นิราศทัศนา 2

1457 Words
อาหารเสร็จเรียบร้อยถูกจัดวางที่โต๊ะเรียบร้อย นางข้าหลวงยังคงยืนรอปรนนิบัติรวมถึงหวังเฟิงที่ยืนดูแลความเรียบร้อย เวลานี้หากจับจ้องไปยังใบหน้าของขันที สังเกตหน้าผากจะไม่เป็นแผลบวมคล้ายลูกมะนาว แต่รอยแดงช้ำก็ปรากฏเป็นร่องรอยให้ผู้ที่พบเห็นล่วงรู้ว่าเขาโดนอะไรมา หวงเจียวหลุนไปนั่งที่เก้าอี้ประจำของตนเหมือนอย่างเคย แต่ที่แตกต่างก็คือบรรดานางข้าหลวงต้องออกไป และไม่อนุญาตให้อยู่ในตำหนัก มีเพียงหวังเฟิงเท่านั้นที่อยู่รับใช้ เขานั่งอยู่เป็นนานกว่าก็มิหยิบตะเกียบมาคีบอาหารเสียที เพราะเขาได้แต่หันไปมองสตรีที่ไม่ไกลจากสายตานัก นางยังคงนั่งกอดสมบัติของตนและจ้องคันฉ่องเหมือนเดิม เขาพยายามเรียกนางให้มาทานด้วยกันแต่นางก็มิตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น เขาพยักหน้าเพื่อให้หวังเฟิงคอยตักอาหารใส่ที่ชามของเขา เขาชิมหนึ่งคำก็เอ่ยหนึ่งคำ " อืม อาหารนี่อร่อยนะหวังเฟิง จานนี้เรียกว่าอะไรรึ " เขาแสร้งพูดเสียงอันดัง หวังว่าสตรีที่นั่งคุดคู้อยู่ที่คันฉ่องจะยอมลดทิฐิ และความกลัวเข้ามาร่วมวงทานอาหารกัน เพราะทั้งเขาและนางก็ยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แต่นางคงจะหนักกว่าเขาเป็นแน่เพราะนางได้สำรอกสิ่งที่นางได้ทานมาจนหมดสิ้นไปแล้วเมื่อคืนนี้ " เรียนองค์ชาย สิ่งนี้เรียกว่า พระกระโดดกำแพงพะยะค่ะ " " แล้วนั่นเล่า เจ้าช่วยคีบให้ข้าหน่อยสิ " หวังเฟิงรับคำสั่งและคีบมาวางไว้ในจาน หวงเจียวหลุนคีบใส่ปากอีกครั้งและชมว่าอร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ พร้อมเอ่ยชื่ออาหารแต่ละจานออกมาอย่างไม่หยุดปาก ไมว่าจะเป็น หมูหัน ขาห่านอบหม้อดิน ไก่แช่เหล้า ผัดโหงวก๊วย หัวปลาจีนต้มเผือก แมงกระพรุนผัดน้ำมันงา กระหล่ำปลีผัดน้ำปลา เป็ดผัดพริกไทยดำ สันคอหมูตุ๋นทรงเครื่อง ฯลฯ จากนั้นก็เอ่ยชวนปิ่นหยกมา " แม่นางมาเถอะ ข้าสัญญาว่าข้าได้ชมอาหารตรงหน้านี้ มิมียาพิษใดๆ ให้เจ้าต้องลำบากใจเป็นแน่ " ด้วยความหมันไส้ผนวกกับความหิว นางจึงหลุดปากพูดอย่างไม่คิดออกไป " กินอย่างชูชก มิน่าหล่ะถึงได้อ้วนอย่างช้างแมมมอธ " คำพูดเพียงนิดทำให้เขาสะอึก เพราะเขานึกไม่ถึงว่านางจะมีความคิดเฉกเช่นคนอื่นๆ เขาเงียบไปพักหนึ่งและค่อยๆ รวบรวมความกล้าออกมาเอ่ยถามนาง " แม่นางรังเกียจข้าที่ข้าอ้วนอัปลักษณ์ใช่หรือไม่ " น้ำเสียงที่ฟังดูสลด ทำให้ปิ่นหยกสังเกตอาการของเขาอยู่สักพักหนึ่ง เห็นเขามีใบหน้าที่เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ปิ่นหยกจึงรวบรวมความกล้าอยู่สักพัก และหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเอ่ย " ไม่ได้รังเกียจ แต่หมันไส้ " ปิ่นหยกพูดไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป หวังแค่ว่าคำพูดของตนจะเข้าหูผู้ชายคนนั้น " หากไม่รังเกียจ แม่นางจะช่วยมาทานอาหารเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ ข้าสั่งอาหารเหล่านี้มาเพื่อแม่นางโดยเฉพาะ " ปิ่นหยกแทบไม่อยากเชื่อหูของตนเองว่าเขาสั่งอาหารมากมายนี้มาเพื่อให้เธอ " สั่งมาทำไม " " ข้ามิรู้ได้ว่าแม่นางชอบ หรือมิชื่นชอบสิ่งใด จึงให้คนจัดอาหารที่เลิศรสมาให้แม่นางได้ลอง " ปิ่นลังเลอยู่สักพัก ก็แสร้งทำเป็นยืนชำเลืองดูและยิ่งท้องเรียกร้องอาหารอยู่ด้วยแล้ว ความหิวก็เข้าครอบครองความกลัว เธอจึงเดินไปมองอาหารที่วางอยู่เบื้องหน้า แต่ละอย่างช่างน่ากินไปเสียหมด ในสมองคิด สติมา ปัญญาเกิด สติเตลิดเพราะท้องไม่อิ่ม กองทัพเดินด้วยท้อง เกิดเป็นคนต้องยืดได้หดได้ เธอคิดในใจแต่ท่าทางที่แสดงออกจำต้องสงวนท่าทีไว้ก่อน " อาหารก็งั้นๆ นั่นแหละ ข้าก็เคยมาก่อน เยาวราชเยอะแยะ " ปิ่นเอ่ยขึ้นและไม่รอให้ใครมาปรนนิบัติ เธอหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากเพียงคำแรกก็ทำให้เธอถึงกับตะลึงในรสชาติ แต่เธอหรือจะเชื่อลิ้นในคราแรก อาหารคำต่อๆ มาถูกลำเลียงเข้ากระเพาะของนางโดยมิสนใจบุรุษที่มองนางอย่างชื่นชม เพราะนางย่อมไม่เหมือนสตรีที่ต้องเรียบร้อยไปทุกอิริยาบถ " อาหารถูกปากแม่นางหรือไม่ " หวงเจียวหลุนเอ่ยถาม ส่วนปิ่นหยกเวลานี้ย่อมลืมตัวด้วยรสอาหาร เธอตอบอย่างไม่ต้องใช้สมองคิดประมวลผลใดๆ " อร่อย มันอร่อยมาก อร่อยกว่าที่เคยกินอีกอ่ะ " เธอกินไปพูดไป จนกระเพาะของเธอเริ่มเต็มไปด้วยอาหารและไม่สามารถบรรจุอะไรได้แล้วก็ต้องวางตะเกียบ เมื่อรู้ว่าตนเองแสดงทีท่าเช่นนั้นไปแล้ว และเขาก็ไม่ได้เอ่ยต่อว่าเธอ ปิ่นหยกก็เอ่ยถาม " ไม่กินหรือไง มองอยู่ได้ " เขายิ้มตอบ " ข้าสุขใจที่เห็นแม่นางชื่นชอบในอาหารมื้อนี้ ข้าทานมาบ่อยจนชินชาในรสชาติเสียแล้ว " " อืม... อิ่มแล้ว " พูดจบปิ่นหยกเตรียมลุกไปนั่งจ้องกระจกเหมือนเดิม แต่ถูกหวงเจียวหลุนเอ่ยขึ้นก่อน " เดี๋ยวสิแม่นาง ข้าขอเสียมารยาทถาม ไม่ทราบแม่นางมีนามว่าอะไรหรือ " " ปิ่น ปิ่นหยก เรียกปิ่นเฉยๆ ก็ได้ " " ปิ่นหยก เหมาะสมนัก งดงามและล้ำค่ายิ่ง " เขาเอ่ยพร้อมยกมุมปากยิ้ม ส่วนปิ่นหยกก็ไม่ได้สนใจ เดินไปนั่งมองกระจกเหมือนเดิม ส่วนหวงเจียวหลุนพยักหน้าให้คนนำอาหารออกไป แล้วเดินเข้ามานั่งตรงโต๊ะอักษรที่ใกล้ปิ่นหยก จากนั้นก็เอ่ยถามสิ่งที่ใจอยากรู้ " เอ่อ... คือ ข้า.. ข้าอ้วน อัปลักษณ์ เจ้ารังเกียจที่จะเป็นสหายข้าหรือไม่ " น้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจเอ่ยถามออกมา ปิ่นหยกหันมามองและคิดอึดใจเดียว " ก็ไม่เห็นจะอัปลักษณ์เลย ทำไมต้องรังเกียจ " ปิ่นหยกตอบดังที่คิดพร้อมกับหันมาสนใจผู้ชายตรงหน้า และฟังคำที่เขาตัดพ้อตนเอง " แต่แม่นางดูอยากออกห่างจากข้า ไม่อยากเสวนาแม้แต่จะจ้องหน้าข้า แม่นางก็ยังมิต้องการทำ ดั่งเช่นอิสตรีอื่นๆ ที่ปฏิบัติต่อข้า " " ไม่ใช่ แต่ข้าอยากกลับบ้าน ถ้ากระจกมันเปิดทะลุได้แล้วข้าพลาดจะทำไง ไม่ติดแหง็กอยู่ที่นี่หรอ อีกอย่างข้าว่าท่านคิดไปเองมากกว่าว่าคนอื่นเขารังเกียจ" หวงเจียวหลุนส่ายศีรษะ " ข้ามั่นใจว่าแม่นางได้กลับแน่ ถ้าแม่นางยังคงอยู่ในตำหนักนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าข้าคิดไปเอง ข้ามั่นใจในตัวข้าว่ามิได้คิดเองเป็นแน่ เพราะข้าสังเกตจากท่าทางรังเกียจของสตรีที่พบเห็น แม้แต่การเลือกคู่ของข้าเพื่อหาชายาหรืออนุ สตรีเหล่านั้นก็มิยินยอมเข้าวังเพื่อให้ข้าคัดเลือก " " โห! ไม่รุนแรงขนาดนั้นมั้ง " " ก็ไม่รุนแรงหรอก เพียงแค่ไม่เข้าใกล้ เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง จนข้ารู้สึกรังเกียจตนเองเลย " " จริงอ่ะ? " " มิโป้ปด " " อะไรกัน ก็แค่อ้วนไม่ได้ฆ่าคนตายสักหน่อย " นางพูดกับตนเองเบาๆ แล้วหันไปสนใจกระจกตรงหน้าอีกครั้ง โดยไม่สนใจเขาอีกแต่ก็ยังแอบดูเขาผ่านกระจกเงาที่สะท้อนภาพ เห็นว่าเขามองตนเองด้วยสายตาโศกเศร้า และเธอก็เป็นประเภทใจอ่อน ไหนๆ ก็กลับยังไม่ได้ ปิ่นหยกคิดกับตนเองว่าไหนๆ ก็มาอยู่ในยุคนี้ ถือว่าฉลองเรียนจบแล้วกัน เผื่อฟลุ๊คมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านคงรวยไม่ต้องทำงาน ปากก็เอ่ยคำมา " สู้โว้ย! " หวงเจียวหลุน ที่มองนางอยู่ก็ขมวดคิ้ว " แม่นางจะสู้กับใคร " " กับตนเอง นี่ท่านเป็นองค์ชายใช่ป่ะ " " อืม " " ระหว่างที่ฉัน เฮ้ย! ข้าอยู่ที่นี่ ท่านต้องดูแลข้าให้ดี อย่าให้ใครทำร้ายข้าได้ " " ย่อมได้ " " แล้วท่านอยู่แต่ในนี้อย่างเดียวเลยหรอ " " ไม่หรอก ข้าก็ไปได้ทุกที่ที่ต้องการ " คำพูดเขาไปกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเธอทันที รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เริ่มฉายแววออกมานัยน์ตาคู่งามของปิ่นหยก จนหวงเจียวหลุนถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวคอเพราะไม่ทราบได้ว่าตะลึงในความงามหรือกำลังจะได้ยินคำขอจากผู้มาใหม่กันแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD