล้ำค่า.. อธิบายไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” ดวงตาดั่งพญาหงส์สบเข้ากับดวงตากลมใสของหลี่เหมยซินชวนขนลุก
“ข้าไม่สนใจอยู่แล้วเจ้าค่ะ โปรดมอบโอกาสให้ข้าเข้าร่วมชิงตราสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ เงื่อนไขข้อ10ข้าจะทำตามคำสั่งท่านทุกอย่าง…”
“ไม่ ข้าให้ของที่ดีกว่าไปแล้ว ข้อตกลงใช้เงื่อนไขข้อ10เหมือนกัน นังหนูเจ้าได้ทำตามคำสั่งข้าแน่นอน เพียงตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออกไว้คิดออกแล้วจะบอกอีกที”
“กำไลไม้ธรรมดาๆ จะมีประโยชน์มากกว่าตราวิหคอย่างไรเจ้าคะ”
“เดี๋ยวก็รู้ กลับไปแล้ว ข้าจะพักผ่อน”
“ข้าไปแน่เจ้าค่ะ ถ้ากำไลนี่จะเป็นเครื่องยืนยันว่าท่านจะช่วยข้าบรรลุเป้าหมายจริง ข้าต้องการคำอธิบายหรือเหตุผลของท่านมากกว่านี้เจ้าค่ะ”
“อยากรู้ก็แค่ใส่กำไลติดตัวไว้ตลอด สักวันเจ้าจะได้เห็นว่ากำไลไม้ธรรมดาๆ นี้มีประโยชน์มากกว่าตราวิหคที่เจ้าอยากได้อีก ที่นี้ก็กลับไปได้ล่ะหมดธุระกับเจ้าแล้ว”