หลังภารกิจปลดทุกข์เสร็จเรียบร้อย ปิ่นหยกก็ใช่จะออกมาง่ายๆ เธอนั่งอยู่บริเวณนั้นการใช้ความคิด เธอมาได้อย่างไร และจะกลับอย่างไร เพราะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเหมือนเปิด-ปิด ประตู ได้ดังใจ ทว่าความคิดก็ต้องหยุดลงเมื่อเสียงของชายแปลกหน้าตะโกนเรียกเธอ
" แม่นางเจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ให้ข้าช่วยอะไรไหม "
"..."
" นี่ หากเจ้าไม่เป็นอันใด ก็จงออกมาจากตรงนั้นเถิด "
" ..."
" เจ้าไม่ตอบ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ "
" ไม่! อย่าเข้ามานะ ฉัน เฮ้ย!! ข้าจะออกเดี๋ยวนี้แหละ "
" ข้ารอเจ้าด้านนอกนะ " เสียงทุ้มบอกอย่างสุนทรีย์ พร้อมชะเง้อหาร่างบางที่ตนถูกใจ ไม่นานนักเขาก็เห็นเพียงใบหน้าที่โผล่ออกมา เขาย่อมรู้แน่ว่านางตื่นกลัวกับสิ่งที่แปลกตาตรงหน้า เขาถอยออกไปให้ไกลนางแต่ยังคงเห็นนางได้ถนัด
" มาเถอะแม่นาง ข้ารับปากว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าอย่างเด็ดขาด " เขาเอ่ยแต่ปิ่นหยกย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว ศีรษะน้อยๆ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงที่ถูกจัดอย่างลวกๆ หลุบเข้าหลุบออก แต่ยังมีเสียงตะโกนตอบโต้ไป
" ฉัน..เฮ้ย! ข้า..ข้าจะเชื่อคุณ..ไม่ใช่ๆ เชื่อท่านได้อย่างไรเล่า พูดยากจังเว้ย "
" นั่นสิ แม่นางจะเชื่อข้าได้อย่างไร แต่ก็ใช่ว่าแม่นางจะซ่อนอยู่ตรงนั้นได้ตลอดหรอกกระมัง เพราะข้าก็จะต้องเข้าไปที่นั่นเพื่อทำธุระเช่นกัน หรือไม่ข้าอาจจะเข้าไปจับแม่นางเพียงผู้เดียวออกมา หากอยากสนุกก็ตะโกนออกไปภายนอกให้คนเข้ามาจับแม่นางไปขัง โทษฐานบุกรุกเข้ามายังตำหนักองค์ชายเก้าในยามวิกาล อีกทั้งประทุษร้ายให้ต้องเจ็บวรกาย นั่นยังมิรวมถึงที่แม่นางขย้อนเอาสิ่งที่กลืนกินไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเมรัยออกมาต้องตัวข้า จนนางข้าหลวงต้องมาจัดการเมื่อค่ำนี้ " น้ำเสียงของเขามิได้โกรธเกรี้ยว แต่ผู้ฟังกลับกลัวไปแล้ว ทว่ายังฝืนแสดงทีท่ากล้าหาญเดินออกมา แล้วเอ่ยถ้อยคำอย่างไม่ยี่หร่ะต่อคำพูดเขาเลยสักนิด
" อยากทำธุระส่วนตัวก็บอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องขู่เลย นึกว่าเป็นองค์ชายแล้วจะกลัวหรือไง " ปิ่นหยกรีบเดินออกแล้วอ้อมไปหยิบสมบัติส่วนตัวของตน มากอดไว้พร้อมไปนั่งใกล้ๆ กระจกคล้ายรอบางสิ่งให้เกิดขึ้น
หวงเจียวหลุนเห็นนางไม่ได้โวยวายและดูท่าจะกลัวในคำขู่ของเขาอยู่บ้าง ทั้งๆ ที่เขาก็มิได้จะทำจริงอย่างที่กล่าวอ้าง เห็นนางนั่งพิจารณาคันฉ่องอย่างไม่วางตา และไม่มีทีท่าว่าจะห่างออกจากมันราวกับมันคือสิ่งล้ำค่าหายากยิ่งบนพื้นปฐพีนี้ เขายกมุมปากอย่างพอใจและเดินเข้าไปจัดการกับตนเองให้เรียบร้อย เมื่อเดินออกมายังคงเห็นนางจดๆ จ้องๆ อยู่กับมัน บ้างลูบคลำ เอามือถูๆ หรือไม่ก็บ่นอะไรพึมพำซึ่งเขาก็ฟังไม่ออกอยู่เป็นนาน ด้วยความสงสัยใคร่รู้เขาว่านางพูดอะไรจึงถือวิสาสะเดินเช้าไปใกล้ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ความตามที่ต้องการ ส่วนตัวนางก็ยังนั่งหลับตาท่องคำอะไรสักอย่าง ทว่าความอดทนของคนย่อมมีวันสลายและยิ่งเป็นเรื่องที่เขาสนใจอยู่ด้วยแล้ว ย่อมมิอาจทานทนเสียงเรียกร้องจากความกังขาได้ จึงเอ่ยขึ้น
" แม่นางเจ้ากล่าวสิ่งใดหรือ " เสียงนี้ถึงไม่ดัง แต่เป็นดั่งเสียงวิญญาณที่หลอกหลอนปิ่นหยกให้ตกใจสะพรึงกลัวราวกับเจอผีกลางวันแสกๆ เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจและคำต่อว่าก็ดังขึ้นเพียงไม่กี่คำสองแขนก็เหวี่ยงออกไปตีที่ลำตัวของหวงเจียวหลุนทั้งๆ ที่ยังหลับตา ไม่กล้ามองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของตน
" กรี๊ด!!! ไอ้บ้ากาม ไอ้โจรปล้นสวาท " เสียงกรีดร้องของปิ่นหยกทำให้หวังเฟิงและองครักษ์รีบกรูกันเข้ามาภายในอย่างรวดเร็ว
" องค์ชายเก้า องค์ชายเป็นอะไรหรือไม่พะยะค่ะ อ๊ะ!! " หวังเฟิง ขันทีผู้ภักดีรีบเข้ามา แต่สายตากับเห็นสตรีร่างบาง หน้าตาสะสวยกำลังทำร้ายร่างกายขององค์ชายเก้าผู้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์
" บังอาจนัก ทหารรีบจับตัวนางเร็ว " เสียงสั่งการอย่างเร็วของหวังเฟิง ทำให้ปิ่นหยกตกใจ แข็งค้างอยู่กับที่ทำอะไรไม่ออก ใบหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม หวงเจียวหลุนย่อมรู้ว่านางคิดอย่างไร จึงหันไปตวาดทหารที่ก้าวเข้ามา
" หยุด! ใครใช้ให้พวกเจ้าเข้ามา บังอาจนัก " เสียงตวาดที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักทำให้ทหารรีบคุกเข่าน้อมรับความผิดที่เข้ามาโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ที่เป็นเจ้าของตำหนัก รวมถึงหวังเฟิงด้วย
" เอ่อ.. กระหม่อม กระ... "
" หยุดหวังเฟิง ข้าสั่งให้เจ้าเข้ามาแล้วรึ "
" ยะ.. ยัง ยังพะยะค่ะ "
" เช่นนั้นแสดงว่าคำสั่งของข้าไม่ศักดิ์สิทธิ์พอที่จะทำให้เจ้าทำตามใช่หรือไม่ "
" มะ..ไม่ ... ไม่พะยะค่ะ องค์ชายโปรดเมตตาด้วยพะยะค่ะ " หวังเฟิงกลัวจนลนลานเพราะผู้เป็นนายไม่พอใจตน และยิ่งช่วงเวลาที่ผ่านมาผู้เป็นนายของตนไม่ค่อยเรียกให้ปรนนิบัติอย่างเคย ทำให้ตนเองกลัวว่าจะถูกปลดหรือไล่ให้ไปอยู่ที่ตำหนักอื่น เขาโขกศีรษะอย่างแรงหลายที และไม่มีทีท่าว่าหวงเจียวหลุนจะสั่งให้หยุด ปิ่นหยกซึ่งยืนดูเหตุการณ์ตกใจกับการกระทำของชายตรงหน้า เพราะตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเห็นใครยอมโขกศีรษะลงพื้น หากจะเคยเห็นก็คงเป็นละครแนวพีเรียดจีนที่เคยดูตามสถานีโทรทัศน์ เธอสตั๊น*ไปหลายนาทีเพราะนอกจากภาพที่ติดตาตรึงใจ เพราะในสมองไม่ได้คิดแค่ดังภาพชายโขกศีรษะ เธอนึกถึงหนังกำลังภายใน ศึกชิงบัลลังก์ แล้วถ้าเธอได้อยู่ที่นี่และวังด้วยแล้วหล่ะก็ เสียงอุทานดังขึ้นเหมือนระฆังพักยกของนักมวย
" อุ๊แม่เจ้า!! ตายแน่อีปิ่น " มือสองข้างป้องปากอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง หวงเจียวหลุนหันมาด้วยท่าทีมึนงง และขมวดคิ้ว
" แม่นางเจ้าเป็นอันใด "
" ทะ.. ท่านบอกว่าท่าน ปะ...เป็นองค์ชายใช่ป่ะ " เขาพยักหน้ารับ
" ท่านอย่าฆ่าข้านะ "
" ฆ่าเจ้า ข้าจะสั่งฆ่าแม่นางด้วยเรื่องอันใด "
" กะ... ก็ ขนาดคนนั้นเข้ามาช่วยท่าน ท่านตวาดนิดเดียวก็โขกศีรษะจนเลือดจะไหลตาย แล้วข้าตีท่านข้าไม่ยิ่งถูกสั่งตัดหัวหรอ " คำพูดของเธอทำให้เขาเข้าใจโดยทันที เขาหันไปมองต้นเหตุของความกลัวของนางโดยทันที
" หยุดได้แล้วหวังเฟิง ส่วนคนอื่นๆ ออกไปให้หมด "
" พะยะค่ะ " ทหารลุกขึ้นคุกเข่าแล้วถอยออกไป ส่วนหวังเฟิงหยุดการกระทำ แต่มิกล้าลุกขึ้น จนต้องให้หวงเจียวหลุนสั่งให้ลุกขึ้นและเงยหน้า เมื่อผู้เป็นนายสั่ง เขาจึงยอมทำตาม และบัดนี้หน้าผากของเขาก็แดงไปด้วยเลือดที่ไหลออกมา ทำให้ปิ่นหยกยิ่งสะพรึงกลัวไปใหญ่
" หวังเฟิงเจ้าไปจัดการใบหน้าให้ดี แล้วเตรียมอาหารเข้ามาให้ข้าได้แล้ว "
" ขอรับองค์ชาย " เขาถอยหลังและโค้งคำนับพร้อมกับรีบไปทำตามคำสั่งโดยด่วน ปิ่นหยกเมื่อเห็นว่าคนที่ชื่อหวังเฟิงออกไปแล้ว ภายในห้องกว้างใหญ่นี้เหลือเพียงตนเองและชายรูปร่างใหญ่ อ้วน เพียงลำพัง ความหวาดหวั่นก็ก่อตัวเป็นเมฆดำอีกครั้ง สองขาถอยเข้าใกล้กระจกเงาที่เป็นชนวนสำคัญให้ตัวเธอมาที่นี่และนี่ก็เป็นกุญแจที่จะเปิดประตูต้อนรับการกลับไปยังโลกอันโสภาของเธออีกครั้ง เขาหันไปมองอากัปกริยาของนาง นางจ้องกลับเป็นนาน นัยน์ตาคู่หนึ่งสงสัย และสงสารควบคู่ไป แต่อีกนัยน์ตาคู่หนึ่งหวาดหวั่นและวิตกกังวล แน่นอนย่อมเป็นหวงเจียวหลุนที่ต้องการทำลายกำแพงที่มองไม่เห็น เชาเดินเข้าไปใกล้แต่ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากเสียงขันทีนามว่าหวังเฟิงขอเข้ามายังตำหนักอีกครั้ง พร้อมกับนางข้าหลวงที่ถืออาหารเลิศรสเข้ามาอย่างพร้อมเพียง อาหารไม่ได้มีเพียงแค่ 3-4 อย่าง ดังที่สมควรกินกันแค่ 2-3 คน แต่อาหารที่นางข้าหลวงยกมานั้นราวกับมีนักชิมมาลิ้มลองและพร้อมจะมอบรางวัลสำหรับมื้อนี้เพราะแค่มองการจัดวางยังสวยงามอย่างกับอาหารเหลาแล้ว คาดว่ารสชาติก็คงจะไม่แพ้กันเป็นแน่
***********************************
*** สตั๊น (Stun) คือ อากัปกิริยาของอาการมึนหัว มึนงง ตะลึง (เป็นกริยาหนึ่งในเกม ที่ผู้นำมาใช้กันโดยทั่วไป เช่น สตั๊นไป 5 วิ)