ตอนที่ 31 นายท่านกับงานประชุม

2700 Words
และแล้ววันงานประชุมครั้งใหญ่ในรอบปีของตระกูลอิวามุโระก็มาถึง เหล่าผู้นำน้อยใหญ่ที่อาศัยใต้เงาต่างทยอยเดินเข้ามาในโถงประชุมของคฤหาสน์หลักที่รองรับผู้คนได้นับพันคนกันอย่างล้นหลาม ภายในห้องโถงขนาดกว้างที่ถูกใช้ในการประชุมมานับสิบรุ่น ถูกคงสภาพตามแบบแปลนเดิมของวัฒนธรรมเก่านับแต่อิวามุโระก่อตั้งขึ้นจนถึงปัจจุบันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่เนื่องด้วยความเก่าแก่ก็ย่อมต้องมีผุพังไปตามกาลเวลา ทางตระกูลจึงจำต้องซ่อมแซมด้วยวัสดุสมัยใหม่ที่มีความคงทนมากขึ้นและเพิ่มเฟอร์นิเจอร์ร่วมสมัยเข้ามาบางส่วนเพื่อความสะดวกสบาย แต่กระนั้นยังคงความงดงามและกลิ่นอายความขลังดั่งวันเก่าเอาไว้ไม่จาง บุคคลสำคัญในตระกูลมากหน้าหลายตา ต่างทยอยพากันเข้ามานั่งลงบนเบาะนุ่มประจำตำแหน่งที่ถูกจัดวางทับเสื่อทาทามิตามแบบฉบับประเพณีเก่าแก่ หากให้เรียงลำดับตำแหน่งที่นั่งอันบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์ในตระกูล คงต้องไล่ลงมาจากเบาะนั่งพื้นประจำตำแหน่งท่านผู้นำอิวามุโระ อิทสึกิ ที่ถูกจัดวางไว้บนพื้นไม้ยกสูงเหนือพื้นราบปกติพร้อมกับเบาะนั่งของนายหญิงอันถูกจัดเตรียมให้นั่งข้างๆ กัน แต่ทว่าก็เป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะผู้นำตระกูลรุ่นนี้ไร้ภรรยา เบาะนั่งดังกล่าวจึงมีไว้สำหรับมารดาของท่านผู้นำหรือก็คือนายหญิงรุ่นที่ 10 แทน จากนั้นตามลงมาด้วยเบาะนั่งของทายาทตระกูลที่ถูกจัดสรรให้นั่งบนพื้นราบปกติและใกล้ชิดกับท่านผู้นำมากที่สุด ถัดสายตาลงไปอีกนิดเป็นท่านผู้เฒ่าทั้งสิบสองและคนอื่นๆ ลดหลั่นตามตำแหน่งลงมา ยิ่งบทบาทน้อยยิ่งนั่งอยู่ไกลตา เบาะนั่งแต่ละที่ถูกจัดวางขนาบข้างทางเดินและแบ่งแต่ละฝั่งให้เท่าๆ กันและที่สำคัญด้านหน้าของเบาะนั่งแต่ละตำแหน่งจะมีชุดน้ำชาและสาเกตั้งบนถาดไม้ไว้ใช้ในยามเปิดพิธี และดื่มดับกระหายในระหว่างการประชุม บรรยากาศอึมครึมตลบอบอวลไปด้วยรังสีอำมหิตน่าเกรงขามของเหล่าผู้นำตระกูลที่ลอยฟุ้งออกมา แม้มีคนมากหน้าหลายตาทว่าไร้เสียงเซ็งแซ่เสวนาเพราะต่างฝ่ายต่างให้เกียรติสถานที่ ผิดกับข้างนอกที่ดูสดใสแต่งแต้มไปด้วยสีสันตามฤดูใบไม้ผลิ ภายในเวลาไม่นานหลังจากผู้คนนั่งกันครบที่ ร่างสูงอันสง่าของชายกลางคนในชุดฮาโอริสีขาวปักลายหงส์ทองคีบกิ่งดอกซากุระสวมทับกิโมโนสีดำขลับน่ายำเกรง แผ่รังสีสว่างความยิ่งใหญ่ไปทั่วหล้าตามทางเดิน สร้างความน่าเคารพนับถือจนผู้ที่นั่งอยู่ใต้ล่างรีบค้อมศีรษะคารวะจนหน้าผากแทบชิดพื้น ตามมาด้วยนายหญิงหรือมารดาของท่านผู้นำที่ปกติแล้วมักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการประชุมใดๆ ของตระกูลผิดกับวันนี้ที่เดินเคียงคู่ท่านผู้นำออกมา เมื่อท่านผู้นำและนายหญิงนั่งลงบนเบาะนั่งพื้น เหล่าผู้คนที่อยู่ใต้อาณัติต่างเงยศีรษะขึ้นหันไปสนใจคนที่นั่งอยู่บนที่สูงเป็นตาเดียวกัน ภายในเวลาไม่นานการกล่าวเปิดพิธีอย่างเป็นทางการก็เริ่มต้นขึ้น อิทสึกิเปล่งเสียงหนักแน่นดังกังวานทั่วโถงใหญ่ แม้คำกล่าวเปิดพิธีจะเป็นเพียงข้อความที่บันทึกอยู่ในตำราเก่าแก่ หาได้ออกมาจากใจจริงของผู้เอ่ย แต่กระนั้นกลับสร้างความน่าเกรงขามเคล้าเสนาะหูเฉกเสียงแตรสวรรค์ดังออกมาในคราวเดียวกัน สิ้นเสียงทุ้มห้าว ดวงตาคมก็หลุบลงตามมือที่คว้าหยิบเอาถ้วยสาเกรสเลิศลิ้นพร้อมชูไปด้านหน้าแสดงให้เห็นว่าขั้นตอนต่อไปคือการทำสิ่งใด ก่อนที่ในไม่กี่อึดใจผู้นำน้อยใหญ่จะกระดกดื่มลิ้มรสสาเกอันร้อนรุ่มเข้าปาก จึงเป็นอันเสร็จพิธีเปิด การประชุมเริ่มต้นดำเนินไปโดยท่านผู้นำจะนำปัญหาที่พบเข้ามาหารือกันในที่ประชุม และก็ไม่ลืมเปิดโอกาสให้บุคคลที่อยู่ใต้ล่างได้นำเสนอปัญหาที่ตนเล็งเห็นเพื่อหาแนวทางร่วมกัน เสริมความมั่นคงและขับเคลื่อนการเป็นไปของอิวามุโระในอนาคตข้างหน้า ซึ่งหลากปัญหาหลายเรื่องราวโดนนำมาถกเถียงกันในที่ประชุมอย่างดุเดือด หากเรื่องใดไม่เป็นมติเอกฉันท์ผู้นำก็จะใช้วิธีการยกมือโหวตเลือกและปฏิบัติตามเสียงข้างมากตามกฎที่บัญญัติไว้ในตำราของตระกูล ซึ่งนั่นก็มักจะสร้างความไม่พอใจให้กับผู้พ่ายแพ้ทว่าก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะทุกอย่างล้วนต้องเป็นไปตามกฎที่ทุกคนต้องยอมรับ “ต่อไปท่านใดมีปัญหา เชิญลุกออกมาชี้แจง” อิทสึกิเอ่ยขึ้นหลังจากปัญหาก่อนหน้านี้จบลงก่อนจะยกชาขึ้นจิบให้ชุ่มคอ “ผมครับ” เอย์จิที่เล็งเห็นว่าเวลานี้เป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะนำเรื่องงานหมั้นหมายที่ถูกเลื่อนเข้ามาอย่างไม่เป็นธรรมมาถกเถียงกันตอนนี้ อิทสึกิยกมุมปากเล็กน้อยอย่างสนใจไม่ต่างจากทุกคนที่จดจ้องท่านทายาทเป็นตาเดียว เพราะปกติแล้วหากเอย์จิเข้าร่วมการประชุมครั้งใดก็มักจะไม่เปิดปากเสนอปัญหาผิดกับครานี้ และปัญหาที่ว่านั้น ท่านผู้เฒ่าและท่านผู้นำต่างก็รู้ดีว่า คงหนีไม่พ้นเรื่องฤกษ์ยามหมายหมั้นอย่างแน่นอน “เชิญท่านทายาท” เสียงทุ้มน่าเกรงขามเอ่ยอนุญาตก่อนที่ร่างสูงจะโน้มศีรษะให้เกียรติผู้นำ แล้วยันกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแลย่างเท้าสุขุมเข้ามาหยุดอยู่ที่กลางหอประชุมเป็นดั่งเวที ทำให้คนทุกท่านเห็นทายาทของอิวามุโระได้อย่างเต็มตา “ผมขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันเพราะทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่าปัญหาที่ผมจะเอ่ยคืออะไร” รอยยิ้มอ่อนน้อมประหนึ่งเคารพนับถือผู้อาวุโสอย่างไม่กล้าแตะต้อง ผิดกับดวงตาฮึกเหิมที่ฉายแววดุร้ายปานจะสังหารกันให้ตายหากทำอะไรให้ผิดใจเข้า “ผมประสงค์จะเปลี่ยนกำหนดการพิธีหมั้นระหว่างอิวามุโระและชิราซากิออกไปเป็นกำหนดการเดิมครับ” เสียงซุบซิบดังระงมขึ้นทันทีหลังจากประโยคดังกล่าวถูกประกาศออกมาจากปากของท่านทายาท ต่างฝ่ายต่างพากันแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน เพราะกลัวว่าตนจะสูญเสียประโยชน์ในครั้งนี้ โดยเฉพาะผู้นำของคุรุคากิที่ขมวดคิ้วพยายามเก็บสีหน้า ซึ่งปฏิกิริยาการตอบสนองช่างเป็นที่น่าพอใจนักสำหรับเอย์จิ อิทสึกิที่เห็นว่าเหตุการณ์กำลังวุ่นวายจึงเอ่ยถามหลานชายเป็นการปรามไปในตัว “เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินกันภายในตระกูล เพราะไม่ใช่เพียงอิวามุโระที่มีอำนาจตัดสินเรื่องนี้” อิทสึกิเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมตั้งศอกลงบนตักอย่างครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยต่อ “...ฉันขอฟังเหตุผลของท่านทายาทสักหน่อย” เสียงเจี้ยวจ้าวดั่งตลาดสดค่อยๆ เงียบลง เอย์จิจึงกล่าวตอบ “ครับท่าน” ชายหนุ่มโน้มศีรษะเคารพก่อนเอ่ย “ผมมีความเห็นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ค่อนข้างไม่ยุติธรรม เพราะการเลื่อนวันหมั้นหมายไม่มีใครคิดเปิดปากถามความคิดเห็นของผู้จะเข้าพิธีเช่นผม ซ้ำยังไม่มีใครส่งข่าวคราวเรื่องนี้ให้ผมทราบ ท่านจะไม่ให้เกียรติทายาทตระกูลไปหน่อยหรือ?” ดวงตาคมจดจ้องท่านผู้นำไม่กะพริบ นึกติฉินลุงตัวเองในใจที่ปล่อยให้คนพวกนี้มีอำนาจบาตรใหญ่จนควบคุมหน่วยข่าวของตระกูลได้ หากไม่ได้คนไว้ใจส่งข่าวคราวให้ เขาก็คงเป็นไอ้หน้าเซ่อยอมเป็นหมากตกลงไปในแผ่นกระดานเกมชิงอำนาจอย่างไม่รู้เรื่อง “คะ คือ...คือผมขอแย้งครับ” สิ้นคำพูดของผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำได้ไม่ถึงนาที ยามาดะ จุนตะ เบต้าหนุ่มผู้เป็นบุตรชายของหัวหน้าหน่วยข่าวกรองในตระกูลก็รีบยกมือแย้งอย่างกล้าๆ กลัวๆ และเมื่อได้รับอนุญาตจากท่านผู้นำจึงรีบกล่าวต่อด้วยเหตุผล “ตะ แต่ถึงยังไงเรื่องนี้ก็จบไปแล้วไม่ใช่หรือครับ หากพูดกันตามความจริงถะ ถึงแม้ท่านเอย์จิจะเข้าร่วมการโหวตในครั้งนั้น ก็ย่อมไม่ส่งผลอะไรต่อผลสรุปเดิมอยู่แล้ว พะ เพราะถึงยังไงฝ่ายเห็นด้วยก็ได้คะแนนโหวตแตกต่างจากฝ่ายไม่เห็นด้วยค่อนข้างมากนี่ครับ...” เสียงสั่นตะกุกตะกักกล่าวจบ ใบหน้ากลมก็รีบงุดซ่อนความประหม่าลง กลัวว่าตนจะทำตามคำสั่งได้ไม่ดีพอ แก้มป่องย้วยอมลมต่อว่าคนที่ตนเรียกว่านายน้อยจนชินในใจ ว่าทำไมต้องให้ตนทำอะไรเช่นนี้ด้วย ทั้งๆ ที่นายน้อยก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนขี้อายทั้งยังแสดงละครไม่เก่งด้วยแต่ก็ยังจะให้ทำ เอย์จิลอบยิ้มอย่างนึกเอ็นดู แม้ในคราแรกจุนตะจะปฏิเสธเสียงหนักแน่น แต่สุดท้ายเจ้าก้อนแป้งก็รวบรวมความกล้าทำตามสิ่งที่ตนไหว้วานได้สำเร็จ บทสนทนาจึงมีการยื้อแย้งกันไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขากำลังตอบโต้มีเหตุและผลมากพอ เป็นเช่นนี้บทสนทนาจึงจะเป็นไปอย่างราบรื่นและดำเนินไปตามแผนการ “ใช่ครับ เป็นอย่างที่คุณชายยามาดะกล่าว เพราะเสียงเพียงเสียงเดียวไม่ว่าจะโอนเอนไปทางใดก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์ แต่ท่านโปรดอย่าลืมนะครับว่าเราจะกล้าขนานนามตัวเองว่าเป็นตระกูลแห่งความยุติธรรมได้ยังไงทั้งที่พวกท่านยังปล่อยผ่านเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อยู่” “ฮึๆๆ หลานย่าเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่?” นายหญิงดันคิยกชายเสื้อกิโมโนป้องปากหัวเราะชอบใจ เสียงกระซิบกระซาบปรึกษากันของผู้คนทั้งหลายดังระงมทั่วทั้งโถงประชุมสร้างความพอใจให้กับเอย์จิอีกครั้ง เพราะมันบ่งชี้ได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีกขึ้นว่าตอนนี้ตนกำลังควบคุมสถานการณ์ในห้องประชุมแห่งนี้ได้ “แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับคำมั่นของท่านผู้นำรุ่นก่อน...” เสียงทุ้มดึงความสนใจกลับมาอยู่ที่ตนอีกครั้งก่อนกล่าวต่อ “อย่างที่ทุกท่านทราบดี ท่านสุซาคุผู้นำรุ่นที่ 10 และผู้นำของชิซารากิรุ่นก่อน ได้ตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรกำกับด้วยหยาดเลือดแนบไว้ในตำราศักดิ์สิทธิ์มานับยี่สิบปี ซึ่งในสัญญาระบุด้วยลายมือของท่านทั้งสองเอาไว้อย่างชัดเจนว่า มิให้ผู้ใดบิดเบือนฤกษ์งามยามเวลา เว้นแต่ผู้อยู่เหนือฟ้าจักเห็นพ้องต้องกัน ฉะนั้นหากว่ากันตามตำราพิธีหมั้นหมายไม่สามารถเลื่อนเข้ามาหรือเลื่อนออกไปได้ไม่ใช่หรือครับ?” มือหนึ่งประคองไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อย ส่วนอีกมือโบกสะบัดปัดป่ายไปในอากาศแสดงท่าทางสอดคล้องกับกิริยาวาจาเสริมให้น่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก ทำให้เริ่มมีผู้คล้อยตามแลเห็นด้วยกับท่านทายาทมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ท่านผู้นำและนายหญิงที่นั่งนิ่งอยู่ด้านบน แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ง่ายดายปานปอกกล้วยเข้าปากเพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีตัวปัญหาคอยขัดขวางแผนการ ซึ่งเอย์จิเองก็ตระหนักถึงข้อนี้ดีว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น และเขาเองเตรียมการรับมือมาอย่างรอบคอบเอาไว้แล้วเช่นกัน คุรุคากิ ไดเซ็น หนึ่งในผู้เฒ่าที่เห็นว่าเหตุการณ์กำลังจะพลิกไปทางผู้สืบทอด ก็เริ่มรุ่มร้อนอยู่ไม่เป็นสุข อีกทั้งผู้เฒ่าคนอื่นๆ ก็เอาแต่นั่งเงียบไม่ปริปาก ผิดกับคำที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าว่าจะช่วยกันทักท้วง ไดเซ็นขบกรามกรอดถีบอารมณ์กรุ่นให้ลงลึกสุดใจ แม้ตนรุ่มร้อนจนอยากจะยกมือขึ้นแย้งมากแค่ไหน แต่เพราะตำแหน่งแจ้งชี้อยู่บนหัวทำให้ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้ตามใจหมาย ไดเซ็นจึงจำต้องส่งสัญาณให้ผู้ที่อยู่ใต้บัญชาที่นั่งฝั่งตรงข้ามขึ้นโต้แย้งแทน “ผมขอแย้งครับท่านผู้นำ!” ยังไม่ทันสิ้นความคิดก็มีคนยกมือขึ้นมาคัดค้านตนแล้ว ช่างเป็นดั่งที่คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดจริงๆ คูชินอิ ยูเซ็ง ผู้นำตระกูลคูชินอิคนปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในผู้ที่เคารพบูชาตระกูลคุรุคากิอย่างถวายหัว เพราะทั้งชื่อเสียงและเงินทองมากมายที่มีให้ใช้อย่างไม่ขาดสายอยู่ทุกวันนี้ก็ล้วนมาจากการพึ่งบารมีของคุรุคากิทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้รับสัญญาณสายตาจากไดเซ็น ยูเซ็งจึงไม่รอช้ารีบปฏิบัติตามคำสั่งเจ้านายทันทีอย่างว่าง่ายและไม่เกรงกลัว “เชิญท่านคูชินอิ” เมื่อได้รับอนุญาตให้เอ่ยเหตุผลที่ยกมือแย้ง ร่างสูงกำยำของชายวัยสามสี่สิบปลายจึงลุกขึ้นยืนและจับจ้องไปที่เอย์จิอย่างไม่พรั่นพรึงใดๆ “อย่างที่ท่านทายาทกล่าวก็ไม่ผิด แต่ต้องเรียนตามตรงว่าท่านเอย์จิอาจจะตีความบรรทัดหลังเพี้ยนไปจากความเดิมนะครับ เพราะท่านผู้นำรุ่นที่ 10 ระบุการละเว้นไว้อย่างชัดเจนว่า การเลื่อนวันเวลาสามารถทำได้หากผู้นำท่านปัจจุบันทั้งสองตระกูลเห็นพ้องต้องกัน ซึ่งการเลื่อนงานสมรสในครั้งนี้ ท่านผู้นำทั้งสองก็เป็นคนลงนามด้วยตัวเอง ฉะนั้นผมจึงไม่เห็นว่าการเลื่อนงานในครั้งนี้ผิดพลาดไปแม้แต่น้อยครับ” ความที่ยูเซ็งกล่าวสร้างความสับสนให้ผู้ที่นั่งฟังและดึงความเห็นไปจากเอย์จิอยู่มากพอสมควร ด้วยประโยคดังกล่าวถูกเล่าโดยเหตุและผลที่สอดคล้องกัน อีกทั้งบุคลิกนักเล่าเรื่องและน้ำเสียงเสนาะเพราะหูจึงไม่แปลกเลยที่เขาสามารถดึงให้ผู้คนให้เห็นด้วยกับตน เพราะกระทั่งท่านผู้นำเองก็ยังชื่นชมในการใช้วาทศิลป์ จนแต่งตั้งให้เป็นทูตคอยเจรจาว่าธุรกิจกับต่างตระกูลทั้งในและนอกประเทศ แต่ช่างเป็นที่น่าเสียดายนัก เพียงเพราะเลือกอยู่ผิดฝั่งเท่านั้นในอนาคตข้างหน้าเอย์จิจึงจำต้องกำจัดทิ้ง.. อิทสึกินั่งมองสถานการณ์อยู่บนบัลลังก์สูงสุดอย่างบันเทิงใจ ราวกับกำลังนั่งดูรายการโต้วาทีที่ผู้เข้าแข่งขันแต่ละท่านต่างมีวาทศิลป์เป็นเลิศหาที่จับได้ยาก ริมฝีปากถูกยกขึ้นพร้อมกับแววตาแพรวพราวทำให้นายหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ถอนหายใจพลางส่ายหน้าหน่ายใจในนิสัยอันแปลกประหลาดชอบนั่งดูคนทะเลาะเบาะแว้งกันของบุตรชายที่อายุป่านนี้แล้วยังแก้ไม่หาย “จะนั่งชมอีกนานไหมครับท่านผู้นำ” กระทั่งโดนฝ่ามือหนักของมารดาตีลงหน้าตักพร้อมกับสายตาคาดโทษจึงรู้สึกตัว “โธ่ คุณแม่ ผมแค่ดูเค้าว่าเจ้าหลานของคุณแม่จะทำยังไงต่อ” อิทสึกิว่าเสียงเบาพลางลูบบริเวณที่โดนตีแม้จะไม่ได้เจ็บอะไรมากแล้วสลัดความรื่นเริงบนใบหน้าออกก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านทายาทมีอะไรจะกล่าวต่ออีกหรือไม่ หากไม่มีฉันจะฟังความคิดเห็นของท่านอื่นแทน” “ผมยังพูดไม่จบครับท่าน” เสียงทุ้มเอ็ดในฐานะหลานทำให้ผู้เป็นลุงลอบยิ้มมุมปากเพราะไม่เห็นหลานชายทำตัวสนิทสนมกับตนมานาน จนเผลอเอ่ยคำติดปากที่ใช้เรียกหลานตามปกติออกไป “เช่นนั้นเชิญนายน้อยต่อ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD