หลังจากที่หารือเรื่องงบประมาณการซื้อพืชพันธุ์วัสดุต่างๆ เข้ามาตกแต่งสวนหลังบ้าน และรวมกันจัดสรรปันเนื้อที่แต่ละส่วนว่าจะจัดแต่งเช่นใดจนออกมาเป็นเค้าโครงคร่าวๆ พอให้มองภาพออกเสร็จเรียบร้อย เสียงท้องโครกครากร้องหาสารอาหารก็ดังขึ้นพอดี หยดเทียนจึงได้ขออนุญาตเจ้านายไปทานอาหารกลางวันและพักผ่อนก่อนจะถึงเวลาเข้าทำงาน
หยดเทียนหยิบถาดหลุมที่เรียงกันเป็นชั้นซ้อนกันอยู่ในตะกร้า ก่อนจะเดินเข้าไปต่อแถวรอรับอาหารกลางวันซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของบ้านอีกส่วนหนึ่งที่ถูกจัดสรรไว้สำหรับการเลี้ยงอาหารพนักงานโดยเฉพาะ ในระหว่างที่ยืนต่อแถวรอก็ไม่วายจะสังเกตสิ่งรอบข้างไปด้วยความไม่ชินตา จึงเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่มาทานอาหารกันที่นี่มักจะเป็นพวกบอดี้การ์ดร่างโตเสียซะส่วนมาก และส่วนน้อยนักจะเป็นพนักงานทำงานบ้านทั่วไปเช่นเขา
“มาทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้างล่ะเอ็ง” ป้าน้อยผู้ทำหน้าที่ตักแบ่งอาหารทักขึ้น เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มคนคุ้นเคยกันก้าวเดินเข้ามารับอาหาร หลังจากที่ชายร่างสูงเดินออกไป
“ก็ดีครับป้าตอนนี้ผมกำลังปรับตัวอยู่ครับ” เบต้าว่าพลางยิ้มให้ในขณะที่สายตาประกายวาวจดจ่ออยู่กับอาหารอันน่าเลิศรสตรงหน้า
“เออ แรกๆ ป้าก็เป็นแบบเอ็งนั่นแหละ อ้ะ! ป้าแถมผลไม้ให้ก็แล้วกัน” ป้าน้อยตักอาหารจนเต็มหลุมแล้วหยิบส้มเพิ่มใส่ถาดให้สองลูก
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มหน้าบานกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินออกไป
หยดเทียนชะเง้อคอมองหาที่นั่งมุมอับที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนักเพราะตนเองเป็นผู้มาใหม่ยังไม่มีใครรู้จักและยังไม่รู้จักใคร เขากวาดตาหาไม่นานก็สะดุดเข้ากับโต๊ะลายหินอ่อนที่ตั้งอยู่มุมนอกสุด เป็นทำเลที่ดียิ่งเพราะที่ตรงนั้นก็ไม่ค่อยสะดุดตาใคร ร่างเพรียวจึงรีบเดินเข้าไปนั่งโต๊ะที่ว่านั้นก่อนจะมือคนแย่งไป แล้วลงมามือทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
ข้าวราดแกงสีเข้มข้นถูกป้อนเข้าปากคำแรกก็แทบทำให้หยดเทียนร้องไห้ ด้วยรสชาติความอร่อยเลิศรสหาที่เปรียบไม่ได้ หาเจอได้ยากนักงานที่เจ้านายเลี้ยงอาหารกลางวันพนักงานแล้วยังใส่ใจในรสชาติการกินของลูกน้องถึงเพียงนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาหยดเทียนพบเจอแต่นายจ้างที่มีจิตสำนึกติดลบมักคิดเป็นสันดานว่าท้องใครท้องมันกระมัง พวกเขาถึงแล้วแต่จะจัดสรรอะไรมาให้พนักงานอย่างเขากินก็ได้
“นั่งคนเดียวไม่เหงาอ๋อ?” เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าเดินเข้ามานั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะก่อนจะทักขึ้น
“...” หยดเทียนไม่ปริปากตอบแล้วนั่งเคี้ยวอาหารไม่สนใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกหลานของคนงานในบ้าน ประกอบกับโหงวเฮ้งใบหน้าที่ดูด้วยตาเพียงข้างเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกชอบหาเรื่องใส่ตัว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากข้องเกี่ยว แม้จะไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงของเด็กหนุ่มคนนี้ก็ตาม
“ไมไม่ตอบอ่ะ ผมไม่ได้มาหาเรื่องพี่นะผมแค่อยากรู้จัก”
“ไม่ได้หาเรื่องจริงอะ” เบต้ากลืนอาหารลงกระเพาะก่อนกล่าวตอบ
“จริงดิพี่ หน้าผมเหมือนพวกอันธพาลหรือไงออกจะหล่อสมาร์ตขนาดนี้” เด็กหนุ่มฝั่งตรงข้ามเอ่ยก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาสำรวจใบหน้าที่ไม่คุ้นตาใกล้ๆ แล้วถาม ในขณะที่คิ้วขมวดเข้าหากันจนจะกลายเป็นสะพานข้ามทางอยู่แล้ว
“ว่าแต่.. พี่เป็นคนงานใหม่หรอไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลยอ่ะ”
“อือ เพิ่งทำงานได้สองวัน”
“งั้นก็ยังไม่โดนทดสอบอ่ะดิ”
“ทดสอบ? ทดสอบอะไร” สีหน้าฉงนปรากฏขึ้นมาหลังจากที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดจบ
“ไม่บอก ถ้าบอกผมก็ซวยสิ ถ้าพี่ไม่มีอะไรก็ไม่ต้องกลัวหรอกน่า”
หยดเทียนไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินมา การทดสอบที่ว่าคืออะไรแล้วจะทดสอบไปทำไม หรือการทดสอบที่เด็กมันว่าคือความกล้าที่พ่อบ้านพาเขาไปเจอเสือโคร่งหรือเปล่า เบต้าหนุ่มนั่งคิดพลางนั่งเขี่ยอาหารในจานใจลอยจนกระทั่งโดนอีกฝ่ายตีมือเรียกสติ
“พี่ชื่อไรอ่ะ ผมชื่อเรย์นะ”
“ชื่อเรย์หรือชื่อเรย์นะ” คนอายุมากกว่าถามด้วยความกวน
“ชื่อเรย์ไม่ต้องมีนะ พี่อ่ะ”
“หยดเทียนเรียกว่าเทียนเฉยๆ พอ”
“ชื่ออย่างกับนางเอกนิยายแม่พี่ติดนิยายป้ะเนี่ย” เบต้าชะงักไปชั่วครู่พลางคิดตามคำพูดของเรย์อย่างสงสัย ว่าแม่เขาชอบอ่านนิยายหรือชอบอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ทว่าเมื่อคิดกลับไปกลับมาย้ำอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มเจื่อนเศร้าก็โผล่ประดับหน้า เพราะดูเหมือนว่าความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับมารดาอันลอยแหวกว่ายอยู่ในหัวจะมีน้อยเสียเหลือเกิน
หยดเทียนจึงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วแม่เป็นคนอย่างไรหรือชอบอะไรบ้างในชีวิต มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเห็นมารดาดูมีความสุขคือการตั้งวงดื่มสุรากับผองเพื่อนที่พามาจากคลับ บางครั้งก็พาแขกมาบ้านหรือบางครั้งก็หน้าตาบวมช้ำกลับมา จนอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าสิ่งพวกนี้กระมังที่มารดาตนชื่นชอบ
“ไม่ได้ติดนิยายติดเหล้าต่างหาก” เขาว่าพลางยิ้มกลบความเศร้าในใจที่พยายามกดไว้ไม่ให้มันโผล่ออกมาเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเห็น แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“ว่าแต่มึง- เอ๊ย! นายเป็นลูกคนงานบ้านนี้หรอ”
เรย์ส่ายหัวปฏิเสธ “พ่อบ้านให้ผมมาเป็นเด็กฝึกงานที่นี่ได้ปีกว่า แล้วปีหน้าผมก็จะเข้ามหาลัยแล้วด้วย”
หยดเทียนพยักหน้าแล้วยืนหลังขึ้นมองด้วยท่าทีสนใจ “แล้วเด็กฝึกงานที่นี่ทำอะไรบ้างอ่ะ”
“ก็ทำเกือบทุกอย่างแล้วแต่โดนสั่งนั่นแหละพี่ เรียนรู้งานทั้งในและนอกบ้านบ้าง โดนใช้ไปซื้อของบ้าง เนี่ย! ล่าสุด ผมโดนพ่อบ้านสั่งให้ไปเป็นผู้ช่วยคนดูแลสวนที่มาใหม่ ผมยังไม่เห็นเลยว่าหน้าตาเขาเป็นยังไงถ้าทำงานไม่ได้นะพ่อจะตบกบาลให้” เรย์กล่าวพร้อมกับทำท่าซ้อมตีกบาลคน
“ฉันเนี่ยแหละคนดูแลสวนคนใหม่”
“พี่หรอ..” เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนยิ้มอ่อนให้คนพี่ เมื่อคนที่ตนจะตบกบาลคือพี่ชายเบต้าที่นั่งอยู่ต่อหน้าต่อตาตนอยู่ตรงนี้
“เออ!”
“แหม ไม่น่าล่ะโหงวเฮ้งดีจัดเลย”
“เมื่อกี้จะตบกบาลฉันอยู่เลย”
“ไม่ใช่ๆ อันนั้นผมซ้อมตบคนอื่นไม่ได้ตบพี่”
“เปลี่ยนสีเร็วนะเอ็ง”
“ก็นิสหนึ่ง” เด็กหนุ่มตอบด้วยใบหน้ากวนก่อนจะกินข้าวต่อ
เวลาเดินทางมาถึงตอนบ่ายแดดกล้าราวกับเวลาติดสปีท คนสวนและผู้ช่วยคนใหม่ยืนหอบหายใจแฮ่กอยู่ใต้เงาไม้พลางเหลือบดูพื้นที่ตรงหน้า
“เมื่อเช้ายังครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่เลยมาตอนนี้แดดออกอย่างกับพระอินทร์จะตากผ้า” หยดเทียนยืนค้ำเอวอย่างถอดใจ
“เอาไงพี่ จะเตรียมหน้าดินอะไรนั้นทั้งๆ ที่แดดแรงแบบนี้เนี่ยนะ” เรย์ที่ยืนอยู่ข้างกันยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลออกเป็นน้ำทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่ในเงาไม้และยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
“แดดแบบนี้แหละดีต่อการตากดิน”
“เอาจริงดิ” เด็กหนุ่มยู่ปากหันหน้ามองคนพี่อย่างไม่อยากทำ แต่ก็โดนหยดเทียนผลักหน้าตนออกไปทางอื่น
“เออ รีบๆ หยิบจอบแล้วตามมา” ว่าแล้วคนสวนหนุ่มไฟแรงก็สวมถุงมือและใส่หมวกฟางสาน แล้วหยิบจอบคู่ใจเดินออกไปเฉิดฉายท่ามกลางแดดอันเปรี้ยงปร้าง ทำให้อีกฝ่ายที่ยืนดูในร่มกลืนน้ำลายอย่างขี้ขลาด ด้วยกลัวว่าผิวขาวใสที่ดูแลมานานจะโดนแดดเผาเอา แต่เพราะปฏิเสธคำสั่งของอาจารย์อย่างพ่อบ้านฮันไม่ได้ เรย์จึงต้องจำใจหยิบจอบเดินเบะปากอย่างไม่สมดั่งใจออกไปพร้อมกับตะโกนบ่นไปด้วย
“ถ้าผิวผมเสียขึ้นมาผมโทษพี่แน่!”
“เออ รีบทำเถอะพ่อคุณ”
“แฮ่ก พักก่อนไหมพี่” เสียงหอบหายใจถี่ด้วยความเหนื่อยเจียนจะตายของอัลฟ่าน้อย ก่อนทรุดตัวนั่งลงใต้เงาไม้ ทำให้คนที่อายุมากกว่าต้องตามมานั่งพักด้วย
“แดดบ้าอะไรร้อนยังกับนอนห่มร้อยชั้น” เบต้านั่งฟังอัลฟ่าน้อยบ่นพึมพำไปโดยไม่ได้ใส่ใจ แล้วหยิบหมวกสานพัดวีใบหน้าเพื่อระบายความร้อนพลางมองขึ้นไปรอบบ้านโดยที่ไม่ได้คิดอะไร จนสะดุดตาเข้ากับระเบียงกว้างที่อยู่ด้านบน ซึ่งถ้าเดินออกมาสูดอากาศด้านนอกจากระเบียงหลังและก้มลงมาก็จะเจอสวนหลังบ้านแบบชัดเต็มพอดี
“นั่นห้องใครอ่ะ” ด้วยความสงสัยใคร่อยากรู้จึงเอ่ยถามผู้ที่ทำงานในบ้านหลังนี้มานานกว่าตน
“ไหน?”
“นั่นไง” หยดเทียนชี้ไม้ชี้มือไปยังระเบียงกว้างดังกล่าวให้คนน้องดูก่อนเรย์จะเอ่ยขึ้น
“อ๋อ! นั่นคือห้องของนายท่าน”
ฝ่ายถามพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะตั้งคำถามอีกครั้ง “แล้วนายท่านที่ว่านี่ชื่ออะไรอ่ะ”
“จุ๊ๆๆๆ พูดเบาๆ สิพี่...นายท่านกำลังทำงานอยู่ข้างบนเดี๋ยวก็ได้ยินกันพอดี” เรย์กล่าวเสียงเบาติเตือนคนอายุมากกว่าก่อนที่ทั้งสองคนจะกระซิบกระซาบคุยกัน
“โทษๆ ฉันไม่รู้หนิว่านายท่านอยู่ข้างบน...รีบๆ บอกมาเลย”
“นายท่านชื่ออิวามุโระ เอย์จิเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่ในญี่ปุ่น ฉันบอกเลยนะว่านายท่านเป็นอัลฟ่าที่แข็งแกร่งมาก สู้รบตบมือกับใครไม่เคยแพ้ นิสัยนี่ก็ถือว่าร้ายกาจแถมยังหน้าตาดีสุดๆ”
หยดเทียนตาลุกวาวเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ยินมา ไม่คิดไม่ฝันว่าตนเองได้เข้ามาทำงานในบ้านของคนที่ไม่ธรรมดาขนาดนี้ ไม่น่าล่ะเมื่อวันก่อนเขาถึงเห็นบอดี้การ์ดมากมายอารักขาดูแลความปลอดภัยอยู่เต็มทั้งบ้าน
“โห นี่ฉันได้มาทำงานให้คนระดับนี้เลยหรอเนี่ย..ไม่อยากเชื่อ” เขาใช้มือทาบหน้าอกตัวเองที่เต้นตุบตับด้วยความอึ้งกับเรื่องที่เกิด
“นี่ผมจะบอกความลับให้เอาม้ะ”
“ความลับไรวะ?”
“ก็เมื่อวานฉันแอบไปได้ยินว่า ที่นายท่านกลับไปญี่ปุ่นเพราะว่ากลับไปตกลงธุรกิจระดับหมื่นล้านกับนักธุรกิจในญี่ปุ่นแบบลับๆ” หยดเทียนนั่งตั้งใจฟังเรย์เล่าอย่างสนใจ กระทั่งจู่ๆ ก็ร้องเอ๊ะ! ในใจ สรุปว่าเรื่องที่เล่านั้นลับหรือไม่ หากว่าเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนระดับนั้น การที่จะสนทนากันก็ย่อมต้องดูแลความปลอดภัยและระมัดระวังเป็นอย่างดี แล้วอย่างนี้เรย์ไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“ลับ? ลับแล้วทำไมนายถึงรู้”
“ก็บอกแล้วไงว่าแอบไปได้ยิน ผมกำลังเอาชาไปให้นายท่านพอดีเลยได้ยินว่านายท่านคุยเรื่องนี้กับพ่อบ้าน”
“อ๋อ แอบฟัง”
“ใช่ๆ แอบฟัง”
“แล้วยังไงต่อ”
“แล้วบอกว่า ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปถึงหูของนายท่านอีกหนึ่งตระกูลที่เป็นพันธมิตรกันนี่เรื่องใหญ่แน่ เพราะว่าตระกูลนั้นเขาไม่ถูกกัน”
“ลึกลับดีแท้ นักธุรกิจคนหนึ่ง ตระกูลๆ หนึ่ง ไม่รู้ชื่อสักอย่าง”
“ก็มันลึกลับน่ะสิถึงสมกับเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพล แค่ผู้นำตระกูลสะกิดนิดเดียวทั้งประเทศก็พลิกได้แล้ว”
“วึ๊ย! ขนลุก! ฉันสาบานเลยฉันไม่มีทางเข้าไปยุ่งกับพวกนี้แน่ๆ”
“จริงอ่ะ”
“เออสิ ถ้าโดนคว้านท้องเหมือนในหนังขึ้นมาฉันจะทำยังไง”
“แต่ฉันว่า...” เขากล่าวพร้อมกับมองขึ้นไปที่ระเบียงห้อง
“ว่า...” เรย์ลากเสียงยาวตาม
ในขณะที่หยดเทียนเงยหน้ามองขึ้นไปดูระเบียงแล้วหรี่ตาทำใบหน้าสงสัยอยู่นั้น ร่างสูงเจ้าของเรื่องก็เปิดประตูแล้วเดินเอามือไพล่หลังอย่างนายแบบออกมารับลมนอกระเบียงพอดี ส่งผลให้เบต้าเผลอสบตาคมเฉี่ยวของนายท่านเข้า
‘ใครวะหน้าตาโคตรหล่อแต่หล่อแบบกวนตีนฉิบหาย’ เขามองพลางพินิจใบหน้าอันหล่อเหลาที่นิ่งราวกับรูปปั้นชวนให้ต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวนวลสมกับเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล แต่เมื่อจ้องมองใบหน้าของชายคนดังกล่าวไปนานเข้ากลับรู้สึกว่า ใบหน้าของชายคนนี้กวนๆ อย่างไรก็ไม่รู้
หยดเทียนจ้องอยู่นานกระทั่งคนที่อยู่ด้านบนเหลือบเห็นและแสดงสีหน้าไม่พอใจที่ถูกจ้องโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาจึงรีบถอนสายตาออกมา
“วะ ว่าควรไปทำงานได้แล้ว”
“แต่แดดยังแรงอยู่นะพี่ แล้วเรานั่งพักแค่แป๊บเดียวเอง” ดวงตาคมใสมองตามหลังของคนพี่ที่ลุกลี้ลุกลนหยิบนู้นหยิบนี่ใส่ใส่ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับออกไปทำงานกลางแดด แล้วคว้าเอาจอบออกไปทันที
“ดูข้างบนแล้วรีบตามมา” เสียงใสลอยมาตามลมพลางบุ้ยปากบอกคนน้องด้วยความหวังดีก่อนจะเดินทิ้งห่างออกไปอย่างไม่สนใจรอผู้ช่วยคนใหม่อย่างเรย์
“ไรวะ? เดี๋ยวก็ไม่ไปช่วยซะหรอก อ๋อ..” เขาเอ่ยบ่นพลางขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แล้วไล่สายตามองขึ้นไปยังข้างบนอย่างที่คนพี่บอกอย่างไม่คิดอะไร และพบว่า..
ใบหน้าอันหล่อเหลาประดุจพญามัจจุราชที่พร้อมจะดุด่าเขาอยู่ตลอดเวลายืนเด่นอยู่บนระเบียงสูง เรย์ยิ้มฝืนยิ้มแห้งให้เจ้านายอย่างกลัวตาย พร้อมกับมือไม้สั่นที่งมหาหมวกอยู่บนพื้น
“แฮะๆ กำลังทำงานอยู่ครับ กะ กำลังไปทำ..” เมื่อหมวกที่งมหาอย่างยากเย็นกระเด็นเข้ามาอยู่ในมือก็รีบลุกขึ้นพรวดพราด แล้วรีบคว้าจอบวิ่งตามหลังเบต้าไปอย่างรวดเร็ว นึกโทษพี่ในใจว่าทำไมไม่บอกให้มันชัดกว่านี้!
เอย์จิระบายลมหายใจอย่างคิดหนักว่าเรื่องที่ปล่อยให้เด็กฝึกงานทำมันจะได้เรื่องหรือ? สายตาเฉี่ยวคมปลายเหลือบหาคนสวนผู้มาใหม่อย่างครุ่นคิดและเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เพราะเบต้าคนนั้นดันรู้มุมจึงเดินหลบหายเข้าไปทำงานอยู่หลังต้นไม้จึงทำให้สายตาเจ้านายไม่สามารถสอดส่องเห็นเบต้าได้และสังเกตพฤติกรรมได้ชัด
“เป็นยังไงบ้าง” เสียงเรียบเย็นเอ่ยกับฮันที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“ตอนนี้ยังปกติดีครับ”
“จับตาดูมันต่อ อย่าให้คาดสายตา”
“ครับนายท่าน” ฮันเอ่ยตอบรับด้วยเสียงนุ่มหากแต่ฟังดูหนักแน่น ก่อนจะวางน้ำชาไว้บนโต๊ะจากนั้นก็โน้มตัวเคารพแล้วเดินออกไป
ตะวันคล้อยเริ่มตกดินเป็นสัญญาณเตือนให้พนักงานทุกทั้งหลายกลับไปพักผ่อนได้แล้ว หยดเทียนร่ำลาหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งรู้จักเพียงหนึ่งคนก่อนกลับ
ในที่สุดสองวันของการทำงานก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ไม่ได้เจ็บตัวไม่โดนต่อว่าจากนายจ้างและที่สำคัญไม่ได้ทะเลาะกับเจ้านายด้วย
ร่างสูงขนาดพอดีเดินเปิดประตูเข้ามาในห้องหลังจากเพิ่งลงมาจากรถแท็กซี่โดยสาร พร้อมกับโทรศัพท์ที่แนบหูไม่วางพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่ไม่หุบ
[งานใหม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ดีไหม?] เสียงหวานที่อยู่ปลายสายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ดีมากเลย วันนี้พี่เพิ่งปรึกษากับพ่อบ้านเรื่องงานที่ทำงาน ถ้าเป็นงานอื่นนะพี่ไม่มีสิทธิออกความคิดเห็นหรอก” หยดเทียนวางข้าวของที่ซื้อมาบนโต๊ะอาหารก่อนจะเดินมานั่งบนปลายเตียงเพื่อคุยกับน้องชาย
[อื้อ! ดีจังเนอะ]
“แล้วนี่น้ำกินข้าวหรือยัง”
[ซื้อมาแล้วจ้ะแต่ยังไม่ได้กิน น้ำรอให้พวกคนที่อยู่ข้างล่างกลับไปก่อนน้ำถึงจะลงไป]
“แขกของแม่หรอ?”
[ไม่จ้ะ เหมือนว่าจะเป็นเพื่อนที่ทำงานของแม่น่ะ น้ำได้ยินเสียงหลายคนเลย]
หยดเทียนถอนหายใจด้วยความเป็นห่วงก่อนตอบ “น้ำรอพี่ก่อนนะ เงินเก็บพี่มีพอเมื่อไหร่พี่ย้ายออกจากที่นี่แล้วจะรับน้ำมาอยู่ด้วยกันนะ”
[น้ำรอพี่เทียนได้อยู่แล้วแต่พี่อย่าทำงานหักโหมเกินไปนะจ๊ะ]
“อื้อ! งานสบายๆ น้ำไม่ต้องห่วง”
[เอาไว้คุยกันต่อนะจ๊ะ น้ำจะไปอ่านหนังสือต่อช่วงนี้สอบกลางภาคด้วย]
“โอเค อย่านอนดึกละ”
[จ้ะพี่เทียน] สิ้นเสียงใสปลายสายก็ถูกตัดไป
มือเรียวยาววางโทรศัพท์ลงบนพื้นเตียงพร้อมกับสีหน้ากังวลที่ผุดออกมาอย่างเก็บไว้ไม่มิดด้วยความไม่สบายอยู่เต็มอก เพราะหยดน้ำเป็นโอเมก้าที่ต้องอยู่ท่ามกลางแขกอัลฟ่าของมารดาเพียงตัวคนเดียว หากวันดีคืนดีแขกพวกนั้นบุกเข้าห้องหวังทำร้ายร่างกายหรือข่มขืนหยดน้ำขึ้นมา ร่างบางน้อยด้อยพละกำลังจะสู้อย่างไรถึงจะเอาตัวรอดได้
จะดีไม่น้อยหากตอนนี้เขาพร้อมที่พาน้องชายมาอยู่ด้วยกันได้ แต่ด้วยปัญหาสินทรัพย์ที่ไม่พอจะยาไส้และการเจรจาต่อรองกับป้าเจ้าของห้องเช่าไม่ได้ จึงเป็นอุปสรรคอันไม่เอื้ออำนวยให้เขาเจอทางออก
และด้วยเหตุผลเหล่านี้หยดเทียนจึงคาดหวังกับการทำงานในบ้านคนรวยไว้มาก เพราะนี่คือหนทางเดียวที่ทำให้เขาพอจะมีเก็บออมที่ลิดรอนมาจากเงินเดือนเก็บไว้ได้บ้าง และเมื่อเวลานั้นมาถึงชายเบต้าคนนี้จะได้มีกำลังมากพอที่จะฉุดน้องชายขึ้นมาจากกองขี้เถ้าโสมมเหล่านั้นได้