สามสิบนาทีต่อมา...
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เมลิสสาก็เดินออกมาที่ด้านนอก เตรียมจะไปรับทานอาหารที่อันนาเอากลับไปอุ่นให้ใหม่ แต่ทว่า...ปีศาจร้ายดันเปิดประตูเข้ามาพอดี
“นี่เธอยังไม่ได้กินข้าวอีกเหรอ?” คาเรนเทียจ้องมองเรือนร่างบอบบางที่เต็มไปด้วยสัดส่วนอันเย้ายวน ภายใต้ชุดเดรสสีเหลืองอ่อนเข้ารูปยาวประเข่าอย่างรู้สึกทึ่ง แม้ว่าชุดที่ใส่จะเป็นแค่ชุดลำลองทั่วๆ ไป และคนที่ใส่ก็ไร้ซึ่งการแต่งแต้มเครื่องสำอางบนใบหน้า แต่มันกลับทำให้ชวนมองจนไม่อยากที่จะละสายตาไปไหนได้
“เอ่อ...กะ...กำลังจะกินค่ะ” เมลิสสาถึงกับสั่นจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นร่างสูงเดินตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“เมื่อกี้ฉันบอกว่ายังไง” คาเรนเทียดึงเจ้าสาวเข้ามาถาม พร้อมกับจ้องมองด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“เอ่อ...” เมลลิสาน้ำตาคลอขึ้นมาทันใด กลัวว่าจะถูกคนตรงหน้าทำเหมือนชั่วโมงก่อน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อกๆ
“ขออนุญาตค่ะ” อันนาเอ่ยพร้อมกับแอบเงี่ยหูฟังอยู่ที่ด้านนอกอย่างรอลุ้นว่าผู้เป็นนายจะขานรับหรือเปล่า?
“เข้ามา” คาเรนเทียกลอกตาอย่างเซ็ง เพราะกำลังจะก้มลงหอมที่แก้มนวล แต่ดันถูกขัดจังหวะซะก่อน
“ดิฉันเอาอาหารไปอุ่นค่ะ” อันนายกถาดใส่อาหารเดินเข้ามาพร้อมกับไมย่าด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“วางไว้ตรงนั้น เดี๋ยวฉันจะจัดการต่อเอง” คาเรนเทียหันไปบอก
“ค่ะ” อันนากับไมย่าวางถาดเอาไว้ที่โต๊ะ แล้วรีบพากันเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“ฮึก...หนูกำลังจะกินค่ะ” เมลิสสาบอกทั้งน้ำตา พร้อมกับขยับออกห่างจากร่างสูง
“มานั่งตรงนี้” คาเรนเทียถอนหายใจอย่างรู้สึกเพลียๆ ที่สาวเจ้าหวาดกลัวตนจนเกินเหตุ
“ยะ...อย่าทำอะไรหนูอีกเลยนะคะ” คนที่ไม่มีทางหนีและทางสู้ รีบยกมือไหว้ขอความเห็นใจ
“จะมาดีๆ หรือว่าจะต้องรอให้ฉันโมโหก่อนแล้วค่อยมา” คาเรนเทียขู่ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะ แล้วหยิบจานใส่อาหารออกวางรอ เมลิสสาทำใจเดินตามเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย
“กินซะ! จะได้กินยาต่อ” คาเรนเทียบอกก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งกินอาหารด้วย เพื่อให้สาวเจ้าผ่อนคลาย
“ค่ะ” เมลิสสาพยักหน้ารับ แล้วหยิบช้อนมาตักซุปครีมเห็ดชิม
“เธอชอบอาหารอะไร?” คาเรนเทียถามพร้อมกับยกจานที่ใส่เนื้อสเต๊กชั้นดีมาหั่นให้สาวเจ้า
เมลิสสามองการกระทำของคนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างรู้สึกมึนงง “อะ...อาหารไทยค่ะ”
“เป็นลูกครึ่งไทยงั้นเหรอ” คาเรนเทียแสร้งถามทั้งๆ ที่เพิ่งจะเปิดอ่านแฟ้มประวัติของสาวเจ้ามาเมื่อครู่
“ค่ะ” เมลิสสาพยักหน้ารับ
“ฉันเสียใจด้วยนะ เรื่องพ่อกับแม่ของเธอ” คาเรนเทียเอ่ยพลางลูบไล้ ที่ข้อมือบางเบาๆ อย่างปลอบโยน
“ขอบคุณค่ะ” เมลิสสายิ้มบางๆ ให้กับชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่
“เธอชอบเมนูไหนเป็นพิเศษ” คาเรนเทียถามก่อนจะปล่อยมือจากสาวเจ้า แล้วยกสเต๊กที่หั่นเสร็จไปวางให้
“หมายถึงอาหารไทยเหรอคะ” เมลิสสาหยิบส้อมมาจิ้มเนื้อนุ่มๆ ที่ อีกฝ่ายหั่นให้ ขึ้นมากินอย่างรักษามารยาท
“ใช่” คาเรนเทียยิ้มก่อนจะลงมือหั่นสเต๊กของตัวเอง
“เอ่อ...ขนมจีนน้ำยาป่าที่ใส่...เอ่อ...เท้าไก่ค่ะ” คนที่โตมากับอาหารไทยหลากหลายเมนูบอกด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
“โอ้พระเจ้า! ไก่ทั้งตัว เธอใส่แต่เท้าของมันแค่นั้นเหรอ?” คาเรนเทียขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
“ค่ะ” เมลิสสาอมยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มทำหน้าเหวอ
“ฉะ...ฉันไม่มีทางจะกินมันลงแน่ๆ”
“คิกๆๆ” เมลิสสาหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของอีกฝ่าย
“มีรูปให้ดูไหม?” คนที่ยังไม่หายคาใจกับเมนูสุดแปลกถามขึ้นอีกครั้ง
“มีค่ะ อยู่ในมือถือของหนู” เมลิสสาบอกพลางมองหามือถือของตัวเองที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
“อยู่นี่” คาเรนเทียเดินไปหยิบมือถือที่ชาร์จทิ้งไว้ มาส่งให้
“ขอบคุณค่ะ” เมลิสสารับมา แล้วรีบกดรหัสปลดล็อกหน้าจอ
“ถ้าเธอส่งข้อความบอกใครเกี่ยวกับเรื่องของเรา สาบานได้ว่าพรุ่งนี้คนคนนั้นจะต้องตาย” คาเรนเทียเอ่ยดักทาง
“หนูจะไม่บอกใครค่ะ สะ...สัญญา” เมลิสสาให้คำมั่น
“ฉันไม่ชอบคนผิดสัญญา เธอจะอยู่ที่นี่ในฐานะผู้หญิงของฉัน อันนาจะเป็นเพื่อนกับเธอ หวังว่าหนึ่งเดือนต่อจากนี้เราจะอยู่กันโดยไม่มีปัญหา”
“เอ่อ...แล้วคุณจะฆ่าหนูไหม ถ้าเกิดว่าครบหนึ่งเดือนแล้ว ตรงนั้น...มันไม่ปกติ” เมลิสสากัดฟันถามอย่างอยากรู้
“ฉันจะไม่ทำอะไรถ้าเธอทำตัวน่ารักๆ”
“จริงๆ นะคะ”
“จริง! เจอรูปเมนูโปรดของเธอหรือยัง” คาเรนเทียรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะกลัวว่าสาวเจ้าจะรู้ว่าจริงๆ แล้วตนไม่ได้เป็นอะไร แถมยังคึกคักกว่าทุกๆ ครั้งเสียด้วยซ้ำ
“นี่ค่ะ” เมลิลสาส่งมือถือให้อีกฝ่ายดูเมนูโปรด
“พระเจ้า! ไม่อยากจะเชื่อ เธอกินมันลงได้ยังไงกัน” คาเรนเทีย อ้าปากค้างอย่างรู้สึกช็อก ที่เห็นเท้าไก่นับสิบ! ซ้อนทับกันอยู่ในชามใบใหญ่
“มันเป็นเมนูที่หนูชอบที่สุดค่ะ” เมลิสสาบอกอย่างรู้สึกขำ กับคนไทยมันคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กับคนต่างชาติคงเป็นอะไรที่พิลึกน่าดู
“อร่อยงั้นเหรอ?”
“ค่ะ แต่คุณอาจจะไม่ชอบ”
“ฉันอาจจะชิมตรงส่วนที่เป็นน้ำซุปดู” คนที่พยายามจะซึมซับตัวตนของสาวตรงหน้า บอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“คิกๆๆ” เมลิสสาหลุดหัวเราะออกมาอย่างเบรกไม่อยู่ กับคำตอบที่เหมือนกับมีใครสักคนไปบังคับให้เขาต้องกิน!
“ฉันพูดจริงๆ นะ”
“ไม่มีใครบังคับให้คุณกินค่ะ” เมลิสสาตักสลัดผลไม้มากินต่ออย่างอารมณ์ดี
“เธอไง” คาเรนเทียบอกก่อนจะจิ้มเนื้อนุ่มๆ มากิน แล้วทำทีเป็นมองนู่นมองนี่แก้เขิน
“หนูไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกค่ะ”
“ฉันชอบให้เธอหัวเราะ มากกว่าร้องไห้” คนที่อยากจะสงบศึกบอกเสียงอ่อน
“ไม่มีใครอยากจะร้องไห้หรอกค่ะท่าน ถ้าหากว่ามันไม่สุดแล้วจริงๆ” เมลิสสาบอกพลางแสร้งมองไปทางอื่น
“เธออยากไปชมกรุงมอสโกยามค่ำคืนหรือเปล่า” คาเรนเทียรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไปได้เหรอคะ” เมลิสสาเลิกคิ้วถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ได้สิ แต่ตอนนี้เธอต้องกินข้าวเยอะๆ แล้วก็กินยา จากนั้นก็นอนพัก แล้วค่ำๆ เราค่อยออกไปเที่ยวกัน”
“ค่ะ” เมลิสสายิ้มรับอย่างรู้สึกตื่นเต้น เพราะเคยได้ยินเชฟใหญ่พูดถึงกรุงมอสโกให้ฟังบ่อยๆ ว่าทั้งสวยและงดงามกว่าหลายๆ สถานที่ที่เคยไปมา
คาเรนเทียชวนคุยนั่นนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งกินอาหารเสร็จ ก็เอายาให้สาวเจ้ากินต่อ จากนั้นก็พาไปนอนที่เตียง
“เอ่อ...” เมลิสสาตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันใด เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็ตามขึ้นมาซ้อนที่ด้านหลังของเธอ แถมรั้งเอวเข้าไปกอดแนบชิดจนแทบจะรวมร่างเป็นคนคนเดียวกัน
“มีอะไร” คนที่กำลังจะหลับ ลืมตาขึ้นถามอย่างงงๆ
“อะ...เอาแขนออกได้ไหมคะ หนูอึดอัด”
“เดี๋ยวก็ชิน”
“แต่หนูนอนไม่หลับค่ะ”
“งั้น...เราทำอย่างอื่นกันก่อนไหม” คนหื่นกระซิบถาม
“มะ...ไม่ค่ะ หนูจะหลับแล้ว” เมลิสสาขนลุกซู่ไปทั้งเนื้อทั้งตัว
“ฝันดี” คาเรนเทียกดจูบลงที่ต้นคอระหงเบาๆ แล้วซุกหน้าดอมดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญิงสาว ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
เมลิสสาพยายามข่มตาให้หลับ แต่ทว่า...น้ำคำและสัมผัสที่เปลี่ยนไปราวคนละคนกับเมื่อชั่วโมงก่อน มันทำให้เธอรู้สึกสับสน มึนงง และหัวใจเต้นแรงสุดๆ ‘พระเจ้า! หวังว่าเขาคงจะไม่ได้ยินเต้นของหัวใจเรานะ’
19: 07 น. Barlensent Villa...
อันนาจ้องมองหญิงสาวที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยชุดของห้องเสื้อแบรนด์ดัง ที่ถูกส่งมาหลายสิบชุดเมื่อชั่วโมงก่อน อย่างรู้สึกชื่นชม
“เอ่อ...ฉันดูเป็นยังไงบ้างคะอันนา” เมลิสสาขอความเห็นหลังจากที่อีกฝ่ายเอาแต่ยืนมองอยู่เกือบนาที
“สะ...สวยที่สุดเลยค่ะคุณมิรา” อันนาบอกก่อนจะตกใจ เมื่ออยู่ๆ ประตูห้องถูกเปิดออก
คลิก!
“พร้อมหรือยัง?” คาเรนเทียเอ่ยถามเสียงเข้มขณะมองสำรวจเรือนร่างบอบบางในชุดเดรสสีขาวนวลเข้ารูป ที่ทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอันเย้ายวนชัดเจนจนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ
“ค่ะ” เมลิสสาพยายามข่มอาการเนื้อเต้นภายในใจ เมื่อเห็นหนุ่มหล่อตรงหน้าแต่งตัวเนี้ยบราวกับเจ้าชาย ‘บ้าจริง! เขาแค่พาไปเที่ยว ไม่ได้พาไปออกเดตสักหน่อย จะตื่นเต้นทำไมฮะมิรา!’
“เที่ยวให้สนุกนะคะ” อันนากระซิบบอกคนรักของเจ้านายเบาๆ
“ขอบคุณค่ะ” เมลิสสาส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเดินเข้าไปหาเทพบุตรสุดหื่น เอ๊ย! สุดหล่ออย่างอายๆ
“เชิญครับ” คาเรนเทียฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นแก้มนวลแดงระเรื่อขึ้นมานิดๆ
“ค่ะ” หญิงสาวขานรับก่อนจะออกเดินตามร่างสูงลงบันไดหินที่แกะสลักด้วยลวดลายอันแสนงดงามอย่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ตั้งแต่ที่รู้สึกตัว เธอก็อยู่แต่ในห้องนอน เลยไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ ใหญ่โตราวกับปราสาทพระราชวัง “ทะ...ที่นี่กว้างจังเลยนะคะ”
“อืม...เล็กกว่าบ้านที่อังกฤษนะ ที่นี่มีแค่ 15 ห้องนอน บวกห้องอื่นๆ อีก 10 ห้อง” คนที่เกิดและโตมาในปราสาทแห่งนี้หันมาตอบ
“เอ่อ...แล้วท่านอยู่คนเดียวเหรอคะ”
“ไม่! จริงๆ มีพ่ออยู่ด้วยอีกคน แต่ช่วงหลังๆ ท่านชอบอยู่ที่เกาะน่ะก็เลยไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว”
“รถพร้อมแล้วครับบอส” แอนดรูรีบรายงานเมื่อเห็นผู้เป็นนายพาสาวที่สวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์เดินลงมาถึงด้านล่าง
“ขอบใจมากวันนี้ไม่ต้องตาม” คนที่อยากใช้เวลาส่วนตัวกับสาวโดยไร้คนติดตาม ยื่นมือไปรอรับกุญแจรถสปอร์ตคู่ใจ
“แต่ว่า...” แอนดรูพยายามจะท้วงแต่ก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันหรอกน่า”
“ก็ได้ครับ” แอนดรูจำใจส่งกุญแจรถให้กับผู้เป็นนายอย่าเลี่ยงไม่ได้
“อ้อ! นี่แอนดรู คนสนิทของฉัน” คาเรนเทียรับกุญแจมาถือก่อนจะหันไปแนะนำสาวข้างกายให้รู้จักกับคนสนิท
“สะ...สวัสดีค่ะคุณแอนดรู” เมลิสสาเอ่ยทักทายพร้อมกับส่งมือไปจับกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีครับคุณมิรา เที่ยวให้สนุกนะครับ” แอนดรูส่งมือไปจับเบาๆ แต่พอหันมาเจอสายตาดุดันของผู้เป็นนายเข้า ก็ถึงกับรู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
“ค่ะ”เมลิสสายิ้มรับ ก่อนจะเหลือบไปมองรถสปอร์ตสีแดงหรูที่จอดอยู่อย่างรู้สึกใจสั่นนิดๆ เพราะไม่เคยนั่งมาก่อน
“ไปกันเถอะ” คาเรนเทียบอกก่อนจะดันร่างบางเข้าไปในรถ เมื่อเห็นสายตาของเหล่าบอดี้การ์ด ที่พาหันมามองนางฟ้าของตน ราวกับคนที่ไม่เคยพบเคยเห็น มันทำให้เขาอยากจะวิ่งไปคว้าปืนกลมากราดยิงให้หายหงุดหงิดซะเหลือเกิน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา... Hotel National
Aston Martin สีแดงสดเคลือบแก้ว รุ่น Vulcan (มีเพียง 24 คัน ในโลก) แล่นเข้ามาที่หน้าโรงแรมหรูใจกลางกรุงมอสโกด้วยความเร็ว
เมลิสสาจ้องมองความงดงามของยุคเก่าอย่างรู้สึกหลงใหล
“สวัสดีครับคุณคาเรน ว้าว! วันนี้พาเอ่อ...” ผู้จัดการโรงแรมเอ่ยทักทายลูกค้าวีไอพี ก่อนจะสะดุดสายตาเข้ากับหญิงสาวข้างกาย
“ผมพาคนรักมาดินเนอร์ครับ” คาเรนเทียบอกพร้อมกับโอบกระชับเอวบางเข้าหาตัว
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่เลือกโรงแรมของเรา” ผู้จัดการโรงแรม ก้มโค้งนิดๆ ก่อนจะผายมือเชิญ คาเรนเทียอมยิ้มบางๆ ก่อนจะพาสาวข้างกายเดินตามเข้าไปด้านใน
เมลิสสารู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า เธอไม่รู้หรอกว่าทั้งสองพูดคุยหรือทักทายอะไรกัน รู้เพียงแค่ว่าการกระทำที่เขาแสดงออกมันทำให้เธอรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก “เอ่อ...ที่นี่สวยจังเลยนะคะ”
“ใช่ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วฉันจะพาไปเดินชมสถานที่สำคัญๆ ของที่นี่ต่อ” คาเรนเทียบอกอย่างอารมณ์ดี แม้จะแอบหงุดหงิดนิดๆ ที่เห็นเหล่าพนักงานและคนอื่นๆ จ้องมองสาวข้างกายนานๆ
“ค่ะ” เมลิสสายิ้มรับก่อนจะเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายขยับให้
“ไม่รู้ว่าเมนูที่ฉันสั่งไว้ จะสู้ซุปเท้าไก่ของเธอได้หรือเปล่า ยังไงก็...ฝืนๆ ทานไปก่อนแล้วกัน” คาเรนเทียกระซิบหยอกเพื่อให้สาวเจ้าผ่อนคลาย
“คิกๆๆ” เมลิสสาหัวเราะเบาๆ กับคารมของหนุ่มตรงหน้าที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีเวอร์ชั่นนี้
“ขออนุญาตครับท่าน” พนักงานเสิร์ฟเอ่ยขึ้นหลังจากที่ลูกค้าวีไอพีของร้าน นั่งลงที่โต๊ะ
“เชิญ” คาเรนเทียพยักหน้าให้พนักงานรินไวน์ที่โทรมาสั่งให้เปิดเอาไว้เมื่อชั่วโมงก่อน
เมลิสสาคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินเสียงเปียโนและเชลโล บรรเลงเพลง Perfect ของ Ed Sheeran ที่เธอชื่นชอบ ขณะที่อาหารเมนูต่างๆ ถูกวางลงบนโต๊ะ ท่ามกลางสายตาของของหนุ่มหล่อที่เอาแต่จ้องมองเธอเหมือนจะ กลืนกิน และนั่นทำให้ภาพต่างๆ ที่เปลือยบนเปล่าบนเตียงของเขากับเธอ แทรกผ่านเข้ามาฉายซ้ำในม่านตาอีกครั้ง
“เธอสวยมากๆ เลย”
“ขอบคุณค่ะ” เมลิสสารู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายหายไปในอากาศเสียให้ได้
“พระเจ้า! ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่นั่งอยู่กับสาวที่สวยที่สุดในห้องอาหารแห่งนี้คือพี่คาเรน” คริสเตียนโน่ บาร์เลนไทน์ (หนึ่งในสมาชิกฟีนิกซ์ #ฟีนิกซ์ 2) ที่เพิ่งจะกลับมาจากไทยมาถึงมอสโกเมื่อชั่วโมงก่อน เอ่ยแซว หลังจากที่เห็นญาติผู้พี่เดินเข้ามาในห้องอาหารพร้อมกับสาวไซซ์มินิที่สวยจน...หยุดสิ่งมีชีวิตในห้องอาหารแห่งนี้ ให้ลืมหายใจกันไปชั่วขณะ
“คริส!” คาเรนเทียหันไปมองอย่างรู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าจะมาเจอ อีกฝ่ายที่นี่ (ตระกูลบาร์เซนต์กับตระกูลบาร์เลนไทน์เป็นตระกูลพี่-ตระกูลน้องที่เก่าแก่ที่สุดของมอสโก ซึ่งคบหากันมานานหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งมาถึงรุ่นของ ‘วินเซ่น’ บิดาของคาเรนเทีย กับ ‘ดันเต้’ บิดาของคริสเตียนโน่ในปัจจุบัน)
“ใช่! ผมเองครับ” คนหล่อหน้าทะเล้นที่อายุน้อยกว่าสองปี ทำเนียนดึงเก้าจากโต๊ะข้างๆ มานั่งจ้องมองคู่เดตของญาติผู้พี่ด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม
“เราย้ายร้านกันเถอะ” คาเรนเทียบอกพร้อมกับเตรียมจะลุกขึ้น
“สาบานว่าถ้าพี่ทำแบบนั้น ผมจะตามพี่ไปทุกที่เหมือนเงาตามตัวเลย” คริสเตียนโน่รั้งแขนของญาติผู้พี่ให้นั่งลงเช่นเดิม
“ให้ตายสิ! ฉันพาสาวมาออกเดตอยู่นะ” คาเรนเทียบอกด้วยสีหน้าตึงๆ ไม่ชอบสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองผู้หญิงของตน
“อย่ามานอกเรื่องครับ รีบๆ แนะนำสาวคนนี้ให้ผมรู้จักเร็ว” คริสเตียนโน่บอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
คาเรนเทียถอนหายใจ ก่อนจะกัดฟันเอ่ยแนะนำ “นี่เมลิสสา แอนดิสัน เป็นคนรักของฉัน ส่วนนี่ คริสเตียนโน่ บาร์เลนไทน์ เป็นญาติที่กำลังจะเลิกคบหากันเร็วๆ นี้”
“ฮ่าๆๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับเมลิซ่า เรียกผมว่าคริสก็ได้ครับ” คนหน้ามึนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ รีบส่งมือไปจับทักทายกับสาวสวย
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณคริส” เมลิสสาเอื้อมไปจับอย่างรู้สึกอายและขำที่อีกฝ่ายเรียกเธอว่าเมลิซ่าเหมือนกับคนอื่นๆ
“ฉันว่าแกกลับไปนั่งที่โต๊ะได้แล้ว” คาเรนเทียพยายามข่มอารมณ์ที่เดือดพล่านในใจให้เย็นลง เพราะสายตาของใครต่อใครในห้องอาหารแห่งนี้ กำลังจับจ้องมายังตน
“แหม...ผมมาคนเดียวครับ ขอนั่งด้วยคนสิ” คนที่นานๆ จะได้เห็นญาติผู้พี่ออกอาการหึงหวงสาว จึงเอ่ยหยอกต่ออย่างนึกสนุก
“เฮ้! นี่แกไร้มารยาทไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” คาเรนเทียเริ่มจะหัวเสีย เพราะกะจะทำหวานให้สาวประทับใจ แต่ดันมาเจอคนที่รู้เช่นเห็นชาติกันมาตั้งแต่เด็กเข้าซะก่อน
“คนกันเอง ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ จริงไหมครับเมลิซ่า” คริสเตียนโน่ หันไปขอเสียงสนับสนุนจากหญิงสาว
“เอ่อ...ค่ะ” เมลิสสาตอบเสียงเบา ก่อนจะแสร้งหันไปมองทางอื่นเพื่อหลบสายตาดุๆ ของคนตรงหน้า
“โอ้พระเจ้า! พี่เห็นไหม เธอยิ้มให้ผมด้วย” คริสเตียนโน่แกล้งยั่วเพราะอยากจะเช็กอาการของญาติผู้พี่ที่มีต่อหญิงสาว ที่ไม่แน่ใจว่าอายุจะถึง 19 หรือยัง
“มิรา! อย่า-ยิ้ม-ให้-มัน ส่วนแกถ้ายังเสนอหน้าอยู่นี่ล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่” คาเรนเทียกัดฟันบอกสาวซื่อเสียงเย็น ก่อนจะหันไปคาดโทษญาติผู้น้อง
“ฮ่าๆๆ โอเคๆ ผมขอตัวก่อนนะครับ” คนที่รู้ตัวว่าขืนอยู่ต่อต้องเจ็บหนัก เลยรีบลุกขึ้นพร้อมกับเก็บเก้าอี้เข้าโต๊ะข้างๆ เช่นเดิม จากนั้นก็เดินออกห้องอาหารไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“พระเจ้า! ฉันขอโทษที่อารมณ์เสีย” คาเรนเทียบอกอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้เสียบรรยากาศ
“ไม่เป็นไรค่ะ” เมลิสสายิ้มให้กำลังใจ
“เราย้ายร้านกันเถอะ”
“ตะ...แต่ญาติของท่านไปแล้วนะคะ”
“นี่เธอมองตามมันอย่างนั้นเหรอ” คนขี้หึงตาขวางขึ้นมาทันทีทันใดที่ได้ยินประโยคไม่เข้าหู
“ทางออกมันอยู่ด้านหลังของท่านค่ะ” เมลิสสามองค้อนคน เจ้าอารมณ์อย่างรู้สึกนอยด์ๆ
“ให้ตายสิ! ฉันงี่เง่าอีกแล้วใช่ไหม” คาเรนเทียจับข้อมือบางพร้อมกับทำหน้าเศร้า
“เรากินกันเถอะค่ะ เดี๋ยวอาหารจะเย็น” เมลิสสาอมยิ้มเมื่อเห็นคนหล่อส่งสายตามาอ้อน
“ครับ” คาเรนเทียคลี่ยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนจะตักเมนูโปรดที่เคยมากินเป็นประจำให้สาวเจ้าลิ้มลอง แล้วชวนคุยเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตรต่อ