ตอนที่ 20 หยดเทียนกับการช่วยเหลือของนายท่าน (2)

3220 Words
บนรถยนต์คันหรูของบ้านสกุลวัฒนาที่นายท่านอนุญาตให้นำออกมาใช้งาน ประกอบไปด้วยบอดี้การ์ดหนึ่งนายนามว่าวาด รับหน้าที่เป็นคนขับรถ ถัดสายตาไปด้านข้างคนขับคือพ่อบ้านที่แต่งตัวเรียบร้อยนั่งหน้านิ่งอย่างสุขุมเดาอารมณ์ไม่ถูก และหันไปมองด้านหลังจะเห็นเป็นโอเมก้าน้อยที่นั่งเกาะแขนพี่ชายแน่น หวาดกลัวคนแปลกหน้าที่อยู่บนรถซ้ำยังเป็นอัลฟ่าอีก ท่าทางก็ดูพิลึกพิลั่นโดยเฉพาะเด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่ชายของตัวเองอีกฟากหนึ่ง “นี่เธอจะกลัวอะไรขนาดนั้น เราไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย” เรย์ยื่นคอมองร่างน้อยที่กอดแขนพี่ชายอย่างติดหนึบแล้วขมวดคิ้วพูด หยดน้ำเหลือบตามองต้นเสียงเพียงเสี้ยววิก่อนจะซุกหน้าเข้าซอกแขนหยดเทียนอย่างไวเพื่อหลบสายตา “พูดด้วยก็ไม่ยอมพูด” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำพลางกอดอกเหนื่อยใจที่เสียงของตนกลายเป็นอากาศธาตุ รถยนต์คันสีดำหรูเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของคนสวนประจำบ้านสกุลวัฒนา ในระหว่างทางก่อนจะมาถึงที่นี่ หยดเทียนได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พ่อบ้านฟังอย่างละเอียดแต่ก็เลี่ยงเรื่องที่น้องชายเกือบโดนข่มขืนเอาไว้ พ่อบ้านที่พอมองออกว่าสิ่งที่ลูกน้องเล่ามีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้น แต่ทว่าฮันก็ไม่ได้ซักถามต่อ พี่น้องสองหยดและเรย์เดินลงมาจากรถ แล้วยืนรอพ่อบ้านที่กำลังตระเตรียมแผนการกับบอดี้การ์ดอยู่ในรถราวสามนาทีจึงก้าวขาลงมา “แล้วพี่คนนั้นไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” พ่อบ้านยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “มีแค่ผมกับเด็กฝึกงานครับ” ‘โคตรเท่เลย’ เบต้ามองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินผ่านประตูรั้วบ้านเข้าไปอย่างปลาบปลื้ม ดูเพียงผิวเผินก็เป็นแค่ชายชราที่ดูนิ่งๆ คนหนึ่งแท้ๆ ทว่ากลับพกความอลังการงานสร้างยัดเข้ากระเป๋ากางเกงมาด้วย ยกตัวอย่างเช่นท่าทีเยือกเย็น น้ำเสียงที่เอ่ยด้วยความเบาสบายใจราวกับไม่เกรงกลัวอันตรายที่กำลังเจอ ทั้งสี่คนเดินเข้ามาในบ้าน โดยมีหยดเทียนเป็นคนนำเข้ามาพร้อมด้วยน้องชายที่เกาะหนึบข้างกาย มีเรย์และพ่อบ้านเดินประกบหลัง ทันทีที่หยดเทียนเปิดประตูเข้ามาและเห็นภาพที่อยู่ต่อหน้า เขาก็ถอนหายใจทันทีเมื่อทุกสิ่งเป็นดังที่คิดไว้ไม่มีผิด ด้วยขณะนี้มีชายฉกรรจ์ราวห้าคนนั่งล้อมวงก๊งสุรากันอย่างสำราญใจ โดยมีมารดาของตนนั่งร่วมวงอยู่ด้วย หญิงวัยกลางคนผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สายตาเหม่อลอยคล้ายคนเมา หยดเทียนมองด้วยตาเปล่าก็รู้แล้วว่าเธอเพิ่งกลับมาจากคลับ อุ่นทิพย์หุบยิ้มทันที เมื่อเหลือบเห็นลูกชายที่ไม่ลงรอยกันยืนตระหง่านอยู่หน้าประตู หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน นั่นเป็นเพราะหยดเทียนมักจะเลือกเวลาที่เธอไม่อยู่กลับบ้านกลับมาเยี่ยมน้องชาย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องเกิด จึงหาได้ยากนักที่จะเห็นพวกเขาทั้งสองคนนั่งร่วมโต๊ะกันทานข้าว อุ่นทิพย์วางแก้วสุราในมือลง ก่อนจะสลัดสายตาจากลูกชายคนโตแล้วหันไปสนใจร่างเล็กที่หลบอยู่ด้านหลังหยดเทียนแทน “ไปไหนมาวะไอ้น้ำ จานชามไม่เก็บ บ้านก็ไม่กวาดปล่อยให้มันรกเต็มพื้นหมด” “พี่เทียน..” หยดน้ำที่ยืนเกาะชายเสื้อคนพี่เอ่ยเสียงเบาด้วยความครั่นคร้ามสายตาของพวกอัลฟ่าที่จ้องแต่จะลูบคลำตน อีกทั้งยังกลัวโดนด่าทอจากผู้เป็นแม่ “ไม่เป็นไรนะ น้ำไม่ต้องพูดอะไรเดี๋ยวพี่คุยกับแม่เอง” เบต้าเอี้ยวหน้าหันไปคุยกับน้องชายก่อนหยดน้ำจะพยักหน้าตอบ “ผมพาน้องมาเก็บข้าวของครับ จากนี้น้องจะย้ายมาอยู่กับผม” ท่าทางและสีหน้าดูจริงจังกว่าปกติ ทำให้อุ่นทิพย์ที่กระดกสุราเข้าปากรีบกลืนมันลงคอแทบสำลัก เมื่อได้ยินว่าลูกชายคนเล็กจะโดนพาตัวไปอยู่ที่อื่น “ฉันไม่อนุญาตเว้ย!” “งั้นแม่ก็ไล่พวกนี้ออกไปให้หมดสิครับ แล้วอย่าให้พวกมันมาที่นี่อีก” “แกเป็นเจ้าของบ้านนี้หรือไงถึงกล้ามาสั่งฉันห้ะ!” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปมทันทีที่ได้ยินประโยคที่ออกมาจากปากมารดา เธอจะไม่รู้ความจริงเลยหรือว่าอัลฟ่าที่นั่งข้างๆ คือคนที่จะกระทำชำเราลูกของตัวเอง “แต่มันจะทำร้ายน้องนะครับ! แม่จะยังปกป้องมันอีกเหรอ” “อึก ทำร้ายที่ไหนกันวะไอ้เทียน! คนเขาแค่จะช่วย แกนี่ยังชอบหาเรื่องคนอื่นอยู่อีกเหรอวะ!” “มันบอกแม่แบบนั้นเหรอ” เขาว่าพลางหันหน้าไปหาตัวต้นเหตุ “พี่ไม่ได้จะทำร้ายนะครับน้องเทียน พี่ก็แค่อยากช่วยคนที่ล้มต่างหากละครับ” ธามที่นั่งยิ้มเยาะพอใจเอ่ยปากแทรกบทสนทนา “น้องพ่อมึงสิ! กูเป็นพี่ชายคนโตเว้ยไอ้ควาย” “ไอ้เทียน! อย่ามาปากหมาแถวนี้นะ” หยดเทียนขบกรามแน่นด้วยความโกรธ แม้จะคิดอยู่แล้วว่าต่อให้ผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไรตนก็จะพาน้องชายย้ายไปอยู่ด้วยอยู่ดี แต่ก็ไม่คิดว่าแม่แท้ๆ จะเชื่อคำพูดของคนอื่นมากกว่าคำพูดของลูกชายในไส้ “ผมฝากด้วยนะครับพ่อบ้าน” เบต้าหลับตาลงพร้อมพ่นลมหายใจข่มอารมณ์ไว้ แล้ววานให้พ่อบ้านช่วยกันพวกอันธพาลที่จะตามตนขึ้นไปข้างบน และรีบคว้ามือเล็กขึ้นไปเก็บข้าวของบนห้องชั้นสอง ธามที่เห็นดังนั้นก็ส่งสัญญาณสายตาให้ลูกน้องรีบตามขึ้นไป แต่ทว่าโดนพ่อบ้านขัดขึ้นมาก่อน “ขอความกรุณารออยู่ด้านล่างด้วยครับ” ฮันเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เป็นมิตร ทำให้คนที่กำลังเดินตามไปหยุดชะงักแล้วหันมาหัวเราะลั่น “อะไรวะไอ้แก่ อยากตายหรือไง” เหล่าอัลฟ่าตัวสูงท่วมท้นจ้องมองมายังจุดเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง พลางนึกเวทนาในใจหากต้องมาทำร้ายชายที่ใกล้วัยชราภาพและเด็กหนุ่มที่เพิ่งโต “พ่อบ้านครับ ระ เราจะเอาอยู่จริงๆ หรือครับ” เรย์กระซิบเบาที่ข้างหูด้วยความไม่มั่นใจ ชายฉกรรจ์ร่างโตห้าคนกับฝั่งตนที่มีกันเพียงสองหน่อจะสู้อย่างไรไหว แม้เด็กหนุ่มจะพอทราบมาบ้างว่าพ่อบ้านมีวิชาต่อสู้ที่เก่งกาจกระทั่งนายท่านยังยอมรับ แต่ไม่ใช่กับเขาที่ชำนาญการเตะต่อยเพียงพื้นฐาน พอปกป้องตัวเองจากพวกนักเลงหัวไม้ตัวเล็กตัวน้อยได้ แต่ไม่ใช่กับพวกกล้ามปูอกเท่าหัวคนเช่นนี้ และจะให้พ่อบ้านทั้งสู้ทั้งปกป้องตนก็ไม่ได้ เรย์หวั่นผวาจนเหงื่อแตกซ่านไปทั้งตัว “ไม่ต้องห่วง จะไม่มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นแน่นอนครับ” แม้สถานการณ์คับขัน ฮันก็ยังคงมีกะจิตกะใจยิ้มแย้มได้อยู่ “จะหลบไม่หลบห้ะ!” ชายหนุ่มรูปร่างสูงซ้ำยังตัวหนาล่ำบึก เดินบริหารคออย่างมั่นใจมุ่งมาหาพ่อบ้านที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ “ยะ หยุดนะเว้ย!” ทันใดนั้นร่างสูงใกล้ 180 เซนติเมตรรีบแทรกตัวปกป้องเข้ามาขว้างพ่อบ้านฮันอย่างกล้าหาญ ผิดกับเสียงสั่นที่เกือบคองไม่อยู่ ทำเอาพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลังตกตะลึงในท่าทางของเด็กฝึกงาน ที่ตนเป็นอาจารย์ฝึกด้วยตัวเองก็คลี่ยิ้มพอใจ แต่ทว่าแม้จะมีความกล้าหาญมากแค่ไหนก็ไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ได้ เพราะเรย์ทั้งเตี้ยและตัวเล็กเกินไป เมื่อเทียบกับหนุ่มกล้ามปูที่ยืนถมึงทึงต่อหน้าได้ เพียงแค่โดนชายตรงหน้ากระชากคอเสื้อขึ้น ตัวของเรย์ก็ลอยเหนือพื้นแม้พยายามยืดเขย่งขา อัลฟ่าคนนั้นหัวเราะในลำคออย่างสมเพชก่อนจะง้างมือหมายจะต่อยเด็กที่ไม่มีทางสู้ เรย์ที่เห็นท่าว่ายังไงตนคงไม่สามารถหลบหมัดหนักได้แน่ๆ ก็หลับตาปี๋พลางเกร็งกล้ามเนื้อหน้ารอจนกรามขึ้นเป็นสันนูน “อะไรวะ!?” ลำแสงขนาดเล็กสีแดงแยงเข้าตาชายที่ง้างมือจะซัดเด็กหนุ่มที่ตนฉุดคอเสื้อขึ้น มันชะงักเล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงดวงตาหลบแสงเลเซอร์ที่ถูกส่องมาแต่ไกล “อยู่นิ่งๆ ดีกว่าครับ จะได้ไม่มีการปะทะกัน” ฮันหัวเราะในลำคอเล็กน้อยพร้อมเอ่ยบอกกับชายหนุ่มที่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนจากสีหน้าตลกขบขันเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวั่นกลัว มือไม้แกร่งก็อ่อนราวสำลีชุบน้ำเปียก เป็นผลให้ร่างที่ลอยเหนือพื้นหล่นลงมา เขาสับขารีบวิ่งไปหลบหลังพ่อบ้านทันที “พ่อบ้านขอมือปืนมาด้วยเหรอครับ” เรย์เขย่งเท้ากระซิบกระซาบถามอย่างตื่นตา เพราะไม่คิดว่าพ่อบ้านจะเล่นใหญ่ถึงขั้นเอามือปืนมาด้วย เหล่าอัลฟ่าอันธพาลที่ตั้งกลุ่มนั่งหัวเราะกันในตอนแรกเริ่มแตกตื่น กรูกันเข้าหาเพื่อนที่ยืนนิ่งเป็นเสา พวกเขามองเห็นจุดสีแดงขนาดเล็กที่ปรากฏอยู่บนกลางหน้าผากซึ่งเป็นจุดตายเป้าใหญ่ ที่ขมวดหน้าบึ้งตึง “มึงทำไรวะ!” ธามผู้เป็นลูกพี่เอ่ยเสียงดังก่อนจะเดินรุกเข้ามาหาพ่อบ้านเพื่อจะเอาความ แต่ทว่าแสงเลเซอร์ที่อยู่บนหน้าผากของลูกน้อง กลับเปลี่ยนทิศทางมาปรากฏอยู่บนหน้าผากของธามแทนเสียอย่างนั้น จนสมุนที่ยืนอยู่ข้างกันปากสั่นท้วงอย่างตกใจ “พี่! มะ มันเปลี่ยนมาอยู่บนหน้าพี่แล้ว!” สิ้นเสียงเตือน อัลฟ่าหัวโจกก็ชะงักฝีเท้าก่อนจะเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยิ้มให้อย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า “ยะ หยุดเดี๋ยวนี้! พวกแกจะมาฆ่ากันตายในบ้านฉันไม่ได้นะ” อุ่นทิพย์ที่นั่งหน้าตื่นด้วยความกลัวลุกขึ้นตะโกนท้วงเสียงดัง เกรงว่าหากไม่ห้ามปรามทั้งสองฝ่ายตอนนี้ บ้านหลังนี้อาจจะเป็นสถานที่นองเลือดก็ได้ “หุบปาก! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันโดนอะไรอยู่ ถ้าไม่อยากโดนไปด้วยก็นั่งอยู่นิ่งๆ ซะ!” ธามตวาดสวนกลับแฟนสาวเสียงดังด้วยความโกรธ ที่โดนหยามเกียรติแต่กลับทำอะไรไม่ได้เพราะความขี้ขลาดในอก เสียงตะคอกดังกล่าวทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังสะดุ้งกลัว แล้วยอมนั่งลงดูเหตุการณ์เงียบๆ “ยืนบื้ออยู่ทำไมวะล็อกตัวมันไว้สิ!” สิ้นคำสั่งของลูกพี่ เหล่าลูกน้องตัวโตที่ยืนหน้าเสียก็รีบกรูกันเข้าไปตามคำสั่ง แต่ทว่าเมื่อชายฉกรรจ์ตั้งท่าจะกรูเข้ามา เสียงทุ้มของพ่อบ้านก็ดังขู่เสียก่อน นั่นจึงทำให้ธามลังเลใจ “หยุดอยู่ตรงนั้นดีกว่าครับ หากเข้ามาใกล้กว่านี้ ผมจะไม่ยั้งมือเช่นกันนะครับ” “หึ! มึงโม้ไปเถอะไอ้แก่ ใกล้ตายอย่างมึงจะทำอะไรได้วะ!” แม้ธามจะเอ่ยเช่นนั้นออกมา แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยว่า ลำแสงที่อยู่บนหน้าผากเป็นลำแสงติดปืนจริงหรือไม่ แต่เพราะมันโดนหักหน้าไม่ได้จึงจำใจต้องออกคำสั่งกับลูกน้อง “เช่นนั้นผมจะทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วกันครับ” ใบหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนผันไปเป็นคนละขั้วหลังจากที่ฮันกล่าวจบ ดวงตานิ่งไร้รอยยิ้มเช่นตอนแรกจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาคมที่สั่นกระเพื่อมเพราะเริ่มหวาดกลัว ส่วนมือทั้งสองข้างไขว้กันอยู่ด้านหลังเสริมบุคลิกให้ดูสุขุมคละน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้ธามกระอักกระอ่วนตัดสินใจยากเข้าไปใหญ่ จากที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าลำแสงดังกล่าวส่องมาจากปืนจริงหรือไม่ แต่พอมาโดนกดดันเช่นนี้ กลับกลายเป็นเชื่อเกินกว่าครึ่งของการตัดสินใจไปแล้ว “ยะ หยุด! กลับมา!” ท้ายที่สุดด้วยความทนแรงบีบคั้นไม่ไหวจึงเอ่ยสั่งลูกน้องให้ถอนกำลังออกมาก่อนที่ตนจะเป็นอะไรไปก่อน ฝ่ามือเหี่ยวย่นยกขึ้นเหนือไหล่สั่งให้ลูกน้องที่ซ่อนตัวอยู่ลดอาวุธลง ก่อนแสงเลเซอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าผากจะหายไป “ถึงแสงเลเซอร์จะหายไปแล้ว แต่ลูกน้องของผมยังคงจับอาวุธจ่อหัวพวกคุณอยู่นะครับ เอาล่ะ..งั้นเรามาต่างคนต่างอยู่กันดีกว่าครับ” ฮันกลับมาฉีกยิ้มตาปิดอีกครั้ง แล้วบรรยากาศของบ้านชั้นล่างก็เงียบลง ผ่านไปสักพัก หยดเทียนก็เดินนำหยดน้ำลงบันไดมาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระที่หิ้วอยู่ในมือ หลังจากเก็บข้าวของที่จำเป็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เบต้านึกแปลกใจกับบรรยากาศด้านล่างที่เงียบสงัดผิดปกติราวกับไม่มีคนอยู่ ต่างจากบรรยากาศในตอนแรกอย่างลิบลับ “กลับกันเถอะครับ” “ไม่ลืมอะไรใช่ไหมครับ” “ไม่ครับ” หยดเทียนตอบอย่างมั่นใจแลบางช่วงก็เผยแววตาเศร้า พ่อบ้านยิ้มอ่อนด้วยความเข้าใจ แม้อยากจะกล่าวร่ำลามารดามากแค่ไหน แต่ความโกรธความไม่พอใจก็มีมากเสียยิ่งกว่าจะกล่าวคำคำนั้นออกมาได้ หยดเทียนจับมือน้องชายแน่นแล้วหันหลังตั้งท่าจะเดินออกไป แต่ทว่าประโยคที่ผู้เป็นมารดาตะโกนตามมา กลับทำให้หยดน้ำชะงักเท้าลงพร้อมด้วยน้ำตาที่เริ่มซึมไหลอีกครั้ง “ถ้ามึงกล้าก้าวขาออกจากบ้านหลังนี้ไป ก็อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก กูไม่มีลูกเนรคุณอย่างพวกมึง” “ไม่ต้องสนใจ ไปกันเถอะ” ร่างบางเงยหน้ามองพี่ชายด้วยความพร่ามัวของม่านน้ำตา เด็กหนุ่มขบริมฝีปากพลางพยักหน้าอย่างหม่นใจ ก่อนจะยกมืออีกข้างปัดป้องน้ำตาที่เอ่อเตรียมไหล แล้วแข็งใจไม่หันกลับไปพูดคุยกับมารดา ลับแผ่นหลังของลูกชายทั้งสองคนไป มือไม้ที่ถือแก้วสุราอ่อนยวบลงพื้นจนแก้วหล่นแตก เศษคมกระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้น จนเพื่อนนักเลงของเธอหันมามอง อุ่นทิพย์นั่งก้มหน้าซบเข่า กุมขมับน้ำตาซึม เมื่อเห็นลูกชายทั้งสองคนของเธอเดินจากไปอย่างไม่ไยดี แต่ก็สมควรแล้วเพราะสิ่งที่เธอปฏิบัติต่อลูกๆ นั้นไม่สมกับคนที่มีศักดิ์เป็นแม่สักนิด แต่กระนั้นเธอเองก็ยังรักลูกชายดั่งมารดาคนอื่นๆ เพียงแต่ที่ผ่านมาเธอไม่กล้าแสดงออกมา เพราะยังคงฝังใจกับเรื่องราวในอดีตมากเกินไปจนมันบดบังความรักของเธอที่มีต่อลูกๆ อุ่นทิพย์รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกชายคนเล็กที่หยดเทียนพร่ำบอกเป็นเรื่องจริง แต่เธอกลับเลือกที่จะไม่โวยวายใส่ฝ่ายที่กระทำความผิด เพราะเขาคือคนที่เธอรักและอยู่ด้วยแล้วสบายใจนับแต่ธนาจากไป เธอจึงต้องจำใจขับไล่หยดน้ำออกไปและไม่ให้กลับมาเหยียบที่นี่อีก อย่างน้อยก็เพื่อให้ลูกชายปลอดภัยจากความต่ำทรามเหล่านี้ แม้สิ่งที่เธอเลือกมันกำลังบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกอยู่ก็ตาม ตึบ!! เสียงปิดท้ายรถดังขึ้นหลังจากที่หยดเทียนเก็บสัมภาระฝากเอาไว้ และจากนั้นจึงพากันขึ้นรถ “ผมไม่ทำอะไรผิดพลาดใช่ไหมครับ” บอดี้การ์ดที่นั่งรออยู่บนรถเอ่ยถามพ่อบ้านทันทีที่เขาขึ้นมา มือขวาคว้าเอาเข็มขัดนิรภัยคาดอกก่อนตอบกลับ “ไม่เลยครับ” “โล่งอกไปที ผมนึกว่าจะโดนพวกมันจับได้ซะอีก” ชายหนุ่มตบหน้าอกเบาๆ อย่างโล่งอกเมื่อสิ่งที่พ่อบ้านวานให้ตนทำสำเร็จไปด้วยดี “แผนอะไรเหรอครับ” เด็กหนุ่มขี้สงสัยชะโงกหน้าพรวดพราดเข้าไปใกล้คนขับอย่างอยากรู้อยากเห็น “นี่ไง” ว่าแล้ววาดก็ยกกล้องส่องทางไกลพร้อมกับกระบอกขนาดเล็กคล้ายไฟฉายขึ้นให้เด็กหนุ่มดู เรย์ขมวดคิ้วแล้วรีบหยิบมันจากมือประดับเส้นเลือดแล้วกลับมานั่งลงที่เดิม ในระหว่างทาง เรย์หยิบกระบอกสีดำขึ้นมาหมุนดูด้วยความเคลือบแคลง เขาหรี่ตามองจ้องรายละเอียดเล็กๆ ที่คิดว่าน่าจะสำคัญ จนกระทั่งนิ้วสัมผัสโดนปุ่มที่คาดว่าน่าจะเป็นปุ่มเปิดปิดของอุปกรณ์ดังกล่าว เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบกดมันทันที “อย่าบอกนะว่าแสงที่จ่อหน้าผากไอ้พวกนั้นคือนี่เหรอครับ” เขาว่าพลางฉายแสงเลเซอร์สีแดงลงบนเบาะสีดำแล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ “ก็เออนะสิ พูดอย่างกับไม่รู้” “ก็ไม่รู้นะสิพี่! ผมก็นึกว่าพ่อบ้านเอามือปืนมาซุ้มยิงซะอีก” คนขับรถได้ยินแล้วส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “ถ้าจะจัดการพวกมันจริงๆ ไม่ต้องใช้ปืนให้เปลืองกระสุนหรอก ตรงนั้นก็มีพ่อบ้านอยู่ทั้งคน” “เออก็จริง แล้ว.. ถ้าเมื่อกี้ไม่สำเร็จล่ะครับ พ่อบ้านจะทำไงต่อ” เมื่อหายแคลงใจแล้วก็หันไปถามพ่อบ้านอีกเรื่องต่อ “ก็คงต้องลงไม้ลงมือกันนั่นแหละครับ” “โห่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมคงต้องสะบักสะบอมน่าดู” “หึ พวกอันธพาลกลัวแสงเลเซอร์ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น” เรย์ว่าพลางเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายใจพร้อมหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ฮันผู้นั่งสงบอยู่บนเบาะข้างคนขับ ฉายดวงตามองดูวิวทิวทัศน์ริมทางตามปกติ และเอ่ยตอบคำถามของเด็กหนุ่มขี้สงสัยบ้างเป็นบางครั้ง พลันคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นมา ฮันโล่งใจที่พวกนั้นไม่ได้กรูกันเข้ามาใกล้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงมีการนองเลือดกันเกิดขึ้นเป็นแน่แท้ เพราะไม่มีใครรู้เลยว่า มือที่ไขว้กันอยู่ด้านหลังสูทยาวเอื่อยมาตลอดนั้น กำลังลูบคล้ำปืนกระบอกงามที่ถูกซ่อนไว้ หากจะหยิบมาจ่อยิงหัว อีกฝ่ายคงไม่สามารถตั้งตัวทัน ฝ่ายหยดเทียนก็นั่งนิ่งไม่ไหวติง ฟังบทสนทนาในรถอย่างไม่สอบถามอะไร เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ศีรษะของหยดน้ำเอนตกจากลาดไหล่ของตน หยดเทียนพินิจมองใบหน้าจิ้มลิ้มของน้องชายที่มีสีแดงขึ้นบริเวณขอบตาจางๆ แล้วลูบแก้มเบาๆ ด้วยความสงสาร ปัญหาหลายอย่างรุมเร้าเข้ามาที่น้องชายของเขามากเกินไปจนแทบตั้งรับไม่ทัน เขาคิดโทษโชคชะตาและคนรอบข้างที่ใจร้ายกับเด็กน้อยคนนี้มากเกินไป ชอบทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้ แต่ต่อจากนี้คนพวกนั้นที่หวังจะเข้ามาทำร้าย พวกมันจะโดนกำปั้นของหยดเทียนคนนี้จนต้องตายกันไปข้าง เขาถึงจะยอม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD