“นี่สรุปเราจะไปพัทยากันจริงๆ เหรอ วันเดียวเองนะ พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว”
“ทำไม...ใกล้ๆ แค่นี้ไปคืนเดียวจะลงแดงตายรึไง” ทับทิมเจ้าเก่ากับมารีเถียงกันฉอดๆ ถึงทริปกะทันหันที่ฉันเป็นคนนำเสนอและรวมพลให้มาพบกันโดยพร้อมเพรียง
ชีวิตของฉันก็มีเท่านี้แหละ มีเพื่อน...เป็นทุกอย่างที่ดีที่สุด เป็นครอบครัวในขณะที่ครอบครัวจริงๆ ไม่เคยเป็นให้ เป็นพี่น้องในขณะที่พี่น้องจริงๆ กลับมีแต่ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวกับฉัน
“พาโอลีฟมันไปพักสมอง พักร่าง...” แก้วแทรกขึ้น
“อ้อ...มึงยังไม่ปลงเหรอโอลีฟ ถ้าเป็นกูนะเออ...กูยอมรับสถานะของตัวเองได้ไปนานแล้ว หรือไม่ก็ห่างๆ กันไปมองหาคนใหม่ดีกว่า รอไปมันจะได้อะไรขึ้นมา หรือมึงคิดจะเป็นเมียน้อยไปจนวันตาย”
“มารี!มึงแรงไปป่ะวะ ถ้าเลือกได้มันอยากเป็นซะเมื่อไหร่” ทับทิมออกปากเถียงแทนฉันทั้งที่มันเองก็เห็นด้วยกับมารี...ฉันรู้
“ไม่แรงมันแทงไม่ถึงใจไง...มึงก็เห็นว่ามีแต่ปัญหา สักวันถ้าเมียเขาสืบรู้จริงๆ จังๆ ขึ้นมาแล้วทำตามที่ขู่มึงจะทำยังไง มึงมีงานทำแล้วนะโอลีฟหาเลี้ยงครอบครัวได้โดยไม่ต้องพึ่งเขา แล้วน้องสาวมึงน่ะ มันก็มีผัวมีเชื้อไปแล้วด้วยให้มันหากินเองบ้าง ไม่ใช่มาขูดรีดเอากับมึงทุกอย่างเหมือนคนพิการแบบนั้น”
อีกปัญหาหนึ่งที่เพื่อนรู้ใจทราบกันดีถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันต้องรับผิดชอบเกินตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็ถูกของพวกมัน...ไม่มีอะไรผิดเลย ผิดที่ฉันคนเดียวเท่านั้นแหละ...
“ถ้ามึงรักเขา มึงก็ต้องปล่อยให้เขาอยู่กับครอบครัวเขาอย่างมีความสุขนะโอลีฟ ไม่ใช่อย่างที่ทำอยู่นี้” แก้วเสริมขึ้น ทุกคนที่นั่งในห้องรับแขกดูเครียดไปหมดหลังจากรับประทานอาหารและของว่างเสร็จ รอเวลาได้ฤกษ์เดินทาง แล้วเรื่องของฉันจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาอีกครั้ง
“พี่เพิร์ทกับคุณม่านฟ้าเขาไม่ได้รักกันแล้ว เขาแค่อยู่...เพื่อลูก...” ฉันพยายามบอกเหตุผล แต่มันฟังเหมือนข้ออ้างมากกว่า
“มึง!...ไอ้คำว่าอยู่เพื่อลูกเนี่ย ผู้ชายมันใช้ตามบรรพบุรุษมันมึงรู้ไหม กี่ชาติกี่ศาสนาเหตุผลนี้ไม่เคยตกเทรนด์เลยจริงๆ ให้ตายเถอะ” สิ่งที่มารีพูดทำให้ฉันค่อนข้างอึ้งและจุกจนพูดอะไรไม่ออก ทุกคนมองฉันเป็นสายตาเดียวกัน จนฉันต้องถอนหายใจแบบดราม่า...
“กูไม่รู้จะทำยังไงดี กูขอเวลาหน่อยได้ไหมกูอยู่กับเขามาสามปี พี่เพิร์ทดีกับกูทุกอย่าง กู...ยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้ถ้าสักวันนึงจะต้องไม่มีเขาอีกต่อไป” “กูเข้าใจนะ ว่ามึงผูกพันกับเขาแค่ไหน เทิดทูนเขายังไงกูขอให้เวลาช่วยมึงกับการตัดสินใจครั้งนี้นะเพื่อน” ทับทิมตบบ่าฉัน...กำลังใจจากคำพูดไม่กี่คำเรียกน้ำตาของฉันให้ไหลพราก ฉันซุกหน้าเข้าหาอ้อมกอดของเพื่อนที่รอรับอยู่แล้วอย่างหมดอาลัย
ไม่มีใครรู้หรอกว่าที่ที่ยืนอยู่ตรงนี้มันทรมานขนาดไหนไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางพายุกระหน่ำ รอบข้างมีแต่สายน้ำกรรโชกแรงพัดกระทบอยู่ตลอดเวลา แล้วมันมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไว้เกาะกันพลัดตกไปตามกระแสน้ำนั้น มันทุกข์ทนท้อแท้ใจยังไงเมื่อถึงเวลาต้องปล่อยมือจากที่ยึดเหนี่ยวหนึ่งเดียวซึ่งเคยพึ่งพิงตลอดมา “เออๆ กูขอโทษ มึงหยุดร้องเถอะโอลีฟ เราเดินทางกันเลยดีกว่าอาหารเริ่มย่อย ขับรถเรื่อยๆ พอได้กินลมชมวิวกัน” มารีรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉันรู้สึกผิดกับทุกๆ เรื่องและกับเพื่อนทุกคน แต่ความอัดอั้นมันจุกแน่นจนไม่อาจบรรยายความรู้สึกอะไรออกมาได้ แม้แต่จะเรียบเรียงถ้อยคำในหัวสมองฉันยังสับสนเลย คงถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ฉันจะต้องหาทางหยุด! เสียที
“แล้วเรื่องคนที่ขู่มึงล่ะวะ...จะเอายังไง”
ฉันปาดน้ำตาลวกๆ พอให้หมาดแก้มแล้วหันมองมารี
“กูไม่รู้เลยมึงว่าเขาเป็นใคร อาจเป็นผู้หญิงคนใดคนหนึ่งของพี่เพิร์ท”
“มึงเคยเจอเด็กเขาคนอื่นบ้างป่ะล่ะ...” “ไม่เคยนะ ไม่เคยเจอใครแบบจะจะสักคน นอกจากมีโทร.มาโวยวายบ้าง แต่หลังๆ ก็ไม่มีแล้ว นอกจากข้อความแปลกๆ แล้วก็อะไรหลายๆ อย่างที่เล่าให้พวกมึงฟังนี่แหละ” “มันอาจจะเป็นคนคนเดียวกัน” แก้วตั้งขอสันนิษฐานหลังจากฉันเล่าความจริงทุกอย่างให้ฟัง
“ตอนแรกกูก็ไม่คิดอะไร แต่มันเกิดขึ้นบ่อยมาก วันก่อนก็มีคนส่งซากแมวตายมาที่โรงเรียนด้วยกูก็เลยเริ่มเอะใจว่ามันไม่ใช่การระรานเหมือนก่อนๆ แล้ว บางทีสักวันมันอาจทำอะไรกูจริงๆ ก็ได้ เพราะกูก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใครอยู่ที่ไหน มีแต่มันที่รู้...”
“เออ...อันดับแรก กูแนะนำให้มึงไปแจ้งความซะ ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ก่อน แล้วก็ระวังตัวให้มากขึ้นหน่อย หรือไม่มึงอาจต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคุณเพิร์ท เผื่อเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง” ทุกคนพยักหน้าเห็นพ้องกับสิ่งที่ทับทิมเสนอแนะมา แม้แต่ฉันเองก็เอนเอียงฟังคำมันชี้ทางให้
“กูไม่อยากพูดไม่อยากบอก เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย อีกอย่าง...กูไม่ได้อยู่ในฐานะจะเรียกร้องอะไรกับเขามากมาย กูก็อยู่ของกู เขาไม่มาหากูก็เฉย มากูก็ทำตามหน้าที่ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง”
“มึงนี่สุดยอด...ถ้ากูไม่ใช่เพื่อนมึงกูคงมองว่ามึงเข้มแข็งมากๆ แต่ที่ไหนได้...หัวใจของมึงมันมีแต่รอยแผลทั้งที่มึงยังยิ้มอยู่”
ฉันถึงกับแสยะยิ้มให้กับคำวิจารณ์ของทับทิม นอกจากฉันจะสงสารตัวเองอย่างจับใจแล้วฉันยังรู้สึกสมเพชเสียเหลือเกิน แต่ก็นะ...ฉันยังเลือกทนกับมันราวกับเข้มแข็งเสียเหลือเกิน
“มึง...จะสามโมงแล้วเนี่ย พวกเราจะไปกันได้ยัง...” ไอ้แก้วทักขึ้น เราทุกคนจึงนึกได้ว่ามีวางแผนจะไปพัทยากัน จากนั้นไม่ต้องถามความอะไรมากต่างคนก็ต่างแยกย้ายลุกไปหอบหิ้วสัมภาระของตัวเองและวิ่งเร่าๆ ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดไปขึ้นรถพร้อมกับลืมความทุกข์ที่สุมหัวกันเมื่อครู่เสียสนิท
นี่แหละ...เพื่อนของฉัน
“มึงๆ คราวนี้แหละ หาผัวใหม่ซะเลย ฝรั่งพัทยาเยอะแยะ หล่อๆ ล่ำๆ เดินกันให้ควั่ก ลองงาบลงทะเลไปสักคนคร้านจะติดใจลืมไซซ์เอเชียไปเลยก็ได้” แก้วที่นั่งเบาะหน้าหันมาเปิดประเด็นทันทีเมื่อทับทิมขับรถออกมาถึงถนนใหญ่
มารีสงบกว่าใครเพราะมันกินเสียจนท้องไส้แทบแตก ขึ้นรถมาก็เอาโทรศัพท์เปิดเพลงเสียบหูฟังเข้าหูแล้วก็หลับอย่างว่าง่ายข้างๆ ฉัน ส่วนฉัน...ก็นั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
มาสะดุดดึงสติได้อีกครั้งก็เมื่อได้ยินเสียงแหลมๆ ของแก้วนี่แหละ
“มึงรู้ได้ไงอีกแก้วว่าคุณเพิร์ทเขาไซซ์เอเชีย บางทีอาจจะโกอินเตอร์ก็ได้นะเว้ย...” ทับทิมรับหน้าที่ลูกคู่รับมุกทันที ฉันนึกขำเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับพวกมัน
“กูเดา แหม...มึงก็ พูดซะกูอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ เลย”
“ไม่เห็นจะยาก...มึงถามโอลีฟดิ...มาตรฐานของคุณเพิร์ท เอเชียหรือยุโรป...”
“เวอร์วังละพวกมึง เวลาเลือกผู้ชายเนี่ยมึงมองแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวกันเลยใช่ไหม”
“ใช่!!/ใช่!!” ถึงกับตอบพร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียว “เอ๊ย!ไม่ใช่ กูล้อเล่น เห็นมึงเหม่อเป็นหมาเหงาตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว ไหนๆ ก็มาเที่ยวทั้งทีมึงก็ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองบ้างอย่างที่อีแก้วมันนำเสนอน่ะดีแล้ว แต่ไม่ต้องถึงกับลากไปกินในน้ำเหมือนอีแก้วมันหรอกนะ ก็ไม่อยากมีเพื่อนเป็น...เพิ่มอีกคน...” คำพูดของทับทิมทำให้ฉันหัวเราะ มันเข้าใจละคำเด็ดเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ
“เป็นอะไรวะ...แน่จริงมึงพูด!”
“เป็น...เชี่ย!!...” ทับทิมละสายตาจากท้องถนนแวบหนึ่งมาแสยะยิงฟันใส่หน้าแก้ว ฉันได้แต่หัวเราะขณะที่มันสองคนกัดกันเป็นวรรคเป็นเวร
“กูรู้ว่าบางทีมึงก็อยากจะคาบใครสักคนไปกินให้สมกับความอดอยาก แต่เพราะไม่มีใครหลงเข้ามาใกล้รัศมีห่วงเอวมึงสินะ มึงถึงได้แต่ริษยาในความอิ่มเอมของกู...” แก้วแขวะไม่หยุด
“ด่าอย่างอื่นกูไม่ว่า...แดกดันเรื่องห่วงกูดราม่าใส่แล้วมึงจะหนาว”
“แทงใจดำมึงอ่ะดิ เฮ้ย!!ทับทิม!!!!”
เอี๊ยด! “ว้าย!!!” เสียงเบรกรถทำงานแข่งกับเสียงวี้ดว้ายด้วยความตกใจของพวกเรา รถเหวี่ยงตัวหมุนกลางถนนเพราะความไม่ได้ตั้งตัวของคนขับ ในที่สุดก็ไถลมาจอดข้างทาง
โชคดี...ที่ความเร็วไม่ได้สูงนัก ทำให้ทับทิมตั้งสติบังคับรถได้ทันท่วงที ทางค่อนข้างโล่งจึงไม่ถูกรถคันอื่นชนขณะหมุนคว้าง ไม่มีต้นไม้ใหญ่รอบๆ บริเวณขอบถนน พวกเราจึงรอดพ้นจากการถูกอัดก๊อบปี้ “โอ๊ย! ถึงพัทยาแล้วเหรอ มึงบอกกูกันดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องปลุกกูจนกระเด็นลงมานอนกองตรงนี้หรอก...โอยยย” เสียงมารีครวญมันหล่นตุ้บลงไปนอนด้านล่างเพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ส่วนฉัน...แทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจอได้แต่เอามือทาบอกที่มีก้อนหัวใจเต้นตุบๆ ราวจะหลุดหล่นออกมาด้านนอกด้วยความตกใจ มองมารีที่พยายามพยุงตัวมานั่งที่เดิมด้วยอาการงัวเงีย
“ทับทิม...มึง มึงโอไหม...” เสียงสั่นของแก้วถามคนขับ
“กูโอ...แต่กูกลัว มึงเห็นไหมแก้ว เมื่อกี้...”
“เห็น...มึง กูก็กลัว...” แก้วตอบ น้ำเสียงที่ฉันได้ยินเป็นอย่างที่มันบอกไปจริงๆ ฉันเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น รถจอดสนิทในสภาพที่เอียงตามพื้นซึ่งลาดชันเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น ทับทิม แก้ว พวกมึงเห็นอะไร” ฉันถามด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากพวกมัน มือไม้เย็นเฉียบชื้นเหงื่อ มารีคลานขึ้นมานั่งที่เดิมแล้ว มันเอามือลูบไปตามแขนและศีรษะ คงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“เมื่อกี้...มีมอเตอร์ไซค์ขับปาดหน้าเรา ทับทิมมันเลยเบรกกะทันหันอ่ะมึง มัน...มันมาสองคนแล้วหันมาชี้ใส่พวกเราด้วย”แก้วหันมามองฉันด้วยท่าทีกำลังรวบรวมสมาธิอย่างสูง สีหน้าของเพื่อนฉันซีดเผือดทันตาเห็น มีเม็ดเหงื่อผุดพราย
“กูคิดว่ามันจงใจปาดหน้าเรา...” ทับทิมกำพวงมาลัยแน่นและพูดแทรกขึ้นมา “มึงคิดมาก...บางทีเราอาจลั้ลลาเกินไปจนถูกหมั่นไส้ก็ได้ มึงโอเคไหมทับทิม...” ฉันถามคนขับ เพราะมันดูยังตื่นๆ ผนวกตกใจและพยายามปรับตัวเองให้มีสติคืนมาเร็วที่สุด เพราะมันเป็นคนขับรถ “กูว่ากูขับมาดีนะมึง ถนนก็โล่ง กูไม่ได้ไปจ๊ะเอ๋กวนบาทาใครที่ไหนแน่ เหมือนพวกมันตามมาโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะฉันจำได้ว่าเห็นรถคันนั้นตอนเลี้ยวออกจากซอยหมู่บ้าน แต่ก็ไม่ได้สนใจไง นึกว่าเป็นพวกเก็บดอกรายวันเสียอีก เห็นเมื่อกี้กูก็นึกขึ้นได้เลยนะมึง...”
“อย่าบอกนะว่า...พวกมันตามมาเก็บมึงอ่ะโอลีฟ”
“พวกมึงบ้ากันไปใหญ่แล้ว โอเวอร์...จากที่ฟังๆ มานะ พวกมึงอ่ะคุยเรื่องอีโอลีฟจนหลอนกันไปหมดแล้ว รีบไปต่อเหอะ เดี๋ยวค่ำมืด” มารีที่นั่งฟังอย่างสงบก่อนหน้าเอ่ยแทรกและสรุปง่ายๆ โดยไม่ถามความเห็นใคร
“...” ตัวฉันเองพูดไม่ออก เหมือนน้ำมันท่วมอยู่เต็มปาก อยากพาเพื่อนไปสนุกผ่อนคลายแท้ๆ กลับเจอปัญหาน่าหวาดเสียว อีกทั้งตัวฉันกลับกลายเป็นตัวน่าระแวงหวั่นใจสำหรับทุกคน ทั้งที่ต่างก็หนักใจเรื่องของฉันมากพออยู่แล้ว
“เออ...กูเห็นด้วย กูจะไม่ชวนมึงคุยแล้วนะทับทิม ค่อยจัดเต็มตอนถึงที่โน่นดีกว่า ใจคอไม่ดีเลยว่ะ” แก้วออกความเห็นบ้าง ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยนึงที่เพื่อนไม่ตัดสินใจหันหลังกลับเพราะมีฉันเป็นต้นเหตุ อีกซีกหนึ่งของความรู้สึกก็นึกกลัวหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
“ไปก็ไป...อะไรก็ได้กูอ่ะ...” ว่าแล้วทับทิมก็บังคับพวงมาลัยรถให้ตรงขึ้นไปบนถนนอีกครั้ง มุ่งหน้าตรงไปยังพัทยา คราวนี้...ทุกคนต่างนั่งเงียบพูดถามไถ่เพียงเรื่องมีสาระสำคัญและต่างก็คอยระวังตัวมากขึ้น ฉันได้แต่หวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงแต่เรื่องบังเอิญ...เท่านั้น