ช่วงบ่ายของวัน หยดเทียนทิ้งตัวลงบนเสื่อที่ปูเอาไว้ใต้ต้นล่ำซำหลังบ้านหลังจากที่ไปให้อาหารสัตว์เลี้ยงของนายท่านมา คนสวนนอนกระดิกขาอย่างสบายใจเฉิบเพราะไม่มีงานอะไรให้ทำแล้วสำหรับวันนี้ งานสวนก็เร่งมือทำจนเสร็จตั้งแต่เช้า จึงไม่มีภารกิจอะไรให้หยดเทียนทำต่อจากนี้นอกจากนอนกางพุงพักกลางวัน
อากาศเย็นสบายมีสายลมอ่อนโบกสะบัดพัดคลอมาเบาๆ ทำให้ร่างที่นอนแผ่ราบบนเสื่อเคลิบเคลิ้มกับอากาศในสวนหลังบ้านแทบจะหลับอยู่รอมร่อ ดวงตากลมใสเริ่มเคลื่อนขยับอย่างเชื่องช้าก่อนจะค่อยๆ ปิดลง
“พี่! พี่เทียน! พี่เทียนโว้ย!!” อัลฟ่าหนุ่มตะโกนลั่นมาแต่ไกลก่อนจะวิ่งมานั่งลงข้างๆ แล้วร้องกรอกหูของคนพี่จนเขาต้องสะดุ้งตื่นลนลานลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ
“อะไร! มีอะไร!”
“พ่อบ้านเรียกหาพี่อ่ะ ผมเลยมาตาม”
“แล้วจะตะโกนทำไม แก้วหูแทบแตก...แล้วพ่อบ้านอยู่ไหน” เบต้าว่าพลางลูบใบหูบรรเทาอาการหูอื้อไปด้วย
“อยู่ในครัว”
สิ้นคำของเด็กหนุ่ม หยดเทียนจึงรีบลุกขึ้นทั้งที่สมองยังมึนๆ เพราะเสียงของเรย์ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เขาตบเข้าที่หูตัวเองเบาๆ สองสามทีพร้อมกับเดินไปที่ห้องครัวของบ้านตามคำบอกกล่าวของคนน้อง
“หูกูยังอยู่ดีอยู่ไหมเนี่ย”
หยดเทียนเปิดประตูครัวด้านหลังเข้าไปก็เห็นว่าตอนนี้พ่อบ้านกำลังจัดแจงชากลิ่นหอมใส่ถาดอยู่ หากให้เดาถ้วยน้ำชาตรงหน้าคงเป็นของนายท่านแน่ๆ
ฝ่าเท้าวางลงบนพื้นกระเบื้องแพงอย่างเบาๆ ก้าวเข้ามาในห้องครัวหรูด้วยท่าทีเงอะงะ เพราะเพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาเห็นด้านในของบ้านหลังจากที่ทำงานมาแล้วเกือบจะสองอาทิตย์
“มาแล้วหรือครับ” ฮันเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตายังคงจับจ้องงานตรงหน้าอยู่
“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” ผู้ที่ถูกเรียกมาเดินเข้ามาเดินอยู่ข้างๆ ร่างสูงพลางหันกลับมาจดจ่อสิ่งที่อยู่ในมือของพ่อบ้าน
“ผมวานให้คุณเทียนเอาแจกันดอกไม้ไปเปลี่ยนที่ห้องทำงานของนายท่านทีครับ”
“ได้ครับ” หยดเทียนตอบตกลงทันทีโดยไม่คิดเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรยาก เขาเพียงแค่ถือแจกันดอกไม้แล้วเดินตามหลังพ่อบ้านขึ้นไปเท่านั้น
หลังจากที่พ่อบ้านฮันจัดแจงน้ำชาใส่ถาดใบเหลื่อมทองเสร็จ เบต้าหนุ่มก็หยิบเอาแจกันดอกไม้ใส่ในมือก่อนจะเดินตามลาดไหล่กว้างของอัลฟ่าวัยกลางคนไปต้อยๆ ทั้งสองคนเดินขึ้นมายังชั้นสามของบ้านซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมา
“ห้องทำงานของนายท่านอยู่ด้านในสุดของโถงทางเดินครับ”
“เราไม่ได้ไปด้วยกันหรือครับ?” ศีรษะมนเอียงถามด้วยความข้องใจแลกังวลกลัวว่าตนจะเข้าไปลุกล้ำพื้นที่ของเจ้านาย ซึ่งฮันก็สัมผัสความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ยืนตัวอ่อนอยู่ด้านหลังได้
“ตอนนี้นายท่านกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวครับ ฉะนั้นคุณเทียนไม่ต้องกังวล” ว่าจบพ่อบ้านก็เดินปลีกตัวออกไปอีกฝั่งทันที ปล่อยให้ร่างเตี้ยยืนกลืนน้ำลายคนเดียวอย่างเดียวดาย
หยดเทียนรวบรวมความกล้าเดินเตาะแตะเข้าไปในโถงทางเดินกว้างที่ถูกตกแต่งด้วยภาพศิลปะหลากหลายภาพทว่ากลับไม่ได้ดูรกตา หยาดน้ำสีใสผุดขึ้นข้างขมับด้วยความประหม่าพร้อมกับสายตาที่คอยสอดส่องไปมาอย่างลุกลี้ลุกลน จนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานงามซึ่งเป็นห้องที่อยู่สุดท้ายตามที่พ่อบ้านบอกไว้ หยดเทียนยืนชั่งใจอยู่นานว่าใช่ห้องนี้แน่หรือเปล่าแต่หากไม่ลองเปิดเข้าไปสำรวจดูก็คงไม่รู้ เบต้าสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดเพื่อตั้งสติก่อนที่มือสั่นจะเคาะประตู
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ยืนรออยู่นานแต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ จึงแน่ใจแล้วว่านายท่านไม่ได้อยู่ในห้องตามที่พ่อบ้านฮันบอกไว้จริงๆ จึงพลอยให้โล่งใจไปอีกเบาะ
“ขออนุญาตครับ” แม้จะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคนอยู่ในห้องนี้แน่ๆ แต่ด้วยความชินปากของผู้มีมารยาทงามจึงเอ่ยออกมาโดยอัตโนมัติ
เบต้าหนุ่มเดินเข้ามาพลางกวาดสายตาดูสิ่งของอันโอ่อ่ารอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ ห้องสี่เหลี่ยมพื้นที่กว้างที่มีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่จัดวางไว้เสมือนเป็นใจกลางห้อง และขนาบด้วยชั้นวางหนังสือที่ถูกวางเรียงกันเป็นระเบียบชิดติดกำแพงทั้งสองด้าน ถัดสายตาออกมาด้านหน้าของโต๊ะทำงานจะเห็นเป็นชุดโซฟาราคาแพงที่ตั้งอยู่บนพรมนุ่มเท้า หรือหากเหลือบตาขึ้นมองไปด้านข้างกระจกวาวอีกหน่อยก็จะแลเห็นประตูระเบียงที่วิวทิวทัศน์ด้านนอกคือสวนหลังบ้าน และทุ่งโล่งกว้างที่ถูกพุ่มไม้ซ่อนไว้
เมื่อเดินสำรวจห้องของเจ้านายจนพอใจแล้ว หยดเทียนจึงเดินมาเปลี่ยนแจกันดอกไม้ที่วางเด่นไว้ที่หัวมุมโต๊ะทำงานตามหน้าที่ของตน เขาจัดแจงเปลี่ยนแจกันดอกไม้ที่เตรียมมาวางลงในตำแหน่งเดิม และหยิบแจกันดอกไม้เก่าที่เริ่มเหี่ยวขึ้นมาถือแทน เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“คนรวยเขาไม่มีระบบระเบียบกันทุกคนเลยไหมเนี่ย” เขาเกือบจะเดินออกจากห้องไปเสียแล้วหากสายตาอันคมแหลมไม่เหลือบไปเห็นกองแฟ้มเอกสารและกองกระดาษที่วางระเนระนาดเข้า ทำให้คนเจ้าระเบียบเช่นเขาทนไม่ได้จึงเผลอลงมือจัดระเบียบกองเอกสารและโต๊ะทำงานจนเรียบร้อยเข้าที่สมใจดั่งใจ แววตาแห่งความพึงพอใจจึงฉายออกมา
มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันพลางเสียดสีปัดไปมาดังเปาะแปะพร้อมกับรอยยิ้ม การจัดระเบียบที่เล็กน้อยแค่นี้ไม่คณามือเขาหรอก ต่อให้ทำความสะอาดหรือจัดระเบียบทั้งห้องนี้เลยยังได้
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานดังขึ้น ทำให้คนสวนที่ยืนยิ้มด้วยความภาคภูมิใจสะดุ้งเฮือกรีบคว้าเอาแจกันดอกไม้มาถือด้วยความมือไว ก่อนจะแสดงท่าทีว่าตนกำลังจะออกไป
“มีอะไรหรือเปล่า” เสียงราบเรียบดังขึ้นพลางขมวดคิ้วบึ้งตึงใส่หลังจากเห็นลูกน้องกำลังยุ่มย่ามกับโต๊ะทำงานของตน
‘ฉิบหายแล้วไง’ เสียงร้องแห่งความซวยดังขึ้นในใจ แล้วนึกโทษตัวเองที่ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วแต่ดันไม่ยอมออกไป รู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องของสิ่งอื่นเว้นแต่แจกันดอกไม้
แต่ให้ทำอย่างไรได้ก็คนมันทนเห็นของกระจัดกระจายไม่ได้หนิ!
หากนายท่านเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่เข้าเขาจะทำอย่างไรดี จะโดนตักเตือนหรือโดนพักงานทั้งที่เพิ่งมาทำได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนให้เสียเครดิตหรือเปล่า หยดเทียนคิดต่างๆ นานาไปล่วงหน้าไกลทำให้เกิดความวิตกกังวลทำตัวไม่ถูกมากกว่าเดิม
“มะ ไม่มีอะไรครับ ผมแค่มาเปลี่ยนแจกันดอกไม้ ตะ ตามคำสั่งของพ่อบ้าน..” เบต้าหนุ่มลนลานแต่ยังดีที่ตอบออกมาเป็นประโยคให้อีกฝ่ายเข้าใจที่จะสื่อได้
เอย์จิพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ทำงาน “ขอบใจมาก เสร็จแล้วก็ออกไปเถอะ” สีหน้าเรียบนิ่งถูกประดับด้วยรอยยิ้มทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เห็นอารมณ์สงบลงได้เลย
“ครับ” เบต้าหนุ่มตอบสั้นๆ แล้วสับขาเดินออกมาอย่างไวพร้อมกับสีหน้าเคลือบแคลงสงสัยว่าสรุปแล้วเจ้านายเห็นสิ่งที่เขาทำหรือเปล่า แต่ก็คงไม่เพราะนายท่านไม่มีทีท่าจะต่อว่าเขาสักนิด
หยดเทียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ตนไม่ต้องหางานใหม่อีกครั้ง
เสียงปิดประตูเงียบลงเพียงไม่กี่เสี้ยววิ เอย์จิก็รีบไล่ตาสำรวจโต๊ะทำงานของตัวเองทันทีว่ามีสิ่งใดหายหรือผิดแปลกไปจากเดิมหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่พบสิ่งผิดแปลกไปดังที่คิดนอกจากกองเอกสารบนโต๊ะที่ถูกจัดเป็นระเบียบไว้อย่างดี
ร่างเล็กเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อแล้วเดินเท้ากลับห้องพักต่อ พร้อมกับคิดนั่นคิดนี่ไประหว่างทางไม่ให้สมองโล่งก่อนจะยิ้มแก้มปริออกมา วันนี้พ่อบ้านให้เขาเลิกงานเร็วเป็นพิเศษแม้จะไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าเพราะอะไร แต่ก็เป็นโอกาสอันดีเพราะงานที่เข้าช้าออกเร็วไม่ได้มีอยู่ให้ทำมากนัก
หยดเทียนเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยเล็กๆ ที่รถยนต์ไม่สามารถเข้าได้ เขาพลางเดินพลางคิดไปด้วยอารมณ์ปกติจนกระทั่งเกิดเหตุไปคาดฝันขึ้น
“!!!”
“แม่งเอ๊ย! ขับรถดีๆ หน่อยสิวะ!” รถมอเตอร์ไซต์คันสูงขับมาเฉี่ยวเกือบชนเข้าเต็มหลังเบต้าที่กำลังเดินกลับห้องเป็นผลให้เครื่องด่าอัตโนมัติทำงาน ชายหนุ่มเสื้อดำวนรถกลับมาเพราะได้ยินเสียงตะโกนต่อว่าไล่หลังตน
“ไรวะ ก็เดินไม่ดูทางเองกูไม่ชนก็บุญแล้ว!” ชายเสื้อดำสวมหมวกกันน็อกปกปิดใบหน้าเอ่ยขึ้น
“ฉันก็เดินอยู่ขอบทางดีๆ ตาบอดหรือไงถึงไม่เห็นคนเดินอยู่”
“อย่ามาโวยวายหน่อยเลย ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่อย่าทำเป็นอ่อนแอดิวะ!” ชายที่ซ้อนท้ายมาด้วยและสวมหมวกกันน็อกเช่นกันเอ่ยสวน
“รอให้ชนคนตายก่อนหรือไงถึงจะสำนึก! แทนที่ทำผิดแล้วจะขอโทษเสือกว่าเขาอีก จิตสำนึกในสมองเอาออกพร้อมขี้หรือไงวะ!”
“อ้าวเฮ้ย! พูดแบบนี้อยากโดนนักหรือไงวะ!” ชายฉกรรจ์สองคนก้าวขาลงมาจากรถก่อนจะปรี่เข้ามาหมายจะทำร้าย หยดเทียนที่เห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าตนคงสู้ไม่ได้แน่ๆ มันไม่คุ้มที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงแม้จะพอมีวิชามวยอันธพาลติดตัวอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายทั้งร่างสูงกว่ากำยำกว่าตนมากและที่สำคัญฝ่ายพวกมันมีตั้งสองคนทำให้เขาเสียเปรียบ หยดเทียนไม่มีทางเลือกนอกจากตะโกนให้คนที่อยู่แถวนั้นช่วย
“ช่วยด้วยครับ!! ช่วยด้วย!! พวกนี้มันจะข่มขืนผมครับ!! ถ้าอยากมากนักผมจะให้เงินไปซื้อกินแต่อย่าทำอะไรผมเลยนะ!! ช่วยด้วย!!” เสียงร้องแหลมดังลั่นไปทั่วทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นเริ่มเดินออกมามุงดู ทำให้ฝ่ายชายฉกรรจ์ทั้งสองคนต้องร่นถอยออกไปก่อนด้วยความอับอาย
“แสบนักนะฝากไว้ก่อนเถอะมึง!” ว่าแล้วมันก็โยนซองกระดาษสีดำใส่คนตรงหน้าก่อนที่พวกมันทั้งสองจะควบรถแล้วขับออกไปอย่างเร็ว
“กูรับฝากแค่เงินเว้ย!! ไอ้พวกขยะประเทศ!” เขาตะโกนโต้กลับตอนท้ายก่อนจะหันไปขอบคุณชาวบ้านที่ออกมามุงดูแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
หยดเทียนก้มหยิบซองสีดำที่หล่นลงพื้นก่อนจะเปิดซองออก เขาคลี่กระดาษที่พับซ่อนอยู่จึงรู้ว่าด้านในมันเขียนคำขู่เอาชีวิตไว้
** รู้อะไรมาก็หุบปากเอาไว้ซะถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ **
เมื่ออ่านจบเขาก็ขย้ำจดหมายจนยับยู่ยี่ก่อนจะเหยียบซ้ำลงไปแล้วโยนมันทิ้งลงถังขยะด้วยความไม่สนใจ
“ค*ย! จดหมายห่าอะไรปัญญาอ่อน! คิดจะมาเล่นกับหยดเทียนมึงฝันไปเถอะไอ้เวรตะไล” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะปัดฝุ่นออกจากกระเป๋าใบโปรดแล้วเดินกลับห้องเช่าไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว