ตอนที่ 5 หยดเทียนคือผู้อ่อนน้อม?

2328 Words
ร่างสันทัดสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนจะระบายออกมาช้าๆ เขากำลังรวบรวมความกล้าเพื่อเข้าไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มชายเสื้อดำที่นั่งรวมตัวกันอยู่บนโต๊ะลายหินอ่อนที่ตั้งอยู่ข้างๆ ประตูด้านหลังของห้องครัว ลูกกระเดือกขนาดน่ารักสั่นไหวพร้อมน้ำลายที่ลงคออย่างทำใจก่อนจะก้าวขาออกไป ทว่าด้วยความไม่พร้อมของจิตใจจึงถดขากลับเข้าที่เดิม “ไปดิว้าไอ้เทียน!” เบต้าตบขาตนเองที่แข็งสั่นขยับไม่ได้ แต่อาการที่เกิดขึ้นกับหยดเทียนเช่นนี้ก็ใช่ว่าเขาจะหวาดกลัวชายฉกรรจ์กล้ามโต เพียงแต่เขาไม่เคยเข้าหาหรือทำความรู้จักเพื่อนร่วมงานคนอื่นก่อนน้อยครั้งนักที่จะกล้าหาญทำเช่นนี้ ด้วยมักจะคิดเสมอว่า ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนสนิทร่วมอาชีพเขาก็สามารถทำงานได้ด้วยตัวคนเดียวจึงไม่ยากพึ่งพาใครให้วุ่นวายใจไปเปล่าๆ นี่จึงเป็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตการทำงาน ที่หยดเทียนจะสานไมตรีจิตจึงทำให้เขามีท่าทีกังวลอย่างที่เห็น หยดเทียนกระชับมือเข้ามากันแน่นขนัดพลางทุบลงอกตัวเองเสียแรงจนรู้สึกเจ็บแปล๊บบริเวณนั้นไปหมด เขาขบริมฝีปากด้วยความมั่นใจว่าอย่างไรต้องผ่านไปด้วยดี การจะทำสิ่งใดสักอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ หากไม่กล้าเข้าหาวันนี้และผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ชาตินี้เขาคงไม่มีเพื่อนร่วมงานที่จริงใจเป็นแน่ และที่สำคัญที่สุดคืองานที่ต้องรับผิดชอบ งานของเขาจะต้องล่าช้าลงกว่าเดิมแน่หากไม่รู้ว่าพ่อบ้านอยู่ที่ไหน “คือ...ขอโทษนะครับ พวกพี่เห็นพ่อบ้านผ่านมาทางนี้ไหมครับ” เบต้ากลั้นใจถามพร้อมกับแสดงรอยยิ้มที่เป็นมิตร เสียงเซ็งแซ่ที่คุยกันอย่างสนุกสนานของบอดี้การ์ดอัลฟ่าหลายนายหยุดลงเมื่อมีเสียงใสเข้าแทรกบทสนทนา ชายร่างกายกำยำต่างส่งสายตามองมาที่ร่างน้อยเป็นตาเดียว ก่อนจะใช้สายตากวาดสำรวจว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าตนคือใคร “มึงมาใหม่เหรอ?” หนึ่งในห้าคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วสงสัย เบต้าหนุ่มพยักหงึกหงักทันทีที่ได้รับคำถาม “ครับ เพิ่งทำงานได้สองวันนี้ครับ” “อย่างนี้ต้องรับน้องแล้วป่ะพี่!” ชายที่ดูเป็นน้องเล็กสุดในกลุ่มพูดสิ่งที่ผุดขึ้นในหัวแล้วหันหน้าไปหัวเราะคิกคักกับพวกรุ่นพี่อย่างรู้กันอยู่ในทีโดยไม่ต้องเอ่ยออกมา “เบ๊คนใหม่ว่ะ!” พวกเขาพูดแล้วขำขันกันด้วยความอารมณ์ดี หยดเทียนได้ยินดังนั้นก็พลางถอนลมหายใจหนักมีเบื่อหน่ายในหน้า ท่าทีนอบน้อมเมื่อครู่คงทำให้เขาดูอ่อนแอ จนพวกที่อยู่ต่อหน้าอยากกดหัวใช้เขากระมังถึงได้ครั่นตัวแสดงท่าทีและวาจาออกมาเช่นพวกอันธพาลข้างริมทางนัก ใบหน้าเรียบตึงหม่นลงอย่างรู้สึกผิด คิดแล้วก็ช่างเศร้าสลดจนอยากรำขอขมาเทวดาที่เมื่อก่อนตนเป็นอันธพาลชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่วละแวกจนเวรกรรมตามติดลงโทษมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะกลับตัวกลับใจนานแล้ว แต่ก็ไม่วายมีพวกนักเลงหัวไม้เข้ามาหาเรื่องให้เหนื่อยหน่ายใจอยู่ประจำ ท้ายที่สุดจุดจบของเรื่องก็คงหนีไม่พ้นการทำร้ายร่างกายเช่นที่ผ่านๆ มา “ถ้าพวกพี่ไม่รู้ผมขอตัวนะ” ว่าจบหยดเทียนก็ทำท่าจะเดินออกมาด้วยอยากเลี่ยงสถานการณ์ชวนวิวาทกันเช่นนี้ให้พ้นๆ แต่ก็เป็นดั่งที่คิดไว้ว่ามันคงไม่มีทางจบง่ายๆ อย่างราบรื่น เพราะจู่ๆซอน้องรักของกลุ่มก็แหกปากร้องห้ามร่างเตี้ยเอาไว้ก่อน พลางเดินเข้ามาคว้าคอเสื้อไว้ “อัก!” ด้วยคอเสื้อที่ถูกกระชากจากด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยที่เบต้ายังไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้แรงตึงที่คอเสื้อรัดต้นคออย่างกะทันหันจนทำให้หยดเทียนร้องเสียงหลงออกมา แล้วยอมหยุดฝีเท้าตามคำสั่งด้วยไม่อยากขาดอากาศหายใจตายก่อน “จะไปไหน!” ซอเอ่ยพลางละมือออกจากคอเสื้อของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ยอมหยุดตามคำของตน ทันทีที่เป็นอิสระเบต้ารีบยกมือนวดคอพลางหอบหายใจแฮ่ก ก่อนจะหันมาประจันหน้ากับคู่อริในอนาคต “ยังไม่ได้แนะนำตัวให้หัวหน้าของพวกเราฟังเลย แกไม่รู้หรือไงว่าเสื้อสีดำแบบนี้คือบอดี้การ์ดส่วนตัวของนายท่านน่ะ” ชายหนุ่มว่าพลางยกมุมปากยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง “อุ๊บ! อะไรนะครับ!?” มือเรียวรีบยกป้องปากกลั้นขำคำที่ชายตรงหน้ากล่าว ไอ้คำว่าหัวหน้าที่เรียกๆ กันคือหัวหน้าพวกอันธพาลอัปเกรดหรือเปล่า ริอ่านทำตัวสูงส่งแต่ดันไม่ดูสันดานดิบตัวเองว่าต่ำตมแค่ไหน ทะนงใจว่าตนยิ่งใหญ่เที่ยวเสาะหาพรรคพวกลูกกระจ๊อกกีกี้มาเป็นขี้ข้าไว้เป็นมือเป็นเท้าให้คอยรังควานคนอื่นไปทั่ว หากยังประพฤติตัวเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานก็คงพากันตายคาตีนใครเข้าสักวัน เบต้ายืนเม้มปากที่เดี๋ยวหุบเดี๋ยวเปิดอยากหัวเราะเยาะอยู่รอมร่อก่อนจะรีบตั้งสติๆ แล้วจึงเอ่ยตอบ “ผมมีงานต้องทำต่อน่ะครับไม่มีเวลาว่างมานั่งเล่นกับพวกว่างงานหรอกครับ” “เอ๊ะไอ้นี่! ไม่รู้จักเคารพรุ่นพี่บ้างหรือไง เพิ่งเข้ามาได้วันสองวันก็ปากดีซะแล้ว” ยูมหนึ่งในผู้อาวุโสในกลุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ “พูดแบบนี้อยากเจ็บตัวนักหรือไงวะ!” ซากิผู้ที่อายุน้อยรองลงมาจากซอน้องเล็กลุกขึ้นด้วยท่าทางโมโห พลางสาวเท้าเดินรุกหน้าเข้ามาหาร่างที่เตี้ยกว่าเพียงกี่เซนแล้วชักสีหน้าดุใส่ฝ่ายตรงข้ามที่ทำหน้านิ่งเรียบใดความหวาดเกรงใดๆ ฝ่ายคนอายุมากกว่าที่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่เต็มตาก็ไม่คิดเข้าห้ามปราม ซ้ำยังนั่งมองพลางยุแหย่ด้วยสีหน้าพึงพอใจที่เห็นรุ่นน้องออกหน้าปกป้องคนที่กล้าหยามและไม่เคารพพวกตน “จะหาเรื่องกันให้ได้เลยใช่ไหม” หยดเทียนพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วซูดปากเสียงดังก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าอันนิ่งเฉยชักเริ่มหงุดหงิดเป็นใบหน้าคนละอารมณ์กับเมื่อครู่ราวกับสั่งได้ “ผมขอโทษที่ทำให้พวกคุณ! คุณ! ต้องระคายเคืองใจนะครับ เมื่อครู่ผมทำตัวเสียมารยาทไปเพราะความอ่อนด้อยน้อยปัญญาของผมเอง” “คือผมคิดว่าพวกคุณ คุณเป็นคนรับใช้ของนายท่านเหมือนกัน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นถึงหัวหน้าบอดี้การ์ดคนสำคัญของนายท่าน” เบต้าหนุ่มแสร้งทำใบหน้าน่าสงสารรับบทนางเอกผู้ไม่สู้คนประชดฝ่ายตรงข้ามให้ได้ชม แต่เหมือนว่าชายชาตรีที่ยืนฟังและนั่งฟังเหล่านี้จะดูเขลาเบาปัญญากว่าที่คิดจึงตามเนื้อตามเกมไม่ทัน พวกมันจึงนั่งคลี่ยิ้มด้วยอารมณ์สมดั่งใจของผู้ทะนงว่าตนอยู่สูงกว่าเช่นนี้ หยดเทียนจึงแอบหัวเราะลั่นในใจก่อนจะแสดงละครชีวิตต่อ “ความผิดนี้ช่างใหญ่หลวงเหลือเกิน มากจนผมไม่สามารถที่จะขอโทษพวกคุณได้ ผมจะใช้ความกล้าทั้งหมดในชีวิตแบกหน้าไปกราบแทบเท้าขอโทษนายท่านเองครับ ผมคงต้องโทษสถานหนักที่บังอาจหมิ่นเกียรติผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากนายท่าน แต่ถึงจะหนักหนาเพียงใดผมก็จะยื่นอกรับด้วยความเต็มใจครับ” “ขอตัวไปรับผิดก่อนนะครับ” เขาทำตาละห้อยใบหน้าโศกเศร้าสำนึกผิดก่อนจะยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายแล้วเดินหันหลังเม้มปากกลั้นขำออกไป กลุ่มชายเสื้อดำที่นั่งฟังก็ยกยิ้มดั่งผู้ชนะ ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มเบต้าคงเห็นรัศมีอันเปล่งปลั่งของผู้จะเป็นใหญ่เป็นโต ถึงได้เข้าใจว่าลูกพี่ของมันเป็นหัวหน้าผู้ดูแลความปลอดภัยคนใกล้ชิดของนายท่าน ซอนั่งยิ้มด้วยความสำราญก่อนจะร้องเอ๊ะ! ขึ้นมาในใจ เมื่อไล่ฟังเสียงของเบต้าในสมองและเรียบเรียงใหม่จึงเรียบเรียงเขียนประโยคใหม่จนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ไอ้หนุ่มคนนั้นมันกำลังไปรับผิดกับนายท่าน กับนายท่าน... ซอรู้เช่นนี้ก็ตกใจใบหน้าซีดเซียว นั่งสูบหายใจพยายามคิดกลับไปกลับมาให้ถี่ถ้วนว่าหากเรื่องนี้ถึงหูนายท่านเข้าคงจะเป็นพวกมันเองที่ต้องรับโทษ ฐานโกหกและอ้างตัวเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดข้างกาย คิดได้เช่นนั้นก็รีบตาลีตาเหลือกบอกลูกพี่มันทันที “ถ้ามันไปรับผิดกับนายท่าน! นายท่านก็ต้องรู้ว่าที่พวกเราพูดไปมันเป็นเรื่องไม่จริงสิพี่!!” สิ้นประโยคของลูกน้อง อัลฟ่าผู้เป็นหัวหน้าสะดุ้งตัวลุกขึ้นอย่างหน้าตื่นเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าตนโดนหลอก ชายหัวโจกนิ่งค้างคิดแล้วขมวดคิ้วเข้ม เมื่อลองทำความเข้าใจใหม่อีกรอบจึงเพิ่งจะเข้าใจในตอนที่เบต้าคนนั้นหนีไปได้ไกลแล้ว “นะ นั่นสิวะ! มึงไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้วะ!! รีบไปตามตัวมันมาก่อนที่นายท่านจะรู้ เร็ว!!” สิ้นคำน้องเล็กเท่านั้น หัวโจ๊กอย่างไอ้คำก็รีบสั่งให้ไปตามไอ้ตัวก่อความซวยกลับมาในทันที พ่อบ้านฮันที่กำลังยืนเตรียมน้ำชาให้เจ้านายอยู่ในห้องครัวก็ยิ้มขันพลางส่ายหัวในความกวนของคนสวนคนใหม่ คิดไม่ถึงว่าจะรับมือกับบอดี้การ์ดอย่างไม่เกรงกลัวและมีไหวพริบเอาตัวรอดจากผู้ที่อยู่เหนือตนทุกอย่างได้ในเกณฑ์ที่ถือว่าไม่เลว แต่ทว่าวิธีนี้กลับสร้างศัตรูคู่กัดไว้ให้เป็นอุปสรรคในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน และส่งผลให้เป็นอันตรายต่อตัวเองในอนาคตอย่างแน่นอน ฮันคำนวณเหตุการณ์ในอนาคตอย่างเชี่ยวชำนาญ ก่อนจะเรียกให้คนสนิทยกเอาน้ำชาไปเสิร์ฟ ส่วนตัวของพ่อบ้านเองก็เดินมุ่งหน้าไปที่สวนหลังบ้านเพราะได้ยินว่าหยดเทียนกำลังตามหาตน เจ้าตัวป่วนที่กำลังโดนตามหาหลบมานั่งไขว่ห้างอยู่ใต้ร่มไม้ในสวนหลังบ้าน เสียงหัวเราะดังลั่นอย่างอารมณ์ดีเมื่อคิดว่าปานนี้ฝ่ายอัลฟ่าตัวโตคงตามหาตนจนหัวหมุนอยู่เป็นแน่แท้ เพราะกลัวเขาจะไปหานายท่านจริงๆ “โง่จริงๆ ใครมันจะถ่อสังขารไปหาให้เหนื่อยเปล่าวะ” “เออ! เกือบลืมเลย” เบต้าหนุ่มขำขันได้ไม่นานก็นึกถึงเรื่องที่ลืมไปได้ขึ้นมา เขาลุกออกจากม้านั่งแล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางทำตาหรี่ลงด้วยความแสบตา ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงหัวแล้วแต่เขายังตามหาพ่อบ้านไม่เจอ เบต้าถอนหายใจแรงก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิมด้วยใบหน้าครุ่นคิด “แล้วพ่อบ้านอยู่ไหนล่ะเนี่ย” หลังจากว่าจบก็ปล่อยร่างกายอันอ่อนปวกเปียกไหลลงจากม้านั่งจนก้นเกือบจ้ำพื้น สมองอันตื้อตันหมดปัญญาตามหาตัวเจ้านายแล้ว ไม่รู้ว่าพ่อบ้านฮันนั่งจิบน้ำชาอยู่ใต้ดินหรืออย่างไรเหตุใดจึงตามตัวได้ยากนัก “รอนานไหมครับ” เสียงพ่อบ้านดังขึ้นทำให้ร่างที่เหลวเป็นน้ำรีบปั้นตัวแล้วลุกขึ้นนั่งตามปกติ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ถึงเวลาให้อาหารสัตว์เลี้ยงของนายท่านแล้วความคิดหวาดกลัวก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ลูกกระเดือกสั่นไหวกลืนน้ำลายก่อนตอบ “ไปให้อาหารมูมู่กับมีมี่หรือครับ” พ่อบ้านฮันเผยรอยยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก้าวฝีเท้าเข้ามานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ “วันนี้เขาจะออกล่าเองครับ” “เสียดายจังนะครับอดได้เห็นหน้ามูมู่มีมี่เลย” หยดเทียนถอนหายใจอย่างเสียดายขัดกับความเป็นจริงที่อยู่ในใจ ฮันยิ้มอย่างรู้ทันแต่ก็ไม่ได้เอ่ยขัดก่อนจะกล่าวถามอีกคำถามหนึ่งแทน “มีเรื่องจะคุยกับผมหรือเปล่าครับ” “อ๋อ! มีครับ” เสียงตอบกลับมาอย่างไวเพราะกลัวพ่อบ้านเดินออกไปก่อน “ว่ามาเลยครับ” “คือเรื่องต้นไม้กับดอกไม้ที่จะเอามาปลูกน่ะครับอุปกรณ์ตกแต่งสวนด้วยครับ...” ทั้งสองคนนั่งคุยกันถึงเรื่องพืชพันธุ์นานาชนิดที่จะนำมาปลูก พร้อมกับเอย์จินายท่านของคฤหาสน์ที่เดินออกมานอกระเบียงพอดีจึงได้ร่วมรับฟังด้วย พร้อมซุ่มจับผิดเบต้าผิวสีน้ำผึ้งไปด้วยว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ “ตกลงเอาตามที่คุณเทียนว่าเลยครับแต่ผมอยากให้เอาดอกไม้เข้ามาแซมๆ บ้างจะได้มีสีสัน” “ได้ครับ” “เอ่อ..ส่วนเรื่องงบล่ะครับ” หยดเทียนถามน้ำเสียงเบาเอื่อยด้วยท่าทางเกรงใจ แต่กระนั้นก็จำเป็นต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่อง เพราะหากไม่คุยถึงเรื่องนี้เลย คนดูแลสวนชนชั้นธรรมดาอย่างเขาจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของตามที่ตกลงกันไว้ จะให้ไปทุบกระปุกหมูน้อยก็ดูท่าคงไม่พอจ่าย “งบซื้อต้นไม้และดอกไม้ผมให้คุณเทียนหกหมื่นครับ หากไม่พอสามารถมาขอเบิกกับผมเพิ่มได้ครับ ส่วนเรื่องม้านั่ง กระเบื้องและอุปกรณ์ตกแต่งสวนอื่นๆ คุณเทียนสามารถเขียนลงในกระดาษแล้วนำมาให้ผมพรุ่งนี้ได้เลยครับ” ฮันพูดจบก็วางซองสีขาวที่บรรจุเงินให้คนสวนในทันที “ได้ครับ” เขากล่าวพร้อมกับหยิบเงินดังกล่าวมาถือไว้แน่น ระมัดระวังไม่ให้ตกหล่นแม้เพียงหนึ่งบาท
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD