8 - พ่อไม่ให้เล่นมันเด็ดขาด
หลังจากนั้น
“ครูโจครับ”
ทิวลิปค่อย ๆ เขย่าตัวครูโจให้สติกลับมาอีกครั้ง ผมตกใจกับสิ่งที่เห็นเพราะผมไม่เคยเห็นครูโจช็อกกับอะไรบางอย่างจนสลบไป ผมไม่รู้ว่าครูเป็นอะไรทั้งที่ก่อนหน้ายังปกติดีทุกอย่าง ผมได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวาย ผมและนักเรียนทุกคนเข้ามาดูอาการหน้าห้องดนตรี ผมคิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างกับสิ่งในตาที่ครูเห็นแล้วช็อก ผมและทุกคนต้องรู้ให้ได้ว่าครูเห็นอะไร
“เอ่อ... ครู...”
ผมตื่นขึ้นมาได้สติอีกครั้งพบว่าผมมาอยู่ที่ห้องพยาบาล อยู่บนเตียงใกล้หน้าต่างอาคารเรียนที่มีห้องพยาบาลอยู่ใกล้กัน ผมค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ ตั้งสติแล้วมองไปตรงหน้าต่าง ผมอยากให้อากาศเย็นสบายและบรรยากาศมุมสูงจากชั้นสองของอาคารเรียนทำให้ผมผ่อนคลาย ผมไม่รู้จะอธิบายกับนักเรียนยังไงว่าผมเห็นอะไรแล้วช็อก พูดไปนักเรียนจะเชื่อหรือหาว่าผมงมงายไหม
“ครูเห็นผีเหรอครับ”
ทิวลิปพูดขึ้นมาต่อหน้าครูโจ ผมอาจจะพูดตรง ๆ ไปหน่อย แต่ผมดูจากอาการแล้ว เหมือนคนช็อกเมื่อเจอสิ่งลี้ลับ ผมคิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้น ผมพูดคำนี้ออกมาทำครูโจหน้าซีดเหมือนจะช็อกอีกครั้ง ผมขออภัยถ้าพูดอะไรไม่เข้าหูแต่ความเป็นเด็กคือผมอยากรู้จริง ๆ
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกทิวลิป”
“แต่ผมคิดว่าเป็นแบบนั้น ไม่งั้นครูไม่ช็อกแบบนี้หรอก” ผมอยากรู้ว่าครูโจเห็นอะไรแล้วช็อกต่อหน้าทุกคน หรือบางทีสิ่งที่ครูเห็นอาจจะเป็นสิ่งที่ผมคิดเหมือนกันก็ได้
“ครูเห็นผีในกระจก เหมือนเขา...”
“ผมบอกแล้วไงครับพี่ ว่าอย่าไปปรากฏตัวให้ใครเห็นนอกจากผม”
“ทิวลิปป”
ผมแทบจะช็อกอีกครั้งเพราะทิวลิปหันไปพูดกับใครบางคนที่น้องเขามองไปอาจจะอยู่มุมห้อง ผมจะช็อกเป็นรอบที่สองอีกครั้ง เพราะน้องหันไปพูดกับใครก็ไม่รู้ ในสายตาผมมีแต่อากาศมากกว่าตัวตนมนุษย์ ผมขนลุกพูดไม่ออกถึงขั้นหยิบผ้าห่มมาคลุมตัว กอดตัวเองเป็นบอดี้การ์ดปกป้องตัวเอง
“เอ่อ ขอโทษครับครู ครูพักผ่อนก่อนนะครับ” ผมไม่อยากให้ครูไม่สบายใจ เดี๋ยวผมออกไปสักครู่หนึ่งเพราะผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่เอกมัยเยอะเลยล่ะ ผมอยากรู้ว่าพี่เขาอยากมอบอะไรให้ผมอีกเป็นของขวัญที่ดีที่สุด
“ครูโจครับ”
ผมเห็นกลุ่มนักเรียนอีกครั้งเข้ามา ถ้าจะมาถามเรื่องประหลาดอีก ผมขอไม่ตอบตอนนี้สักพักแล้วกัน เพราะผมยังขนลุกไม่หายเลย เวลาเห็นสิ่งลี้ลับที่หน้าตาดีแต่มารูปแบบนี้ผมวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
“แล้วนี่ใครน่ะ”
“พี่ของทิวลิปไงครับ”
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าทิวลิปมีพี่ชายด้วย ผมสังเกตจากสีหน้าของทุกคนแล้วแสดงว่าทุกคนต้องรู้ความจริงอะไรแล้วแน่นอน ไม่งั้นคงไม่ช็อกและมีอาการกลัวแบบผมหรอก ถ้าอย่างนั้นต้องมีใครสักคนไปพบเจอบ้านหลังนั้นเป็นความบังเอิญ นอกจากผมแล้วยังมีพวกเขาด้วยเหรอ
“ครูครับ ผมอยากรู้ว่าเรื่องนี้ครูรู้เรื่องทั้งหมดมากกว่าพวกเราใช่ไหมครับ” ผมและเด็กนักเรียนทุกคนเห็นอาการครูโจแล้ว ผมคิดว่าครูน่าจะรู้เพราะคนที่ผมเห็นเกี่ยวข้องกับดนตรี ถ้าครูโจอยู่ในเรื่องนี้ด้วยแสดงว่าต้องรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี
“งั้นครูหายดีอีกหน่อยค่อยเล่าแล้วกันนะ...”
ในขณะนั้นเอง ทิวลิปเดินออกมาจากห้องพยาบาล ผมเห็นว่าทุกคนกำลังหวาดกลัวกับเรื่องของผม ผมต้องคุยกับพี่เขาเป็นการส่วนตัวแล้วล่ะ ผมอยากรู้ว่าพี่เขาตายเพราะอะไร แล้วทำไมครูโจถึงอยู่ในเรื่องนี้
“พี่เอกครับ”
ผมเข้ามาในห้องว่างห้องหนึ่ง ปิดประตูแล้วค่อย ๆ เรียกพี่เอกมัยออกมา ผมรู้มาสักพักแล้วว่าพี่เขาเป็นอากาศไร้ตัวตน ตั้งแต่วันที่พี่เขามาปรากฏตัวที่บ้านของผม บอกความจริงไปส่วนหนึ่งแล้วยังพาผมไปดูเปียโนสวย ๆ ในบ้านหลังนั้น ตอนแรกผมก็คิดว่ามันปกติ แต่พอพี่ผมเริ่มสงสัยและเจออะไรบางอย่างในบ้าน ถึงกับช็อกจนพูดไม่ออก สลบไปในบ้านแล้วผมยังเห็นใครอีกสองคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่แอบเข้ามาด้วย ถือได้ว่ารู้ความจริงแบบไม่ทันตั้งตัว วิ่งหนีออกจากบ้านไม่คิดชีวิต
“พี่ว่ามันถึงเวลาบอกน้องแล้วล่ะ...”
“ทำไมพี่ถึงตายล่ะครับ”
ผมเห็นหน้าตาและความหล่อออร่าของพี่เขาแล้ว บอกเลยว่าเสียดายมาก หล่อและแต่งชุดเปียโนใส่สายคาดไหล่ทั้งสองข้าง ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดสีขาวรีดเรียบตั้งแต่เสื้อยันกางเกง ผมเห็นแล้วยังคิดว่าพี่เป็นมนุษย์ที่มีความฝันสามารถไปต่อได้อีกยาว แต่น่าเสียดายที่เขาจากไปแล้ว ผมอยากรู้สาเหตุมากว่าพี่เขาไปได้ยังไง ตอนผมเข้าไปในบ้านทุกอย่างปกติ แต่เอะใจตั้งแต่ไม่เห็นเจ้าของบ้าน
“ที่พี่มอบให้คือความฝันของพี่เอง”
“ทำไมล่ะครับ พี่ถึงอยากมอบให้ผม” ผมแปลกใจว่าทำไมพี่เอกมัยถึงมอบความฝันให้ผมอย่างการเล่นเปียโน ผมสันนิษฐานก่อนว่าพี่เขาอาจจะมีความฝันและความศรัทธากับของชิ้นนี้ แต่ว่าพี่เขาจบชีวิตก่อนจะทำให้มันเป็นจริง อาจจะด้วยอุบัติเหตุหรือคนในครอบครัวก็ได้
“พี่ถูกกีดกันความฝันเพราะพ่อพี่...”
ผมจะบอกให้ฟังตรงนี้เลยว่าที่ผมจบชีวิตเพราะผมถูกกีดกันความฝัน ความชอบของผมไม่ได้ไประรานใคร แล้วทำไมต้องมามีข้อจำกัดที่ผมไม่ต้องการทำมันแบบไม่เต็มใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม บอกเลยว่ามันเสียดายเวลาชีวิตมากและไม่มีโอกาสได้กลับไปใช้มันอีก
หนึ่งปีก่อน
เอกมัยเป็นชื่อจริงของผู้ชายหน้าหล่อคนนี้ แท้จริงแล้วเขาชื่อ เอก พยางค์แรกของชื่อจริง ผู้ชายคนนี้นอกจากหน้าตาหล่อหวานเหมือนหนุ่มเกาหลีแล้ว เขายังมีความฝันคืออยากเป็นนักเปียโน มันคือความชอบที่แปรเปลี่ยนเป็นความฝันในอนาคต ผมคิดแล้วคิดอีก ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมต้องการคือความฝันที่สามารถทำให้มันเป็นจริง แต่น่าเสียดายที่ความฝันของผมถูกกีดกันจนทำให้มันไม่เป็นจริง
“เอาอีกแล้วเหรอเอก พ่อบอกแล้วไงว่ามันเป็นไปไม่ได้”
พ่อผมมักจะไม่พอใจที่ผมแอบไปเล่นดนตรีที่สถาบันดนตรี มันเป็นสถานที่ประจำที่ผมชอบไปกับเพื่อนเสมอ ผมบอกกับพ่ออย่างเข้าใจแล้วว่าผมต้องการทำมันให้เกิดเป็นความจริง ผมชอบและรักอะไรทำไมต้องกีดกันด้วย ผมอธิบายเท่าไหร่ ผมจะเปลี่ยนเป็นการเถียงเข้าไปทุกทีแล้ว
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินนะ”
ผมทนไม่ไหวแต่ไม่อยากระเบิดออกมาเพราะผมจะเล่นเปียโน เวลาที่ผมจริงจังกับมัน ผมไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งทำผมเสียสมาธิ ต่อให้ผมจะต่อต้านมากเท่าไหร่ พ่อยิ่งโมโหร้ายมากกว่าเดิม ถึงขั้นสาดน้ำใส่ลิ่มเปียโนขณะผมเล่นอยู่ พ่อมีเหตุผลอะไรมาทำลายความสุขผมแบบนี้
“พ่อ...”
“พ่อบอกแล้วไงว่าไม่ให้เล่น”
ผมไม่เข้าใจพ่อว่าพ่อจะมีปัญหาอะไรกับผมนักหนาเพราะการเล่นเปียโนคือความสุขของผม สิ่งที่ผมทำอยู่ไม่ได้ไปรบกวนหรือทำอะไรในทางไม่ดีสักหน่อย ทำไมต้องมาระรานด้วย ทำเหมือนว่าพ่อเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนต้องทำตามทุกคน ห้ามใครขัดคำสั่ง
“พ่อจะอะไรกับผมนักหนา”
ผมอายแค่ไหนที่พ่อต้องเป็นคนสะกดรอยตามผมเพื่อตามผมกลับมาและขัดใจเวลาผมเล่นเปียโน ถ้าพ่อไม่อายเพื่อนและคนรอบข้างก็ห่วงความรู้สึกผมบ้างไม่ใช่ว่าพ่อจะบังคับให้ผมทำอะไรก็ได้ตามใจทั้งที่ผมไม่เต็มใจ
“พ่อบอกแล้วไงว่าสิ่งที่พ่อให้มันสำคัญกว่าเรื่องเล่น ๆ ของลูกอีก” ผมไม่ชอบเลยเวลาที่ลูกชายตัวเองไม่สนใจการเรียน เอาเวลาไปคิดแต่เรื่องเล่น ๆ ไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ลูกทำมันหายรายได้เข้ากระเป๋าตลอดเวลาที่ไหน ผมอยากปรับความคิดของลูกตัวเองมาก
“พ่อไม่เข้าใจว่าผมต้องการอะไร”
ผมกับพ่อทะเลาะกันเรื่องนี้จนเบื่อแล้ว ผมธิบายแล้วไงว่าการเป็นนักดนตรีก็ไม่ทำให้อดตายหรือไม่มั่นคง ศาสตร์วิชานี้ไม่ใช่ว่าหัดเล่น ๆ เล่นเป็นแล้วจะเป็นเลย ทุกอย่างไม่ง่ายเพราะต้องฝึกฝนเสมอ ไม่ใช่เล่นเป็นแล้วข่มตัวเองว่าเก่งแล้วมันไม่ใช่ อีกอย่างสิ่งที่เรียกว่าการเรียน มันสำคัญไม่แพ้เวลาทำกิจกรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยัดเยียดให้ผมต้องเรียนมันทุกเวลาตลอดวันเหมือนเวลาเปิดปิดร้านสะดวกซื้อครบเวลา
“พ่อจะให้ผมเรียน ๆ ๆ แล้วก็เรียนมากไปแบบนี้มันก็ไม่ไหวไหม”
“ลูกจะเอาแบบนี้ใช่ไหม”
ผมไม่พอใจที่เอกกำลังต่อต้านผม ทั้งที่ผมหยิบยื่นทุกอย่างให้เป็นการวางแผนชีวิตที่ดี ใครที่ไหนไม่อยากได้ชีวิตที่ไม่มั่นคงอดตายล่ะ ผมทำขนาดนี้แล้วแต่ต่อต้านแบบนี้ตั้งใจจะออกจากครอบครัวนี้ไปใช่ไหม ถ้าแม่ยังอยู่คงเข้าข้างกันแล้ว
“ก็ผมไม่ต้องการสิ่งที่พ่อให้ไง”
เพี๊ยะ!!
“พ่อออ”
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องอารมณ์ร้ายและไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการด้วย ถึงขั้นลงไม้ลงมือตบหน้าผมเต็มแรงขนาดนี้ ผมโกรธและโวยวายใส่พ่อแทบจะบ้าให้ได้แล้ว ทำไมพ่อต้องกีดกันความฝันและอยากให้ผมทุ่มเทกับการเรียนมากเกินไปจนเป็นการยัดเยียด ถ้าเป็นแบบนี้ผมขอไม่กลับบ้านสักพักต่อให้พ่อจะมาตามดีกว่า
“อยากเสียคนกับพวกขี้ยาก็เชิญ”
วันต่อมา
เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น พ่อของเอกมัยเดินออกมาส่องตรงประตูตาแมวที่ติดอยู่ตรงประตู ผมเห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าหนังสือสะพายพร้อมชีทเอกสารวิชาคณิตศาสตร์ใส่กระดูกงูและแผ่นใสตรงหน้าปก ผมเปิดประตูออกมาแล้วหันไปถามเอกมัยว่าใครมาหา เพราะเขาบอกว่ารู้จักกับลูก
“อ๋อ พี่โจ รุ่นพี่ผมเองครับ”
ผมแนะนำให้พ่อรู้จักว่าคนตรงหน้าคือโจ เพื่อนรุ่นพี่ของผม เขาเป็นคนเก่งคณิตศาสตร์มาก เพราะผมไม่เก่งวิชานี้เขาเลยเข้ามาสอนและเป็นเพื่อนผมตั้งแต่ผมเข้าไปทักทายและขอความช่วยเหลือจากวิชานี้
“งั้นเหรอ ยังไงก็ดูแลเอกให้ดี ๆ ล่ะอย่าพาไปเสียคน มอมเมากับเสียงเพลงล่ะ” โจเดินเข้ามาเห็นพ่อของเอกมัยครั้งแรก บอกเลยว่าน้ำเสียงเคร่งขริมและดุดันทำผมกลัวเล็กน้อย ผมพยักหน้าและตอบรับว่าเป็นเพื่อนกับโจ พ่อไม่ว่าอะไรก่อนจะออกไปทำงานแล้วปล่อยให้อยู่กับเพื่อนเพราะเห็นว่าวันนี้ไม่ไปโรงเรียนเพราะวันหยุด
โจเดินเข้ามาในบ้าน ทำเหมือนเป็นนักเรียนด้วยกัน แต่ความจริงเมื่อพ่อออกไปและผมมองดูภายในบ้านอย่างดิบดี ไม่มีวงจรปิดหรือกล้องแอบถ่าย เอกบอกผมอย่างแน่ใจแล้ว ผมจะได้คลายความจริงออกมา ตอนเข้ามาผมยังตื่นกลัวเลยว่าผมจะเนียนจนไม่มีใครจับได้ใช่ไหม
“ผมขอโทษครับครู ผมจำเป็น...”
“ไม่เป็นไรหรอก หน้าตาผมก็ไม่ได้แก่เกินจะเป็นนักเรียนสักหน่อย พ่อเธอไม่เคยเห็นครูในโรงเรียนอยู่แล้วนี่”
“ครับ ไม่เคยเห็นหน้าหรือสืบหาอยู่แล้ว ยังไงก็น่าจะเนียนครับ” ผมบอกกับครูโจว่าผมมีความจำเป็นต้องให้ครูมาปลอมเป็นเพื่อนผมตบตาพ่อ ผมไม่อยากให้พ่อมากีดกันความฝันของผมมากกว่านี้ ผมจะตบตาเรียนในสิ่งที่ผมไม่ชอบไปก่อน พอพ่อเผลอผมค่อยออกไปเรียนดนตรีแล้วกัน
“พ่อเธอเป็นแบบนี้เหรอ มันขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แม่มีชู้เป็นนักดนตรีไงครับ พ่อเลยไม่พอใจถึงขั้นเลิกแล้วเอาผมมาอยู่ด้วย ใจจริงผมอยากอยู่กับแม่แต่ว่าแม่หายไปไหนไม่รู้ ผมติดต่อไม่ได้เลย”
ผมกำลังเล่าเรื่องชีวิตเหมือนตัวเองแสดงอยู่ละครหลังข่าวหรือไง ผมเล่าไปยังอายปากตัวเองเลย ผมต้องจนมุมมาเล่าชีวิตรันทดให้คนอื่นฟัง มันใช้ได้ที่ไหน แต่ถ้ามันทำให้ผมสบายใจผมก็จะทำ ผมอยากทำตามความฝันที่เป็นความชอบในอนาคต ผมตั้งใจเต็มที่แต่อุปสรรคคือการหนักหัวคนรอบข้าง
“ไม่ต้องห่วงนะครูจะช่วยเต็มที่ เพื่อต่อเติมความฝันของเธอ” ผมรับปากว่าผมจะทำให้ความฝันของเอกมัยเป็นจริง ช่วงนี้ผมจะเข้ามาตบตาหลอกคนรอบข้างแสร้งทำเป็นไปเรียนพิเศษ แต่ความจริงไปเรียนดนตรีตามความต้องการของเขา
หลังจากวันนั้น ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ผมเข้ามาในบ้านของเอกมัยมันสวยมาก ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขามารีโนเวตทำใหม่ต่างจากบ้านหลังอื่นในหมู่บ้านหรือไม่ แต่ความเป็นอยู่ของเอกมัยถือว่าดีระดับหนึ่ง จะมีปัญหาแค่คนในครอบครัวเท่านั้น ผมเข้ามาตามปกติแทบจะเข้าออกบ้านเด็กคนนี้ได้แล้ว ผมมีความคิดอะไรดี ๆ ถ้าเอกมัยต้องการ ผมก็จะทำให้ได้
“เอก เดี๋ยวพ่อจะต้องบินไปต่างประเทศ ปกติเอกก็อยู่คนเดียว ส่งเงินให้เสมอ ยังไงก็ดูแลบ้านให้ดีล่ะ บ้านเราเด่นกว่าคนอื่น ขโมยก็เยอะ”
“แล้วพ่อไม่ติดวงจรปิดล่ะครับ”
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวเอกไม่เป็นส่วนตัว” ผมแค่แนะนำให้พ่อเป็นการเสนอความคิดเห็นเท่านั้น ใจจริงผมไม่อยากให้มีหรอก วงจรปิดในบ้านเพราะถ้าพ่อจับตาดูผมแทนที่กล้องจะไปจับโจร พ่อจะเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรเห็น ผมจะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ถึงพ่อจะบินไปทำงานบ่อยใช่ว่าจะคลาดสายตาได้ผมไม่รู้ว่าพ่อจะซ้อนแผนอะไรผม ผมต้องไม่ประมาท
“งั้นกลับก่อนนะเอก ไว้เจอกัน”
โจขอกลับบ้านก่อนหลังจากมาส่งเอกมัยถึงบ้านแล้ว ผมไม่รู้ว่าพ่อมองผมตลอดเวลาแบบนี้กำลังสงสัยอะไรผมหรือเปล่า หน้าตาผมก็เหมือนนักเรียนอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรหลุดพิรุธออกมาหรอก ผมไหว้ลาพ่อแล้วกลับบ้านทันที
“เพื่อนลูกนี่พ่อไม่เคยเห็นมากกว่าหนึ่งเดือนนะ ไปสนิทกันตอนไหน”
“พอดีเขาสอนคณิตให้ผมจนสนิทกันครับ”
“หาเพื่อนเป็นเด็กเรียนก็ดีแล้ว หมายถึงเรียนวิชาการที่ไม่ใช่เรียนดนตรี แต่ว่าแน่ใจนะว่าลูกไม่ได้ปิดบังอะไร เพื่อนคนนั้นเขามีเวลาว่างทำอะไร มีพ่อแม่ทำอาชีพอะไร มีความชอบอะไร...”
“เอ่อพ่อ...”
พ่อถามผมราวกับจี้สัมภาษณ์ให้ตอบทุกคำถามที่พ่อถามมา ผมบอกแล้วไงว่าโจเป็นเพื่อนของผม เขาสอนคณิตศาสตร์ให้ผม และผมก็ชอบในตัวตนของเขามากก็เลยสนิทกัน แต่ว่าทำไมพ่อดูสงสัยเพื่อนผมขนาดนี้ ผมว่าผมกับโจเล่นละครหลอกตาอย่างแนบเนียนแล้ว แต่ว่าผมต้องเนียนมากกว่านี้จนพ่อจับไม่ได้
“งั้นเหรอเอก ถือว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีเลยล่ะ” ผมเหมือนโล่งใจเมื่อพ่อเข้ามาตบไหล่ผมเบา ๆ และบอกให้ผมรักษาเพื่อนคนนี้ไว้ให้ดี ดูจากเรดาห์ในสายตาพ่อแล้วเหมือนเขาจะเรียนสูงกว่าปริญญาตรีเพราะความขยันและมีความรู้ ผมควรเรียนรู้จากเพื่อนคนนี้ต่อไป ในเมื่อพ่อไม่สงสัยอะไร ผมอาศัยจังหวะที่พ่อเดินออกไป ผมจะได้ขึ้นห้องไปพักผ่อนต่อ แต่ผมยังไม่นอนหรอก อยากคุยกับโจผ่านปลายสาย
“นอนหรือยังครับโจ”
ไม่ว่าจะในหรือนอกเวลา ผมขออนุญาตเรียกครูโจว่าเพื่อนโจ ผมกลัวว่าหากผมหลุดพูดออกไปไม่รู้ตัว พ่อผมได้จัดการผมไม่เหลือชิ้นดี ผมต้องปลอดภัยไว้ก่อน พูดเรื่องคณิตศาสตร์แต่ในแชทพิมพ์เรื่องดนตรี แยกประสาทสัมผัสแทบไม่ออก แต่ก็ถือว่าผมได้ฝึกไปในตัว
เช้าวันต่อมา
ผมเห็นพ่อขับรถออกไปจากบ้านสักพักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นว่าไปอย่างแน่นอน ผมโทรหาโจให้มาที่บ้านแล้วผมจะได้ออกไปทำความฝันของผมให้เป็นจริง ผมชอบเวลาโจสอนเปียโนและเครื่องดนตรีอื่นให้ผม โลกของผมเหมือนเสียงเพลงบรรเลงตลอดเวลา ผมทำขนาดนี้แล้วผมถอยไม่ได้
“ว่าแต่แต่งเพลงอะไรมาให้พี่ล่ะ”
ผมกับเอกมัยอยู่ที่สถาบันดนตรี ผมนั่งอยู่ตรงเปียโนข้างกันกับเขา ผมเห็นเขาส่งกระดาษโน้ตเพลงให้ผม ผมลองอ่านดูมันคือเพลงที่เขาแต่งมาเอง ผมนั่งดูพักหนึ่ง การเขียนโน้ตถือว่าใช้ได้ระดับหนึ่ง ชื่อเพลงที่เขาตั้งมันแปลกตาผมดี ถึงจะเป็นคำที่เรียบง่ายแต่ใส่หนึ่งตัวอักษรมาทำความหมายเปลี่ยนไปเห็นได้ชัด
“เพลงคราวเดรียว”
คำที่มีความเรียบง่ายแต่มี ร. เพิ่มเข้ามาในคำว่าเดียว ผมต้องเปิดพจนานุกรมก่อนไหม เขาบอกความหมายสุดลึกซึ้ง อย่างแรกคราวเดียวคือโอกาสในชีวิตที่เกิดขึ้น คนเราถ้ามีหนึ่งโอกาสควรคว้าไว้หรืออาจหมายถึงการได้เจอคนจริงใจในชีวิต เกิดครั้งเดียวก็ต้องหาคนที่จริงใจมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ส่วนเดรียว เติม ร. เพราะเดรีย (Dear) เล่นคำไม่ตรงความหมายแปลว่าที่รัก คนที่พร้อมดูแล เป็นที่รักและให้ชีวิตพร้อมความจริงใจตลอดไป
“เห็นเงียบ ๆ แต่อารมณ์ลึกซึ้งมากเลยนะ ลองเล่นเพลงนี้ให้ฟังครั้งแรกดูสิ”
“ผมตั้งใจมอบให้ครูคนแรกเลยนะครับ” ผมอยากมอบเพลงที่ผมแต่งครั้งแรกให้ครูโจฟังและเป็นการลองเล่นครั้งแรกในเพลงที่ผมแต่งเอง มันเป็นเพลงช้าฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ ความช้าบอกอารมณ์เหงาเศร้าแต่ในอารมณ์นั้นยังมีความสุข แม้ไม่มากแต่ก็เปี่ยมล้นในใจ ระหว่างผมเล่นไป ผมเห็นครูยิ้มอย่างมีความสุข เหตุผลคือครูเห็นว่าผมมีความพยายาม มีความฝันไปได้ไกล เขาพร้อมสนับสนุนตลอดไป ถ้าเป็นเช่นนั้นผมขอให้ครูโจเป็นตัวเลือกใบเบิกทางให้ชีวิตผมสำเร็จเพราะช่วยเหลือจนชีวิตผมมองเห็นแสงสว่าง
“ครูเชื่อว่าเอกมีความฝันและรักมันทั้งใจ ขอให้เดินหน้าต่อไปและไม่ลืมว่าใครเคยช่วยไว้นะ”
“ผมไม่ใช่คนเนรคุณคนสักหน่อย ผมจริงใจกับใครผมก็จะจริงจังกับคนนั้นให้มากที่สุดครับ” ผมสัญญาว่าผมจะไม่ลืมบุญคุณกับคนที่จริงใจทำให้ความฝันผมเป็นจริงอย่างครูโจ ต่อไปมีอะไรผมจะปรึกษาทั้งในเวลาและนอกเวลาเรียน ปกติผมจะเจอครูที่สถาบันดนตรีและที่โรงเรียนอยู่แล้ว แค่หลบพ่อให้ดีก็พอ
หลังจากวันนั้นไป เอกมันสนิทกับโจมากขึ้น ผมขออภัยถ้าเล่นหัวหรือลามปามในฐานะเพื่อนสนิททั้งที่เขาเป็นครูสอนดนตรีในโรงเรียน ผมมีความจำเป็นจริง ๆ และครูก็อนุญาตให้เฉพาะกับผม การที่ผมชอบเล่นเปียโนทำให้ครูมีความคิดบางอย่างเป็นการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้
“จริงเหรอครับ”
ผมไม่คิดเลยว่าครูโจจะลงทุนซื้อเปียโนให้ผม มันเป็นเรื่องที่ดีที่เขาช่วยส่งเสริมให้ความฝันเป็นจริง ครูจะซื้อเปียโนให้ผมแล้วตำแหน่งที่ตั้งอยู่ตรงห้องโถงกว้าง ๆ ใกล้ประตูเข้าออก ผมเห็นแล้วมันก็ดีเพราะห้องนอนผมคงตั้งไม่ได้มันใหญ่เกินไป ตรงหน้าผมพื้นที่กว้างพอประดับเปียโนและของตกแต่งสวย ๆ ได้แต่ว่าถ้าให้มาติดตอนนี้ แล้วเกิดพ่อกลับมาผมจะย้ายมันยังไงไป
“ระหว่างนี้เราจะย้ายมาอยู่ด้วยแล้วกัน”
“จะดีเหรอครับ”
“เอกก็ไม่ใช่คนอื่นของผมนะ ยังไงพี่ก็จะย้ายเข้ามาอยู่พักหนึ่งจะได้ไม่เหงา จนกว่าพ่อน้องจะกลับมา” ผมหวังดีแค่ไหนอยากเข้ามาอยู่กับเอกมัย ผมจะได้ต่อเติมความฝันให้มากกว่านี้ ดนตรีไม่ใช่หัดเป็นแล้วก็ไม่ฝึกต่อไม่งั้นจะเก่งขึ้นได้ยังไง ผมอยากให้ความฝันของเขาอยู่ควบคู่กับความปลอดภัย ถ้าใครสงสัยแล้วเอาไปรายงาน ตอนนั้นผมกับเอกจะโดนฆ่าตายเรียบทั้งคู่
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมมาถึงขนาดนี้”
หลังจากวันนั้น
เมื่อเปียโนมาส่งถึงบ้าน ผู้ขนส่งเข้ามาเคลื่อนย้ายและติดตั้งไว้อย่างเสร็จสรรพ เขาแนะนำอย่างดีถึงวิธีการเคลื่อนย้าย ถ้าเป็นเช่นนั้นผมจะได้โล่งใจขึ้นหน่อย ตั้งแต่วันที่ผมได้เปียโน ผมเล่นมันเกือบทั้งวันจนเสียงรบกวนไปบ้านข้าง ๆ ก็มีแต่ผมจำเป็นจริง ๆ แล้วความคลั่งไคล้ตั้งแต่ได้มาครั้งแรก ทำให้ผมยกกระถางต้นไม้และของตกแต่งธรรมชาติมาล้อมเปียโนส่วนหนึ่งจะได้บรรยากาศและกลิ่นอายพรรณไม้ เวลาสูดกลิ่นโชยอ่อนเพิ่มพลังยิ่งกว่ายาเสพติดดีดทั้งวัน
“ดูท่าจะชอบมากเลยนะ”
“ครูโจมีแฟนหรือยังครับ”
“เดี๋ยวนะ เธอยังอยู่มอหกอยู่นะ มาจีบครูแบบนี้มันยังไงอยู่นะ” ผมตกใจว่าเอกมัยถามแบบนี้มันหมายความยังไง ผมว่าเขาเริ่มมีความรักแล้วใช่ไหมถึงอยากก่อความรักให้ดีขึ้น แต่เอาเถอะผมไม่ห้ามความคิดของเขาหรอกเพราะความรักเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ว่าอย่าให้ความคลั่งรักก่อตัวเป็นหายนะ
“งั้นพี่จะมาอยู่ที่นี่สักพักจนกว่าเอกจะพอใจนะครับ”
“ที่จริงครูมาเป็นพ่อผมเลยก็ได้ เป็นพ่อหรือพี่ชายผมก็ดี” ผมว่าเขาอยากมีพ่อที่แสนดีสักคนแต่ไม่คิดว่าจะเป็นผม ผมไม่ห้ามความคิดอะไรเอกแล้วล่ะ ถ้าเขารู้สึกดีก็ทำตามหัวใจแล้วกัน
หลาวันผ่านไป
เอกมัยนั่งเล่นเปียโนอยู่ในบ้านด้วยความสุขใจ ผมชอบของขวัญที่ครูโจมอบให้ผมมาก มันเหมือนโลกทั้งใบมีแต่เสียงดนตรี ตั้งแต่ผมได้ของชิ้นนี้มาผมเล่นไม่หยุดเลย แทบจะนิ้วล็อกได้แล้วเพราะรัวนิ้วมือในท่าเดิม ๆ ขยับแทบจะเป็นลักษณะเดียวหลายชั่วโมง แต่อย่างน้อยในความล้าทำให้ผมมีความสุขมากจนลืมเวลา ผมอยากขอบคุณจากใจทั้งชีวิตให้ครูโจมาก หวังว่ามันจะส่งไปถึงหัวใจจนเขาได้ยินมันล่ะ
ผมสบายใจหน่อยเพราะพ่อไปต่างประเทศนานและไม่มีกำหนด แต่ว่าช่วงนี้ผมก็แอบระแวงเหมือนกันว่าใครชอบแอบตามผมทุกฝีก้าว ถึงระแวงผมก็ต้องระวังตัวเองเพราะถ้าพ่อส่งใครมาจับตาดูในขณะผมไม่รู้ตัว งานงอกและตายจริงแน่นอน
ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังแกรก ๆ เหมือนอะไรมากระทบประตู ผมขนลุกเมื่อเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ผมนั่งมองตรงประตูบ้าน เมื่อเงียบไปผมก็โล่งใจแต่ชะล่าใจไม่ได้ เมื่อเสียงเงียบไปแล้ว ผมค่อย ๆ กดลิ่มเปียโนลงหนึ่งครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินขณะผมเล่น ใจจริงผมก็เล่นมันมาพักหนึ่งแล้ว ข้างบ้านก็ไม่รู้จัก เขาคงไม่มีสิทธิ์รายงานพ่อผมหรอก
ผมตกใจเมื่อผมเล่นเปียโนอีกครั้ง อยู่ ๆ มีกลุ่มผู้ชายเข้ามาในบ้านหลายคนในชุดดำอำพรางใบหน้า ผมตกใจรีบลุกขึ้นเพื่อวิ่งหนีแต่ไม่ทันการแล้ว พวกมันรุมกระทืบผมจนตายคาที่ ผมไม่เคยรู้จักพวกมันแต่ถ้าให้สันนิษฐานแสดงว่าพ่อแอบส่งคนมาจับตาดูผมเป็นระยะ ๆ เมื่อพ่อหมดความอดทน พ่อถึงใช้วิธีจัดการอย่างโหดเหี้ยม นอกจากรุมกระทืบผมตายแล้วยังตัดชิ้นส่วนผมเป็นลูกเต๋าเหมือนประกอบอาหารไปได้ นี่อาจจะเป็นเรื่องราวสยองที่ใครรับรู้ก็คงคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าคนเป็นพ่อจะโหดร้ายขนาดปลิดชีวิตลูกตัวเองได้ขนาดนี้
ในคืนนั้น
โจได้รับโทรศัพท์จากเอกมัย ตอนนั้นผมยังช็อกไม่หายเพราะโดนไล่ออกไปจากบ้าน ผมรับสายแต่คนที่รับไม่ใช่เอกมัย แต่เป็นพ่อของเขา ผมไม่ชอบน้ำเสียงแบบนี้เลย มันเหมือนฆาตกรมากกว่าพ่อคน ผมค่อย ๆ ตั้งสติและฟังในสิ่งที่เขาพูด ถ้าอยากเจอเอกมัยก็มาที่บ้านตอนนี้ ผมเป็นห่วงก็เลยไปทันที แต่ไม่คิดว่าการเดินทางไปหาจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขา
ผมจำได้ว่าพ่อของเอกมัยอยู่ต่างประเทศยังไม่เดินทางกลับมา แล้วสิ่งที่พ่อพูดปลายสายมันทำให้ผมขนลุกเมื่อตัวของพ่ออยู่ที่ลอนดอน แต่ส่งคนมาจัดการเอกมัยถึงที่ แล้วยังบอกอีกว่าถ้าผมไม่อยากเป็นรายต่อไปให้หยุดทุกอย่างและปิดเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป
“เชี่ย อ๊ากกก”
ผมเดินเข้าบ้านมา ภายในบ้านเปิดสว่างไม่มีการรัดกุมความปลอดภัยล็อกประตูบ้าน เปิดไว้เหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่ตาผมเห็นนี่มันฝันร้ายที่ใครพบต้องเป็นภาพติดตาตลอดไป มนุษย์ด้วยกันโหดเหี้ยมถึงขนาดปลิดชีวิตและฆาตกรรมโหดขนาดนี้โดยไม่มีความผิดได้ยังไง ทำไมการอำพรางของคนเป็นพ่อถึงน่ากลัวขนาดนี้ ผมกรีดร้องและสั่นกลัวก่อนจะวิ่งหนีออกไปหน้าบ้าน พยายามข่มตาและทำเป็นมองไม่เห็น สุดท้ายผมลืมฝันร้ายไม่ได้อีกเลย มันเป็นเรื่องที่ตราตรึงใจผมมาถึงทุกวันนี้
กลับมาปัจจุบัน
ผมได้รับความจริงทุกอย่างแล้ว ผมรีบกลับไปหาครูโจที่ห้องพยาบาล ผมเห็นครูนอนหลับไป ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งข้างเตียงเพื่อมองดูครู ถ้าครูตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะขอถามความจริงให้แน่ใจมากกว่าเดิม
“ทิวลิป...”
“ผมเห็นแล้วครับว่าพี่ผมมา พี่ผมคงอยากรู้ความจริงเพราะพี่ผมก็อยู่ในบ้านหลังนั้น” ผมและใครหลายคนอยู่ในบ้านหลังนั้น ก่อนจะออกไปเจ้าของบ้านฝากของแถมไว้ให้ดูต่างหน้าขนาดนี้ คิดว่าใครเห็นแล้วจะนอนหลับลงงั้นเหรอ ยิ่งก่อฝันร้ายมากกว่าเดิม ผมบอกความจริงไปเลยดีกว่ายื้อเวลาต่อไปให้ทุกคนทรมาน