“นิดหน่อยค่ะพี่ยศ” เธอสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของเขา แม้จะเคยใกล้ชิดเขาแต่เธอก็ไม่เคยแนบชิดเขาเกินงาม เพราะน้าสาวสอนให้รักนวลสงวนตัวอยู่เสมอ
“นิ่มรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะครับ พี่เป็นห่วง” ยศวินฉวยโอกาสนั้นจับมือหญิงสาวมากุมเอาไว้
“ปล่อยมือเธอเดี๋ยวนี้!!!”
เสียงเข้มดุดันที่เอ่ยขึ้นไม่ได้ทำให้ยศวินกลัวเท่ากับปลายกระบอกปืนจ่อมาที่ขยับ
“โอเคๆ คุณควรจะใจเย็นๆ เอาไว้” ยศวินกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่าพฤกษ์จะดูโมโหขนาดนี้
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ยศ” นิ่มอนงค์รีบเอ่ยถามเมื่อเธอได้ยินเสียงดุดันของเจ้าบ่าว
พฤกษ์มองสบตายศวินอย่างดุกร้าว ยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก เตือนให้อีกฝ่ายรู้ว่าหากพูดอะไรไม่เข้าหู อาจจะจบชีวิตลงเดี๋ยวนี้
ยศวินขนลุกซู่ ถ้าเขาโวยวายอาจจะทำให้นิ่มอนงค์ช่วยเขาได้ แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่เธอตาบอดเช่นนี้ ดังนั้นเขาไม่ควรเสี่ยงกับความโมโหของคนตรงหน้า
“อย่าแตะต้องเธออีก จำเอาไว้”
น้ำเสียงของพฤกษ์ทำให้ยศวินลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเป็นครั้งแรกในชีวิต ผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวจนเขาไม่กล้าต่อกร เขาควรจะรักษาชีวิตเอาไว้ ยังมีอีกหลายวิธีที่จะยุแยงนิ่มอนงค์ แต่ไม่ใช่ต่อหน้าผู้ชายบ้าเลือดอย่างพฤกษ์
“พี่ยศคะ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” นิ่มอนงค์พยายามเอ่ยถามเมื่อเห็นยศวินเงียบไป มือบางขยับไปด้านหน้าเหมือนคว้าอะไรสักอย่าง ขัดใจกับสภาพตาบอดของตนเองยิ่งนัก คนที่ไม่อยู่ในโลกมืด ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของเธอ
“อุ๊ย!” นิ่มอนงค์อุทานเมื่อคว้าไปด้านหน้าก็สัมผัสกับมือร้อนที่กุมลงมา
“พี่เอาน้ำมาให้”
นิ่มอนงค์ขมวดคิ้วยุ่งเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงของพฤกษ์ เขาแตะแก้วน้ำมาที่ปากเบาๆ ทำท่าจะป้อนให้เจ้าสาว
“พี่ยศไปไหน”
ตุ๊บ!!!
เสียงแก้วน้ำหล่นกระทบกับผืนหญ้าเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมกินแต่ปัดออก เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์เช่นไร แต่เธอไม่เห็นสน เธอเชิดคางขึ้นกิริยาเช่นนี้ทำให้พฤกษ์กอดอกมอง เขาไม่ได้โกรธ แต่ไม่พอใจเล็กๆ เมื่อเธอปฏิเสธน้ำใจของเขา
“ถ้าไม่หิวก็ดี เราจะต้องกลับเข้างานแล้วละ” ไม่พูดเปล่าเขาตวัดอุ้มร่างอรชรขึ้นสู่อ้อมแขน
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยสิ”
“จะให้ปล่อยจริงเหรอ” พฤกษ์หยุดเดินถามเสียงนิ่ง เขาทำท่าจะหย่อนเจ้าสาวลงจากอ้อมแขน
แม้จะตาบอดแต่ประสาทสัมผัสเธอยังดีเยี่ยม นิ่มอนงค์รีบคว้าคอหนาเอาไว้ในทันที และถ้าเธอหูไม่ได้ฝาด เธอได้ยินเสียงหัวเราะของเขา ไม่ใช่เสียงเยาะเย้ยแต่เป็นเสียงรื่นรมย์ต่างหาก เธอหน้างอทันที
..เขาคงหัวเราะชอบใจที่เธอพ่ายแพ้แก่เขา
“หิวน้ำหรือเปล่า” เขากระซิบถามเมื่อวางเธอนั่งลงที่ไหนสักแห่ง
ถ้าเป็นเวลาปกติเธอคงนึกชื่นชมผู้ชายเช่นเขาที่เอาใจใส่ต่อคนอื่น แต่เวลานี้ไม่ใช่ เขาทำไปเพราะเธอเป็นเจ้าสาวที่จะทำให้เขาร่ำรวยได้ชั่วข้ามคืนหลังจากจดทะเบียนสมรสกันแล้ว
“ไม่...” เธอเชิดหน้าตอบ
แต่ยังไม่จบประโยคเขาก็กระซิบแทรกลงมาที่หู
“โอกาสสุดท้าย แล้วเธอจะไม่ได้รับน้ำแม้แต่หยดเดียว”
คำขู่ของเขาทำให้เธอนิ่งอึ้ง มือควานไปข้างหน้าอีกครั้งแต่ก็เจอเพียงมือเขา
..นี่ทุกคนหายไปไหนกันหมด จะทิ้งเธอไว้กับเขาตลอดเวลาหรือไง
“คนอื่นยุ่งอยู่” เขากระซิบบอกอีกครั้ง น้ำเสียงยังเรียบๆ ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์
เธอนึกอยากจะเห็นหน้าเขานักว่าตอนนี้อยู่ในอารมณ์ใด เขาเก็บอารมณ์เก่ง น้ำเสียงที่แสดงออกนั้นไม่ได้ทำให้เธอเดาได้เลย ไม่เหมือนคนอื่นๆ
“ฉันอยาก... ดื่มน้ำ” ในที่สุดเธอจำต้องพูดออกไป หากจะเชิดใส่เขาคงไม่เป็นประโยชน์เพราะเขาอยู่เหนือกว่าทุกอย่าง “อื้อ...” นิ่มอนงค์ตกใจเธอใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบตีแผ่นหลังเขาเมื่อเขาประกบริมฝีปากลงมา ลิ้นหนาสอดแทรกแล้วป้อนน้ำเธออย่างวาบหวามทำให้แก้มสาวแดงฉ่ำ
“อีกไหม” น้ำเสียงของเขาดูรื่นเริงใจนัก
นิ่มอนงค์อยากจะประทุษร้ายเขาให้เจ็บแสบแต่เธอมองไม่เห็น ทุบตีไปตรงไหนเขาก็รวบมาจุ๊บเสียทุกครั้ง
“คนฉวยโอกาส” เธอผรุสวาทหน้างอ
“อีกไหม” เขาถามซ้ำไม่สนใจคำต่อว่าต่อขาน
“ไม่เอาแล้ว อื้อ...” นิ่มอนงค์ร้องประท้วงอีกครั้งเมื่อถูกป้อนน้ำอีกอึกใหญ่ เรียวลิ้นหนาสอดแทรกเข้าหาอย่างดูดดื่ม เขาบังคับให้เธอเผยอริมฝีปากออกโดยการเลื่อนมือไปเคล้นคลึงทรวงอิ่ม เธอหอบหายใจหน้าแดงจัดเมื่อเขาปล่อยเป็นอิสระ
“เข้างานกันเถอะ” น้ำเสียงของเขาอื้ออารีเสียเหลือเกิน
นิ่มอนงค์ไม่มีเวลาพยศหรือขัดใจอะไรเขาได้
นิ่มอนงค์คิดว่าจะออกฤทธิ์ออกเดชอาละวาดให้เจ้าบ่าวอับอายขายหน้า กลายเป็นเดินต้อยๆ ตามเขาไปพบกับญาติผู้ใหญ่ แม้ตาเธอจะมองไม่เห็น แต่น้ำเสียงทุ้มๆ ที่คอยกระซิบบอกข้างหูก็ทำให้เธอจำต้องยกมือไหว้คนตรงหน้าตามที่เขาบอก เขาคอยเกาะแขนประคอง บ้างก็กอดเอวคอดเอาไว้ รั้งให้เธอเดินตาม
ภาพเหล่านั้นทำให้คนทั้งงานอมยิ้ม พฤกษ์ทำหน้าที่เป็นไม้เท้าให้เจ้าสาว นงนภัสเองที่เห็นภาพนั้นยังนึกไม่ถึง บางทีก็ค้อนหลานเขยเสียหน้าคว่ำ คิดว่าอีกฝ่ายคงทำดีบังหน้า
นิ่มอนงค์ได้ยินเจ้าบ่าวกระซิบว่าเขาขอตัวไปห้องน้ำ และฝากเธอไว้กับเพื่อนเขาที่ชื่อเดือนประดับ เธอถูกประคองไปนั่งบนเก้าอี้ เสียงรอบกายเงียบกว่านาทีก่อน เพื่อนของเขาคงพาออกมาด้านนอกของงานที่ไม่มีคนพลุกพล่าน
“ไม่คิดเลยนะคะว่าพฤกษ์จะแต่งงานกับคนตาบอด” น้ำเสียงของเดือนประดับมีแววหยันๆ
จนนิ่มอนงค์คอแข็ง
“เสียใจเหรอคะที่เขาไม่แต่งงานกับคุณ” อะไรก็ไม่รู้ทำให้นิ่มอนงค์พูดออกไปเช่นนั้น
และได้ผลเมื่ออีกฝ่ายเงียบเสียงไป
“อีกไม่นานพฤกษ์คงหย่า”
“ก็รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะค่ะ ค่อยมาพูด” ไม่รู้อะไรอีกที่ทำให้เธอพูดออกไปเหมือนหวงสามีเช่นนี้ ทำเหมือนกับว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนไหนมาฉกตัวเขาไปได้
“คุยอะไรกันอยู่ครับสาวๆ” เสียงของพฤกษ์ทำให้บรรยากาศที่ชวนอึดอัดหายไป
นิ่มอนงค์รีบยกมือให้เจ้าบ่าวทันที และพฤกษ์ก็รีบจับมือบอบบางนั้นไว้ทันทีเช่นกัน
“ขอบใจมากนะเดือน” เขาหันไปขอบคุณเพื่อน
เดือนประดับเพียงแต่ยิ้มให้เล็กน้อย
“วันหลังพี่พฤกษ์อย่าไปนานนะคะ นิ่มไม่อยากอยู่กับคนแปลกหน้า” เธอจงใจเน้นคำ ก่อนจะซบหน้าที่แขนแกร่งที่กอดเอาไว้แน่น
พฤกษ์มองอย่างงุนงง แต่ไม่ได้พูดอะไร เดือนประดับมองตามคนทั้งสองไปด้วยความริษยา
..ทำไมเจ้าสาวของพฤกษ์ถึงไม่ใช่เธอนะ
“ทีหลังอย่าฝากฉันไว้กับชู้รักของคุณอีก” พอเดินห่างออกมาสักครู่เธอจึงเปลี่ยนสรรพนาม ทำเสียงแข็งใส่เขา
พฤกษ์ที่ขมวดคิ้วคราแรกถึงบางอ้อว่าเหตุใดเธอจึงดูอ้อนเขาเมื่อครู่ คงคิดว่าเดือนประดับเป็นคู่รักเขานั่นเอง
“เดือนประดับไม่ใช่ชู้ เค้าเป็นเพื่อน”
“ชิส์! ใครจะไปเชื่อ” นิ่มอนงค์ทำเสียงขึ้นจมูก
“แล้วแต่นะ ถ้านิ่มไม่เชื่อ แต่พี่บริสุทธิ์ใจ” เขาพูดจริงจัง
นิ่มอนงค์จึงเงียบเสีย
เมื่อฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาถึง ทำให้นิ่มอนงค์รู้สึกเป็นกังวล คนที่เธอจะเรียกหาขอความช่วยเหลือนั้นไม่มีเลย ไม่ว่าจะเป็นยศวิน แพรพิลาศหรือแม้แต่น้าสาวที่อยู่ข้างเธอมาตลอด
ผู้ใหญ่กล่าวอวยพรเสร็จสิ้นก็ปล่อยให้คนทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องหอ
“จะทำอะไรน่ะ” นิ่มอนงค์สะบัดมือคนร่วมห้องออกห่าง แต่ทำให้เธอเซจะล้ม
พฤกษ์คว้าร่างอรชรเอาไว้ได้ทัน ทำให้หญิงสาวตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“นั่งลงตรงนี้ พี่จะแกะผมให้” พฤกษ์กดร่างเจ้าสาวคนสวยให้นั่งที่ขอบเตียง สัมผัสของเขาไม่ได้กระแทกกระทั้นแต่อ่อนโยนทะนุถนอม
“ไม่จำเป็น” นิ่มอนงค์ปัดมือเขาออก ไม่ยอมรับความหวังดีจากเขา
“แกะเองได้เหรอ” เขาถามหยั่งเชิงไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวแม้แต่น้อย เหมือนผู้ใหญ่กำลังเข้มงวดกับเด็กเอาแต่ใจ
“ให้แพรพิลาศมาแกะให้ เค้าอยู่ไหนไปตามมาเดี๋ยวนี้” ออกคำสั่งเสียงเฉียบ เชิดหน้าอย่างถือดี แม้ตาจะมองไม่เห็นแต่กลับหยิ่งทระนงไม่ลดรา
“เค้ากลับไปพักผ่อนแล้วละ ช่วยงานตั้งแต่เช้า ไม่เกรงใจเขาเหรอไง”