บทที่ 2 ตอนที่ 1

1576 Words
“อีกแล้ว! มึงจะยอมทนให้เขาด่าถึงโคตรเง่าแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่โอลีฟ ไม่เจ็บไม่จำบ้างเหรอ!” ฉันถอนหายใจให้กับคำตินั้น มองหน้าเพื่อนรักอย่างอนุธิดาหรือทับทิมกึ่งเบื่อคำบ่นของมันด้วยเรื่องซ้ำๆซากๆที่มันทำให้ปวดจิตอยู่เสมอแต่ทับทิมมันก็เป็นเพื่อนที่ให้คำปรึกษาได้ดีคนหนึ่งแม้จะปากหมาไปหน่อยก็ตามเถอะ... “มึงจะให้กูทำยังไง กูทำอะไรไม่ได้...” เสียงฉันอ่อนแรงเต็มทีด้วยความเหนื่อยหน่ายแต่ก็ต้องทน หาทางออกให้ตัวเองก็แสนยากเย็น “มึงก็สวยนะโอลีฟ มีการศึกษา หน้าที่การงานก็ดี ทำไมวะ ทำไมต้องทนเป็นเมียน้อยให้คนเขาดูถูกด้วย นี่เล่นด่าถึงพ่อแม่ปู่ย่าสามมื้อหลังอาหารกันแบบนี้ ยังจะเฉยอีก” “กูไม่ได้เฉย แค่กำลังคิดว่าจะเอายังไงดี” ฉันเอนหลังพิงพนักโซฟาเช่นคนหมดแรง เหลือบมองเพื่อนที่นั่งตรงข้ามอย่างต้องการคำปรึกษาหรือคำปลอบใจที่ดี แน่นอน...ฉันยังต้องการพลังใจอยู่เคียงข้าง ไม่ใช่การทับถมถากถาง “เลิกกับเขาซะสิ มึงก็เรียนจบแล้ว มีงานทำแล้ว...” “คือ...” “หรือว่ามึงเกิดรักเขาแล้วจริงๆ วะโอลีฟ” “มึง คือกู...แค่อยากหาทางออกเรื่องที่มีคนส่งข้อความมาก่อกวน” ฉันรีบแก้คำอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ดูเหมือนทับทิมจะเห็นลิ้นไก่ของฉันมานานแล้ว ฉันจึงยอมรับพยักหน้าให้มันแทนคำตอบ “มึงพลาดแล้วโอลีฟ มึงไปรักเขาได้ไงวะ คนนั้นเขามีเมียมีลูกแล้ว เขาไม่มีวันเอามึงจริงๆ หรอก อย่างมากก็แค่ของเล่นที่ถูกใจเป็นพิเศษ กูนึกว่ามึงจะคบเขาเพราะเขาส่งเสียให้เรียน พอจบก็เลิก...แต่นี่มันเตลิดกันไปใหญ่แล้ว” “พี่เพิร์ทเขาดีกับกูมากมึง กูก็ไม่มีใครด้วยนอกจากเขา” “หืม...ดีมาก ให้มึงเป็นเมียน้อยเนี่ยนะ แถมไม่ใช่มีมึงคนเดียวซะด้วย เดินชนกันให้ควั่ก นี่คือดีแล้วเหรอ ส่วนไอ้เรื่องมีใครไม่มีใครน่ะ ถ้ามึงเปิดใจมึงก็เจอ...” “อย่าว่ากูอีกเลย กูสำนึกผิดไม่ทัน...” ฉันสวนติดตลก แต่จริงๆ แล้วใจไม่ได้นึกตลกกับมันสักนิด ทับทิมยังคงมีสีหน้าไม่พอใจ ถอนหายใจแล้วก็ยอมหยุดพูด มันคงรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น ยังไงก็ห้ามฉันไม่ได้อยู่ดี เพื่อนรักมองหน้าฉันอย่างใช้ความคิดและเชิงปรึกษา เพราะฉันถูกคุกคามขึ้นเรื่อยๆ และบ่อยเข้าไปทุกที จากที่ไม่เคยคิดอะไร ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องคิดเพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง “เบอร์ที่ส่งข้อความมา แต่ละครั้งไม่ใช่เบอร์เดียวกันทั้งนั้น เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าใช่คนคนเดียวกัน” “กูก็คิดไม่ตก ถึงได้ มือข้างหนึ่งกุมขมับ ฉันยกเท้าขึ้นบนโซฟาตัวที่นั่งและเอนหลังพิงกึ่งนอน ฉันพูดจาไม่สุภาพกับกลุ่มเพื่อนเป็นเรื่องปกติ แม้จะมีอาชีพครู แต่ทุกคนก็ย่อมมีมุมส่วนตัวและเรารู้ว่าไม่ควรทำมันในที่สาธารณะซึ่งดูไม่งามสำหรับอาชีพที่ฉันทำเป็นอย่างยิ่ง “แจ้งความดีไหมมึง” “แจ้งจับใคร? เรามีหลักฐานแค่นี้เอง” “ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ก็ยังดีวะ อย่างน้อยถ้ามีใครทำอะไรแกจริงๆ เราจะได้มีหลักฐานการแจ้งความเอาไว้ว่าถูกจ้องทำร้ายอยู่นานแล้ว” “ถ้าตำรวจถามว่าเรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ” “เออ...ก็คงต้องเล่าความจริงอ่ะมึง เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพจิตของมึงเอง หรือไม่ก็เปลี่ยนซิมเปลี่ยนไลน์เปลี่ยนเฟซซะ” ไม่ได้มีแต่ทับทิมหรอกที่ลำบากใจ...ฉันเองรู้สึกยิ่งกว่า ถ้าหากแจ้งความก็ต้องเล่าที่มาที่ไป ด้วยฐานะที่ฉันเป็นและหน้าที่การงานมันช่างขัดกับศีลธรรมยิ่งนัก “ก็คิดว่าจะทำแบบนั้นแหละ กูคงทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้แล้วใช่ไหมมึง” “มึงทำได้นะโอลีฟ แต่มึงเลือกที่จะไม่ทำ” “กูไม่มีใคร...กูมีแต่เขา กูเคยพยายามหลายครั้งแล้วมึงรู้ไหม” ฉันเริ่มเครียด ดีแล้วที่เลือกจะแยกห่างจากพี่เพิร์ทในวันสองวันนี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงประสาทเสียกับการถูกรังควานแล้วยังต้องมาเก็บอารมณ์ไม่ให้เขารับรู้อีกเป็นแน่ อย่างน้อยการได้อยู่กับเพื่อนก็ช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้นมาอีกหน่อยหรือไม่... ก็ถูกกดดันให้เส้นเลือดในสมองแตกตายเร็วขึ้น “โอลีฟ ไอ้ทับทิม แหม...สุมหัวจนเหากระเด็นใส่กันเลยนะมึง” เสียงเพื่อนอีกคนเปิดประตูบ้านเดินเข้ามาพร้อมด้วยของพะรุงพะรัง ฉันกับทับทิมหันไปยิ้มให้เจื่อนๆ พยักหน้าทักทายตามปกติ “อีแก้ว!นั่นมึงจะไปเข้าค่ายลูกเสือสำรองเหรอ หอบมาซะ...” ทับทิมแซวเสียงสูงทันที ส่วนฉันนั่งอมยิ้มมองแก้วหรือวรรณภาวางของในมือลงบนพื้นแล้วเท้าสะเอวตั้งหลักตอบโต้ทันที “หืม...พอกูหอบมามากทำเป็นบ่น ก็บ้านมึงมีอะไรให้ตกถึงท้องบ้างล่ะนอกจากน้ำเปล่ากับน้ำปลา กูมีเลือกได้มะกูก็ต้องเอามาเผื่อกันตายสิวะ” “เออ...ไหนๆ ก็เอามาแล้วทำให้กินด้วยเลยก็แล้วกัน แร่ธาตุในตัวกูละลายหมดแล้วกับตำแหน่งที่ปรึกษาเนี่ย” “อีกละ...ทั้งปี...” แก้วบ่นพึมพำ มันยิ่งตอกย้ำให้ฉันรู้สึกเป็นตัวปัญหาสำหรับทุกๆ คน แต่ก็ใช่ว่าเพื่อนจะตั้งใจ ฉันรู้ว่าอีกประเดี๋ยวแก้วมันก็ต้องมานั่งซ้ำเติมและคอยหาทางออกให้อีกแรงอยู่ดี “ไปทำกับข้าวเลยแก้ว กูหิว...” “โหย...กูนี่ขี้ข้ามึงใช่มะ?” “ต้องการคำตอบไหม” “ไม่ต้อง!!กูรู้อยู่แล้ว!” แก้วกระแทกเสียงแล้วหอบข้าวของไว้กับตัวอย่างเดิมเดินดุ่มๆ เข้าไปในครัว เป็นอันรู้ว่าวันนี้พวกเรามีลาภปากกันอีกตามเคย “แก้ว!โอลีฟ หาไวน์มาจิบกันหน่อยไหม แล้วค่อยไปต่อพัทยากัน” “มารียังไม่มาเลย” “เออ...เดี๋ยวมันก็ตามมาเองแหละ เมื่อเช้าโทร.ไปแล้วยังไงก็มา มันเคยพลาดเหรอ” เสียงแก้วสวนออกมาจากในครัว ทับทิมยักคิ้วเห็นด้วย พวกเราจึงจัดแจงช่วยกันทำกับข้าวง่ายๆ กินกันตายขณะรอเพื่อนสาวอีกนาง เรื่องดราม่าของฉันจึงถูกพักไว้ก่อน เพื่อรอให้ทีมมาครบแล้วค่อยรุมประชาทัณฑ์ทีเดียวพร้อมๆ กันเลย พวกเราทั้งสี่คนรู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันกับแก้วสนิทกันมากกว่าใครเพราะเคยเรียนมัธยมที่เดียวกันด้วย มันจึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฉัน เรียกได้ว่าทุกซอก...ทุกมุมก็ว่าได้ จุดหักเหในชีวิตของฉัน...เกิดขึ้นตอนที่กำลังเรียนปีสอง ฉันมีแฟนคนแรกแต่ด้วยฐานะทางบ้านค่อนข้างลำบากฉันต้องหาเลี้ยงส่งเสียตัวเองรวมถึงจุนเจือให้ทางบ้านด้วย เมื่อเขารู้ร ฟังดูแล้วปัญญาอ่อน...ฉันเจอกับพี่เพิร์ทในช่วงเวลานั้น ในคืนหนึ่งที่ฉันเมาหนักเพราะช้ำรักและถูกปัญหามากมายรุมเร้า ฉันโหยหาและเจ็บปวดเหลือเกินกับความผิดหวังครั้งนั้น เพื่อนๆ ทั้งสามพากันปลอบใจและลงเอยกันที่ผับแห่งหนึ่งเพื่อดับทุกข์ ในที่สุดฉันก็เมาสมใจอยาก แต่กลับไม่ลืมความเศร้าอย่างที่ปรารถนา แอลกอฮอล์กระตุ้นให้จิตสำนึกอันชอกช้ำโลดแล่นจนน่าตกใจ ฉันร้องไห้ฟูมฟาย และถูกเหล้าครอบงำสติโดยสิ้นเชิง (เพื่อนๆ เล่าให้ฟังทีหลัง) แล้วฉันก็หายตัวไปจากฝูงเพื่อนด้วยมนต์หรือกลใดก็ไม่รู้...มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงกับผู้ชายที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นหน้า...พี่เพิร์ทนั่นเอง ฉันยังจำสายตาครั้งแรกที่เขามองฉันได้เป็นอย่างดี ช่างเต็มไปด้วยความเวทนาและสังเวชใจจนเห็นได้ชัด แน่นอน...ฉันเมา และพรั่งพรูทุกอย่างให้เขาฟังจนหมดสิ้น ทั้งเรื่องครอบครัวและในทุกๆ เรื่องที่มันอัดแน่นอยู่ในหัวอก พี่เพิร์ทไม่ได้แตะต้องตัวฉันเชิงชู้สาวในคืนนั้น แค่จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเศษฝุ่นเศษดิน อีกทั้งยังเหม็นเหล้าคลุ้งไปหมดแล้วหาเสื้อเขามาสวมทับให้ก่อนจะลากขึ้นเตียงให้นอนอย่างสบายอุรา มาทราบความทีหลังจากปากเขาว่าฉันเดินโซเซมายังลานจอดรถและเมาจนล้มต่อหน้าต่อตา ครั้นถามความก็ไม่รู้พูดจาไม่รู้เรื่อง พี่เพิร์ทเล่าว่ายืนฟังฉันที่นั่งพับเพียบร้องไห้ฟูมฟายเล่าความอัดอั้นตันใจอยู่นานสองนานก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะเห็นคนที่น่าจะมาด้วยกัน เขาจึงตัดสินใจพากลับมาด้วยเพราะมันดึกมากแล้ว จากนั้น...เขาก็ยื่นข้อเสนอมาตรงๆ ที่จะดูแลฉัน แต่ฉัน...ต้องยอมรับสถานะของตัวเองให้ได้ด้วย นั่นคือ...การเป็นรอง เป็นที่สอง เป็น...เมียน้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD