EP9 (ตอนจบ) - ผมจะทำให้ความสุขกลับมา

3905 Words
9 - ผมจะทำให้ความสุขกลับมา [ตอนจบ] “มันเป็นแบบนี้เหรอครับครู” ทิวลิปเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าครูโจไปรู้จักและรู้เรื่องนี้มาจากไหน ครูเล่ามาผมยังช็อกไม่หาย ไม่คิดว่าครูจะรู้เรื่องนี้มาก่อน ครูบอกว่าเอกมัยหรือพี่เอกเป็นนักเรียนที่ครูสอนอยู่ ตอนนั้นพี่เขาอยู่มัธยมหกและเวลานี้เขาจบการศึกษาไปแล้ว แต่การจบไปและไม่เห็นเขาในโรงเรียน ผมไม่คิดเลยว่าพี่เขาหายไปจากโลกใบนี้มามอบความฝันให้ผมต่อ ทั้งที่ผมไม่เคยเล่นดนตรีมาก่อน ผมแปลกใจกับตัวเองมาหลายครั้งแล้วว่าทำไมผมเล่นมันได้โดยไม่ต้องพยายามเลย ที่แท้พี่เขามอบพลังให้นี่เอง ผมรู้มาสักพักแล้วว่าผมคุยกับพี่เขาได้ แต่ไม่คิดว่าพี่เขาจะมอบพลังให้ในขณะที่ผมไม่รู้ตัว “ถ้าอย่างนั้นเธอจะต่อเติมความฝันให้เขาได้ไหม” “ผมขอคิดดูก่อนครับ แต่ผมอยากให้พี่เขาฝันเป็นจริง แม้จะไม่ใช่ตัวเขาแต่เป็นตัวผม” ผมคิดอยู่พักหนึ่งแต่ผมก็อยากทำให้ฝันของพี่เอกมัยเป็นจริง ถึงจะไม่ใช่ตัวเขาก็ตาม แต่ความสามารถพิเศษเหล่านี้พี่เขามอบให้เป็นการส่งต่อ ความสามารถจากคนอื่นผมไม่ได้ภูมิใจหรอก เพราะไม่ได้ทำด้วยตัวเอง แต่กรณีนี้ผมยกเว้นเพราะผมอยากให้พี่เอกมัยถูกใจพร้อมความถูกต้อง “เอาเป็นว่าผมพร้อมครับครู” ในคืนนั้น ทิวลิปหยิบโปสเตอร์การแข่งขันดนตรีมองอยู่พักหนึ่งจนจานอาหารตรงหน้าจะเย็นลงเข้าไปทุกที ผมมองแล้วยังหลงใหลมันไม่หายเพราะสิ่งนี่เป็นสิ่งที่พี่เอกมัยต้องการให้มันเป็นจริงเพราะของชิ้นนี้คือตัวแทนในชีวิตพี่เขา “มองขนาดนี้จะกินแทนข้าวแล้วมั้ง” ชรัสตักข้าวเข้าปากไปได้หลายคำ น้องยังไม่กินสักคำเพราะมองใบปลิวลิ่มเปียโนมุมกระดาษ มองจนจะทะลุเข้าไปเล่นเปียโนให้เป็นเพลง ผมว่าน้องคลั่งไคล้จริงหรือน้องยังไม่ใช่ทิวลิปคนเดิม แต่ผมไปขัดใจอะไรไม่ได้หรอกปล่อยให้น้องทำตามความฝันให้คนที่เขาชอบต่อไป ผมมีหน้าที่ซัพพอร์ตและให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ ต่อไป “ผมจะทำให้พี่เขาเห็นว่าผมทำได้โดยไม่ต้องใช้ความสามารถคนอื่น” “แต่พี่ไม่รู้ว่าร่างนี้น้องหรือเขา” ผมระแวงไม่แพ้กับคนอื่นไปทุกที คนตรงหน้าผมไม่แน่ใจแล้วว่าทิวลิปเป็นน้องของผม หรือเอกมัยผู้ชายหน้าหล่อเป็นอากาศลอยไปมาให้ผมเห็น แต่ถึงยังไงผมไม่สามารถลบภาพความกลัวกับสิ่งที่เห็นได้เลย ไม่ว่ายังไงคนตรงหน้าจะเป็นใคร รูปลักษณ์ภายนอกก็คือทิวลิป ผมเชื่อแบบนั้นเสมอ “ถึงผมจะเป็นใคร แต่ผมแบกความฝันของพี่เขาไว้แล้ว ผมจะทำให้คนที่มีความฝันเหมือนกันเห็นเป็นต้นแบบแล้วใช้ชีวิตต่อไปเหมือนกัน” ชรัสได้ยินแล้ว นี่มันความคิดสวยงามของน้องที่ควรจะเกิดขึ้น ผมว่าน้องผมมีความสามารถ ผมอยากให้น้องมีความฝันและมีแรงใช้ชีวิตต่อไป ผมจำได้ดีว่าของโปรดของน้องคือนมกล้วย ถ้าน้องได้ดื่มมันเมื่อไหร่ พลังงานจะมาทันตา ยิ่งกว่าชาร์จโทรศัพท์จากศูนย์ถึงร้อยในเวลาหนึ่งนาที “ดื่มเยอะ ๆ นะทิวลิป” น้องจะเป็นคนหนึ่งเวลาชอบใจเมื่อผมมอบอะไรที่ดีต่อใจ น้องจะเข้ามากอดจูบผมตามประสาเด็กมัธยมต้นเสมอ ผมชอบและไม่เคยขัดขืนเวลาน้องทำแบบนี้สักครั้ง ผมจะให้น้องทำแบบนี้เวลาน้องดีใจตลอดไป ผมอยากให้น้องเต็มที่กับความสามารถพิเศษที่ได้มาด้วยความบังเอิญ เหตุผลของมันผมเข้าใจอย่างดี ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่ขัดใจน้องแล้ว เวลาต่อมา ทิวลิปนั่งอยู่กับพี่ชายของผมในห้องนอน ผมเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อค้นหาเพลงโปรดเปิดฟังไปด้วยกัน และยังคุยกับเพื่อนในห้องแชทไประหว่างนั้น ผมคุยกับเขียวด้วยความตื่นเต้น เขายังให้ความยินดี กดส่งสติ๊กเกอร์มาหาผมรัวเป็นสิบ สงสัยจะตื่นเต้นแทนผมไปแล้วล่ะ : ขอให้ทำเต็มที่นะทิวลิป คนเป็นเพื่อนอย่างเขียว คำที่ออกมาจากถือว่าเป็นอากาศบริสุทธิ์ เขามอบความชื่นชมและให้กำลังใจผม ผมเหมือนคนโอ้อวดเข้าไปทุกที ยิ้มและกระโดดดีใจนึกว่าได้รางวัลแล้ว ความจริงผมยังไม่ได้แข่งสักหน่อย แค่เตรียมอาการไว้ล่วงหน้า ผมหยิบหนังสือโน้ตเพลงมาให้ดู และพรุ่งนี้ผมจะแสดงความสามารถให้ทุกคนเห็นว่าผมก็ทำมันได้ ตริ๊งง ผมเห็นข้อความจากไกอาเข้ามาอีกหนึ่งข้อความ ปกติเขาจะเป็นคนขี้อิจฉาคนอื่นแต่วันนี้มาแปลก เขากลับมาชื่นชมผม คาดว่าจะสำนึกผิดกับสิ่งที่เคยทำมาตลอด เขาเป็นคนที่อิจฉาเวลาใครได้รับอะไรดี ๆ เข้ามา คนเราจะอิจฉาก็ไม่แปลกแต่ถ้ามันเกินเยียวยา มันสามารถเปลี่ยนให้คน ๆ หนึ่งเป็นตัวร้ายขึ้นมาได้เลย : เราขอโทษนะที่เคยอิจฉานาย ผมพิมพ์ข้อความให้ทิวลิปเป็นการแสดงความจริงใจ เมื่อก่อนผมอิจฉาใครก็ชอบพาลไปด่าคนอื่นไปทั่ว เพราะผมก็พยายามกับสิ่งที่ตัวเองสนใจแต่ก็ยังไม่ใช่สักที ก่อนที่ผมจะไปว่าใครผมก็พยายามไม่ใช่อยู่กับที่ ผมเกือบจะฉีกหน้าทิวลิปเพราะมันแปลกเกินไปที่ความสามารถที่ได้มาเหมือนโกงทุกคน แต่ความจริงกลับคาดไม่ถึง ผมกับเขียวเห็นอะไรไม่ควรเห็นเป็นภาพติดตาถึงทุกวันนี้ “เราเข้าใจว่าทุกคนมีความอิจฉา แต่ในความอิจฉาต้องไม่ทำร้ายคนอื่นแบบนี้” ผมเป็นคนหนึ่งถ้ามีปัญหาจะไม่เปิดก่อนเป็นการด่ากราดเหมือนคนไม่มีวุฒิภาวะ ผมตอบอย่างมีเหตุผลและให้ข้อความอ่านแล้วมีน้ำเสียงในทางที่ดีไม่ใช่ฟังแล้วมีมลพิษ ไกอาไม่ใช่คนเลือดเย็นทำร้ายถึงปางตายขนาดหมดความเป็นมนุษย์ ถ้าเขายังมีแต้มความดีเหลืออยู่ ผมก็พร้อมให้อภัย “งั้นเราขอให้นายทำเต็มที่ ไม่ต้องคาดหวังกับตัวเองมากนะ” ผมให้กำลังใจทิวลิปเพราะเห็นว่าครูโจมองความสามารถอย่างเฉียบขาด มือเปียโนประจำโรงเรียนกำลังเกิดขึ้นแล้ว นั่นคือทิวลิปเพื่อนผมเอง “นอนได้แล้วทิวลิป เตรียมพร้อมแล้วแรงต้องพร้อมด้วยนะ” “ครับพี่” ผมเตรียมตัวเข้านอน ผมจะนอนพักผ่อนและเก็บแรงให้มากที่สุด เพราะผมแบกความฝันพี่เอกมัยไว้ พี่เขาตั้งใจมอบให้ผมเพราะตอนเขามีชีวิตอยู่ ความฝันของเขายังไม่ทันเกิด เขาก็ถูกคลุมกำเนิดโดยพ่อแล้ว ผมยังสงสารไม่หาย อีกอย่างผมอยากให้ครูโจสบายใจและขอให้เรื่องในอดีตผ่านพ้นไปและไม่ให้ฝันร้ายกลับมาทำร้ายอีกครั้ง ‘ผมพร้อมแล้วครับพี่เอกมัย ผมจะทำให้ความฝันของพี่เป็นจริงเอง’ วันต่อมา ชรัสตื่นเต้นเมื่อผมต้องพาน้องไปกับครูโจเพื่อไปแข่งดนตรี หลังจากฝึกซ้อมมาพักหนึ่งจนเริ่มคล่องแล้ว ถึงเวลาเข้าไปประชันฝีมือจากหลายโรงเรียนที่เดินเข้ามาในสถานที่เดียวกัน กลุ่มคนหน้าโรงเรียนมีจำนวนมากแต่คนที่สนิทใจและมาด้วยกันแทบนับคนได้เลย “ของโปรดของน้องทิวลิปครับ” ครูโจเห็นว่าน้องทิวลิปมีของโปรดเป็นนมกล้วย ซึ่งผมรู้จากพี่ชายของเขา มันเป็นสิ่งที่ทำให้น้องมีความสุข กินแล้วเพิ่มพลังรวดเร็วทันตาเห็น ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ ตอนเข้าไปสอนแทนวิชาคณิตศาสตร์ที่ห้องน้อง น้องจะง่วงเวลาเรียนวิชาหลักมากกว่าวิชากิจกรรม ผมเอานมกล้วยไปเติม พลังงานมาทันตาจนผมตกใจไม่แพ้เด็กในห้อง “ขอบคุณครับ” “มันเป็นขนาดนั้นเลยเหรอชรัส” “ครับครู น้องผมเป็นคนชอบกินอะไร ผมก็จะหามา” ผมจะรู้ในตัวตนน้องหนึ่งอย่างคือน้องเป็นคนชอบให้รุ่นพี่เอาใจ เวลาไปตลาดผมจะซื้อเฉาก๊วยนมสด และไส้กรอกใส่หอมหัวใหญ่สับเป็นชิ้นเยอะ ๆ ไหนจะกุ้งทอดมาเอาใจเสมอ เพราะน้องผมจะมีคนสนิทอยู่ที่ร้านประจำ ผมชอบเวลาน้องมีความสุขกับผมหรือเพื่อน ผมไม่เคยห้ามหรือขัดใจน้องในเรื่องที่ดี “ดูท่าทางคุณเป็นพี่ที่เอาใจเก่งมากเลย ว่าแต่น้องชอบคุณแบบไหนเนี่ย ผมขอถามได้ไหม” “ชอบแบบมากกว่านั้นครับ” “จะพรากผู้เยาว์ไม่ได้นะครับ” ความจริงน้องเขาก็ชอบมาทำอะไรเกินกว่าคนเป็นพี่น้อง ผมกับน้องคนละสายเลือดไม่ใช่พี่น้องตั้งแต่เกิด ก็เลยแสดงความรักแบบที่ใครอาจตกใจเพราะอายุต่างกัน ผมว่ารอน้องโตอีกหน่อยค่อยมาจีบผมแล้วกัน ผมพูดมาได้ขนาดนี้ถือว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว “งั้นผมจะช่วยเป็นกำลังใจให้น้องอีกแรงนะครับ” ผมว่าตอนนี้น้องผมเหมือนคนดังมีคนมาให้กำลังใจขนาดนี้ ผมว่าอีกหน่อยคนดังอย่างน้องผมไปไหนจะมีคนเรียกหาและขอลายเซนต์ซ้อมแจกตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ ผมขอตัวเข้าไปในอาคารเพื่อรอก่อนเข้าไปพร้อมกับทุกคนเมื่อเวลาการแสดงเริ่มต้น ในห้องจัดแสดง ภายในห้องจัดแสดงของสถานที่แห่งนี้ เป็นห้องยกสูงไปชั้นบนเหมือนโรงภาพยนตร์ แต่หน้าเวทีเป็นพื้นที่จัดแสดง มีพื้นที่ให้นักเรียนได้แสดงความสามารถ ตั้งแต่การแสดงบัลเล่ย์ การแสดงความเหมือนของผู้คนที่เรียกว่าการก๊อปปี้โชว์ และอีกหลากหลายการแสดงที่เป็นดนตรี วันนี้ถือได้ว่าแปลกตาและมอบความสุขให้กับคนที่เข้ามารับชมรับฟัง ถือเป็นงานแข่งขันที่สมเกียรติที่สุด “ครูโจคะ” ผมเห็นครูพลอยมาด้วย ครูประจำชั้นสุดสวยคนนี้จะไม่มาได้ยังไง นักเรียนห้องตัวเองแข่งขันทั้งที่ ก็ต้องมาให้กำลังใจเป็นธรรมดา ฉันยังตกใจไม่หายตั้งแต่รู้ความจริง แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วก็ขอให้ทุกอย่างที่ดีเดินหน้าต่อไปและฉันจะเฝ้ามองความสำเร็จของเด็กนักเรียนเอง ฉันมีหน้าที่ให้คำแนะนำแต่เป็นเจ้าของชีวิตไม่ได้ “มาด้วยเหมือนกันเลย” “ฉันต้องมาดูแลเด็กในห้องฉันเป็นการให้กำลังใจไงคะ” ฉันมาให้กำลังทิวลิปเพราะเห็นว่าเด็กคนนี้มีความสามารถที่ได้มาโดยบังเอิญ ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องทำให้ใครหลายคนที่มีความฝันอยากเป็นเหมือนกัน แสดงตัวตนออกมาและทำตามเขาในอนาคต “คุณให้โอกาสคนแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีค่ะ” “แน่นอนครับ ผมเป็นคนที่เห็นใครมีความสามารถก็จะดันให้เขาเป็นอยู่แล้ว” ผมนั่งชมการแสดงดนตรีของเด็กจากหลายโรงเรียน แต่ละที่ก็ฝึกการแสดงมานานไม่แพ้ผม ผมเห็นแล้วมันดูดีและเห็นถึงความพยายาม การกระทำตอนนี้ไม่ได้เป็นการสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนแค่เท่านั้น แต่เป็นการต่อยอดความสามารถของเด็กที่สามารถเอาไปทำเป็นอาชีพในอนาคต ไม่มีใครหรอกทำอาชีพไหนแล้วไม่ได้เงิน ทุกอาชีพมีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีแต่คนเท่านั้นที่ไปดูถูกและด้อยค่าให้บิดเบี้ยว “เอ๊ะ...” “เป็นอะไรไปคะครูโจ” “ผมรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้มากครับ” ผมชี้ไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวบนผมไปอีกหนึ่งแถวที่ผมนั่งอยู่ ระหว่างนี้ผมขอเสียมารยาทในที่สาธารณะสักครู่เพื่อเปิดรูปบางอย่างให้ครูพลอยดู ผมเหมือนจะคุ้นหน้ากับใครบางคน ตอนนั้นผมเคยเข้าไปในบ้านของเอกมัย ได้เห็นรูปครอบครัวที่เอกมัยซ่อนไว้ มันเป็นรูปบางส่วนที่พ่อทิ้งไปแล้ว แต่บางส่วนยังอยู่ที่เอกมัยทำให้ผมรู้ความจริงบางอย่างได้ “เธอเป็นแม่เอกมัยเหรอ” ฉันเห็นรูปในโทรศัพท์ มันเป็นรูปครอบครัวของเอกมัย ผู้ชายที่ฉันคิดว่าจะมอบพลังและความสามารถให้ทิวลิป เขามีพ่อและแม่อยู่ด้วยกัน แต่นั่นเป็นเพียงอดีต ปัจจุบันเอกมัยก็ไม่อยู่แล้ว แม่ก็แยกทางกับพ่อ ส่วนพ่อก็คงใช้ชีวิตปกติราวกับไม่มีความผิดในชีวิต ฉันว่ามันเป็นแบบนั้นไม่ได้ การปล่อยคนผิดลอยนวลมันไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย “คนนั้นเหรอคะ” “ที่เขามาเนี่ยเธอรู้ไหมว่าลูกชายเสียไปนานแล้ว” ผมไม่เคยเจอแม่ของเอกมัยจะให้ผมไปบอกว่าลูกชายตตายแล้ว มันก็ดูไม่สมควรสักเท่าไหร่ แม่ไม่เคยรู้จักผมและคงไม่ติดต่อพ่อมานาน แต่ถ้าติดต่อกับเอกมัยน่าจะเอะใจได้แล้วล่ะว่าลูกชายหายไปไหนตั้งนานแทบจะเป็นปี ผมไม่กล้าบอกเธอแต่สักวันเธอจะต้องรู้ “เธอคงไม่รู้จริง ๆ แต่มาดูการแสดงนักเรียนเหมือนตอกย้ำตัวเองยังไงไม่รู้” ผมดูจากอาการของแม่แล้ว ผมว่าเธอคงอยากเจอลูกชายเพราะดนตรีคือสิ่งที่เป็นตัวตนของเขา แต่เธอคงไม่รู้ว่าลูกชายหายไปจากโลกแล้ว ผมไม่บอกตอนนี้อีกหน่อยเธอคงรู้เอง แต่ผมไม่ใช่ส่วนผิดต่อให้ผมจะไม่รู้จักเธอ แต่เกี่ยวข้องกันผมก็ไม่สบายใจอยู่ดี เมื่อการแสดงของทิวลิปมาถึงแล้ว ทีมงานขนย้ายเปียโนอยู่หลังม่านเพื่อไม่ให้ผู้ชมเห็นก่อน ถือว่าเตรียมการอย่างดี ระหว่างที่ผมนั่งอยู่และมองดูไปตรงเวทีพร้อมกับชรัสและครูพลอย ผมเห็นเงาบางอย่างลอยผ่านม่าน ผมตกใจหันไปหาชรัส ตอนแรกคิดว่าผมเห็นไปเองแต่ไม่ใช่เลย ผมเห็นเหมือนกัน เงานั้นคือเอกมัย เพลงที่ทิวลิปใช้บรรเลงผมและครูโจคุ้นเคยดี มันเป็นเพลงคราวเดรียวเป็นเพลงที่เขาแต่งให้ครูฟังเป็นคนแรก และผมได้ยินเป็นคนที่สองจากทิวลิปเมื่อมาเรียงเรื่องราวต่อกัน แสดงว่าครูโจเจอเขามาก่อนจะเป็นทิวลิปและผมคนที่สาม “ทิวลิปใช้เพลงนี้เหรอ ตอนเราตกลงกันไม่ใช่นี่” ผมจำได้ว่าตอนฝึกซ้อมทิวลิปที่โรงเรียนและเวลาเลิกเรียนก็ไม่ใช่เพลงนี้ ผมถึงขั้นหยิบกระเป๋ามาส่องไฟฉายหาโน้ตเพลงในแฟ้มใสเลยว่าเพลงที่น้องเล่นมันเพลงไหน ผมสอนเล่นหลายเพลงแต่ที่ใช้แข่งคือเพลงคลาสสิกตามโจทย์ไม่ใช่เพลงแต่งเองสักหน่อย “ครูโจครับ...” ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ ผมให้ครูสังเกตที่เงาตรงพื้นหรือไฟที่สะท้อนไปหาทิวลิป มันแปลกมากเพราะตัวเขาเป็นเด็กมัธยมต้นแต่เงาตัวใหญ่กว่าแสดงว่าสิ่งที่อยู่ในตัวเด็กคนนั้นคือเอกมัย แสดงว่าตอนนี้ตัวตนนั้นไม่ใช่น้องของผม “ฮึกก...” ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดึงมาข้าง ๆ เยื้องไปข้างบนเหมือนเสียงร้องไห้ ซึ่งมันก็คือสิ่งนั้นตามที่ผมคิด ผมคิดว่าเธอรู้เรื่องแล้วล่ะไม่งั้นคงไม่ร้องไห้ออกมาแบบนี้ ปกติคนเราฟังเพลงแล้วร้องไห้แปลได้ว่าอินตามเนื้อเพลงเพราะเหตุการณ์ในชีวิตตรงกับเพลงที่ฟังอยู่ ผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะเข้าไปหาเธอเพื่อบอกทุกเรื่องราว “อ้าวครูโจคะ จะไปไหนคะ ครูโจ...” เวลาต่อมา ครูโจเห็นว่าตอนนี้รอเวลาประกาศผล ผมเห็นว่าทางสะดวกแล้ว ผมขอคุยกับคุณแม่สักหน่อย นาทีนั้นผมไม่มีอะไรจะเสียแล้วขอเข้าไปบอกคุณแม่ดีกว่า ผมเสี่ยงดวงเผื่อว่าเธออาจจะรู้เรื่องบางส่วนแล้วก็ได้ “คุณคือครูโจใช่ไหมคะ” “คุณแม่รู้เรื่องแล้วเหรอครับ” ใจจริงผมก็ไม่เคยเจอคุณแม่ตรงหน้ามาก่อน เห็นในรูปถ่ายครอบครัวที่เอกมัยซ่อนไว้ ตอนแรกผมก็ยังคิดว่าพ่อเขาควรได้รับกรรมได้แล้ว แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้ว เพราะคนที่แจ้งจับพ่อคือคนตรงหน้า “ผมไม่เคยเจอคุณมาก่อนแต่ผมอยู่กับเอกมาตลอดครับ” “ค่ะ ฉันรู้มาสักพักแล้วว่าลูกฉันเป็นอะไร ถึงไม่เห็นเขาแล้วแต่ฉันรู้ว่าเด็กคนนั้นคือเขา” ถ้าให้ผมแปลง่าย ๆ ก็คือแม่กลับมาฟังดนตรีอีกครั้งเพราะมันเป็นตัวตนของลูกชายเขา เพลงที่ทิวลิปเล่นแม่ก็เคยได้ยินผ่านหูและเพลงนี้มีคนเดียวที่เล่นมันได้คนเดียวเพราะโน้ตเพลงนี้เป็นความลับไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน “คุณเห็นมันใช่ไหมครับ” “คุณอย่าหาว่าฉันงมงายเลยนะคะ เขามาเข้าฝันหาฉัน ทุกคืนฉันยังเห็นเขาอยู่เสมอ มันเหมือนจริงมาก เขาบอกทุกอย่างจนฉันเชื่อมันแล้ว...” เอกมัยอยู่ในความฝันของฉันมาเสมอ เขามาบอกทุกเรื่องราวจนฉันรีบไปค้นหาความจริงแต่ฉันยื้อเวลาไว้นานเพราะทำใจอยู่ ถึงอย่างนั้นฉันก็ช่วยลูกไม่ได้อยู่ดี “คุณอย่าเสียใจไปเลยนะครับ” “ให้ฉันไปกอดลูกก็ยังดี ถือว่าฉันได้เห็นเขาอีกครั้ง ฉันขอโอกาสอีกครั้งได้ไหม” ผมตอบรับคุณแม่และเธอคงเข้าใจว่าทิวลิปคือลูกชายของเขา แม้ภายนอกไม่ใช่แต่จิตวิญญาณในร่างคือเอกมัย ผมทำตามความต้องการของคุณแม่พาไปเจอแล้วให้ความสุขคืนอีกครั้ง ผมเหมือนพาคนรักกลับมาในชีวิตอีกครั้ง เห็นแล้วผมยังอินไปตามอารมณ์เลยเพราะคนเป็นแม่ใครกันที่ไม่รักลูกตัวเอง ผมว่าปมในใจถูกปลดล็อกหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากนี้ขอให้เป็นไปตามเวลา จะการยอมรับความจริงเดินหน้าต่อไปจะทำให้ความสุขกลับคืนมา ผมรู้สึกดีและเหมือนเขาได้กลับไปหาครอบครัวแล้ว หลังจากนี้ไปผมจะมองดูความสุขและช่วยต่อเติมความฝันจากเด็กคนนั้นต่อเอง หลังจากวันนั้น “กินเยอะ ๆ นะทิวลิป” ผมเห็นว่าน้องตั้งใจทำอะไรสักอย่างในชีวิตจนออกมาให้ทุกคนเห็นในทางที่ดี วันนี้ผมพาน้องมาเลี้ยงไอศกรีมโปรดที่น้องชอบ พร้อมนั่งอ่านโน้ตเพลงในหนังสือที่ซื้อมาอ่านด้วยกัน ความสามารถนี้ได้มาแบบบังเอิญและจะติดตัวไปอีกนาน โอกาสแบบนี้ไม่มีบ่อยแต่ดีแค่ไหนที่น้องได้มัน “ขอบคุณนะครับพี่ ที่ทำทุกอย่างให้ผมมีวันนี้” “พี่ว่าพี่มีของที่อยากให้น้องทั้งใจ” ผมบอกที่นี่แต่ของขวัญที่ผมจะให้มันอยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ผมคงยกมาให้น้องดูที่นี่ไม่ได้หรอก เพราะมันหนักมหาศาลถ้าผมแบกคนเดียวได้คงเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก “พี่อยากให้อะไรผมครับ” ผมแอบตื่นเต้นเหมือนกันว่าพี่ผมจะให้ของขวัญเป็นอะไร เพราะตั้งแต่ผมแข่งแล้วได้ที่สอง อย่างน้อยถึงไม่เป็นอันดับหนึ่งก็ถือว่าผมชนะใจผู้ชมไปไม่น้อย เอาเถอะการแข่งขันผมไม่ได้หวังรางวัลอย่างเดียว แต่ผมถือว่าได้เริ่มต้นความสามารถตัวเองได้เป็นอย่างดี จากที่ผมไม่ค่อยกล้าแสดงออก ชอบเล่นกีฬาแต่ไม่เคยสนใจความสามารถทางดนตรี วันนี้มันบอกผมได้เต็มปากแล้วว่าผมทำมันได้แล้ว ผมรอดูของขวัญที่พี่ผมจะมอบให้ดีกว่า วางไว้ที่บ้านคาดว่าจะเป็นของที่ผมชอบ “เปียโนจริง ๆ ด้วย” ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ชรัสจะซื้อเปียโนให้ผมเป็นของขวัญแห่งความสำเร็จ แต่ว่าเปียโนหลังนี้ลักษณะของมันคุ้นมากทั้งสีและขนาด นี่มันเปียโนของพี่เอกมัยนี่นา พี่เล่นไปขโมยเขาแบบนี้เดี๋ยวพี่เขาตามมาหลอกหลอนหรอก เอามาตั้งในบ้านแล้วพี่เขาไปขอมาตอนไหน “พี่ไม่ได้ขโมยมาหรอก” “เซอร์ไพร์สครับ” ในขณะนั้นเองครูโจเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมจุดพลุเซอร์ไพร์สทิวลิปเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ก่อนหน้านั้นผมกับครูโจวางแผนกันเซอร์ไพร์สน้องตัวเองอย่างดี ผมเห็นความสำเร็จของน้องแล้ว บอกเลยว่าผมพร้อมสนับสนุนความฝันของเด็กในทางที่ดี ผมไม่อยากให้น้องเขาหมดกำลังใจ เมื่อน้องแข่งได้อันดับตามความสามารถแล้ว ผมและครูโจขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จนี้ ก่อนอื่นผมจะบอกว่าเปียโนนี้ผมขอให้ครูโจช่วยหาคนมาขนย้ายมาให้ เพราะเจ้าของเก่าอยากให้มันทั้งใจเป็นการส่งต่อ “พี่เอกมัยเขาให้ผมจริง ๆ เหรอครับ” “ใช่แล้ว พี่เขาเห็นความสามารถของน้อง ดูแล้วมีแววจะไม่มีพิษภัยถึงส่งต่อให้ไง” ผมบอกกับน้องไปตามสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นไปได้ ถ้าวันนั้นไม่บังเอิญตีลูกแบตเข้าไปในบ้านคนแปลกหน้าแล้วเจอเปียโนหลังนั้น ผมคงไม่เห็นน้องมีความสุขมาถึงวันนี้หรอก น้องได้ทำอะไรใหม่ ๆ นอกจากเล่นกีฬาแล้ว ตอนนี้น้องได้ดนตรีเพิ่มไปอีกอย่าง ในอนาคตผมไม่รู้ว่าใครจะมอบความสามารถพิเศษให้น้องอีก ผมก็คาดเดาไม่ได้ “ขอบคุณนะครับพี่ แต่ว่าความสามารถที่ผมไม่ได้ทำเองมันน่าภูมิใจตรงไหน แต่เอาเถอะครับผมยอมรับก็ได้...” “พี่เข้าใจและน้องไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย พี่รอฟังเพลงจากน้องนะครับ” “น่ารักที่สุดเลยงื้ออ” ผมกระโดดพี่ชรัสและจับมือกับครูโจ ในชีวิตผมไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเพราะผมไม่เคยเปิดใจทำอะไรในสิ่งใหม่ ๆ เลย ผมไม่ใช่คนเก็บตัวหรือมีโลกส่วนตัวสูง แค่มองข้ามอะไรที่เห็นผ่านตาแต่ไม่เคยสนใจมาก่อน และวันนี้ผมได้สัมผัสมันแล้ว หวังว่าพี่จะเฝ้ามองความฝันที่ผมได้รับจากพี่ ผมจะไม่มีวันทรยศและเอาความสามารถไปโกงใครแล้ว ‘ผมมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่ถ้าส่งต่อกันในวันที่หมดลมหายใจแล้ว ผมก็เหมือนเป็นตัวแทนเท่านั้น แต่เป็นตัวแทนที่มีลมหายใจไงล่ะ’ The End

Great novels start here

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD