“...” คิ้วเข้มขมวดจาง ๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอยากรู้จนตัวสั่นว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
“วางใจเหอะ ถ้าจีบ ๆ อยู่แล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ กูปล่อยเธอแน่”
“...อืม” นิ่งเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนครางตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับคนพูดน้อย
“ถ้าเข้าใจแล้วก็...” ผมยกยิ้ม “ขอเงินสักแสนดิ”
ไอ้สิบ “...”
เพราะใช้เวลาอยู่ที่บ้านนานไปหน่อย บวกกับเส้นทางขากลับผมเลือกเป็นถนนสายหลักด้วย จึงทำให้การจราจรติดขัดเป็นพิเศษ
ระหว่างรถจอดแน่นิ่งบนถนน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังเล่นเกมฆ่าเวลา ทว่าเห็นแจ้งเตือนจากแอปฯ ธนาคารจึงกดเข้าไปดูด้วยความอยากรู้
15:26 บช x238229x รับโอนจาก x2788762x 1,000,000 บ คงเหลือ x,xxx,xxx บ
หืม? ขอแสนเดียว แต่ไอ้สิบเล่นโอนมาหนึ่งล้านเลยว่ะ
เท่านั้นไม่พอ ยังทิ้งข้อความไว้ในไลน์ว่า ‘ใช้ระวัง ๆ’ ด้วย คงกลัวผมเอาไปละลายน้ำทิ้งมั้ง
ผมเก็บรอยยิ้มไว้ในกระพุ้งแก้ม ก่อนกดเข้าแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก สิ่งแรกที่ปรากฏหน้าไทม์ไลน์คือโพสต์ของส้ม เธออัปรูปตัวเองที่กำลังนอนอยู่บนโซฟา เป็นภาพช่วงอกไล่ต่ำไปจนถึงปลายเท้าซึ่งมันถูกคลุมทับด้วยผ้าห่มอย่างมิดชิด และมีข้อความประกอบว่า ‘ไม่น่าตากฝนเลยเรา ป่วยจนได้’
ผมเป็นเพื่อนกับส้มในเฟซบุ๊กตั้งแต่ปีสองแล้ว คือ...แค่แอดเฟรนด์ไปแบบไม่ได้คาดหวัง แต่หลังจากนั้นสองสัปดาห์ผมกลับพบว่าเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งหน้าไทม์ไลน์ ทำให้ผมเห็นความเคลื่อนไหวจากแอปพลิเคชันนี้ซึ่งเป็นช่องทางที่เธอแอ็กทีฟบ่อยที่สุด
ผมกดไลก์ ก่อนจะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นกลางหัว
End Describe.
อยู่ดี ๆ พี่กบ...ซึ่งเป็นนิติของคอนโดฯ ก็ส่งข้อความมาบอกว่า ‘คุณน้ำส้มคะ ลงมารับของด้วยจ้า มีคนฝากมาให้ค่า’
แม้ความเคลือบแคลงจะกดทับจนหนักไปทั้งบ่า ทว่าฉันก็ลงลิฟต์ไปหาเธอที่หน้าฟรอนต์
ก่อนได้คำตอบว่า ‘ของที่มีคนฝากมา’ เป็นอาหารและยาลดไข้แทบทุกชนิด มีโน้ตแผ่นหนึ่งแนบมาพร้อมกับของพวกนั้น ครั้นหยิบขึ้นมาอ่านก็ไม่พบข้อความใดนอกจากอิโมจิหน้ายิ้มที่ถูกวาดด้วยปากกาสีแดง ที่น่าขนลุกคือ...บางส่วนของโน้ต (น่าจะ) โดนสายฝนเล่นงาน ทำให้หมึกสีแดงซึมลงบนแผ่นกระดาษจนปรากฏเป็นคราบพิลึก ดูไปดูมาแล้วให้ความรู้สึกคล้ายเลือดอยู่เหมือนกัน
เมื่อปรับระดับสายตาลงต่ำจึงพบว่าเจ้าของการกระทำทั้งหมดนี้คือสี่
เกือบจะดีอยู่แล้วนะนาย...ถ้าไอ้อิโมจิหน้ายิ้มนั่นไม่ถูกน้ำฝนกลั่นแกล้งจนกลายสภาพเป็นอิโมจิสยองขวัญ...ราวกับสาสน์จากความตายแบบนี้
“ฮั่นแน่ หนุ่มคนใหม่เหรอคะ”
ระหว่างกำลังพินิจพิเคราะห์เจ้าแผ่นโน้ตสยองขวัญ เสียงแหลมคุ้นหูของพี่กบพลันดังขึ้น แน่นอนว่ามันมากพอที่ฉันจะเลิกสนใจสิ่งที่อยู่ในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง
“หนุ่มเหนิ่มอะไรคะคุณพี่ ไม่มีหรอกค่า” ฉันปฏิเสธเพราะไม่อยากว่าความยาวสาวความยืด
ทว่าพี่กบซึ่งเป็นสาวช่างเมาท์ ทั้งยังชอบกินเผือกเป็นชีวิตจิตใจกลับไม่ยอมปล่อยผ่าน จากตอนแรกเพียงยืนกอดอกอยู่เฉย ๆ จึงเปลี่ยนเป็นโน้มตัวเข้ามาใกล้และเท้าคางมองกันตาไม่กะพริบ ไม่เกรงใจเจ้าเคาน์เตอร์หน้าฟรอนต์ที่ยังขวางกั้นเราสองคนเลยสักนิดเดียว
พลังแห่งความขี้เผือกมันรุนแรงเสมอเลยค่ะ
“อย่าโกหกพี่เลย” เธอกล่าวเสียงดังฟังชัด แอบหลุบมองโน้ตและถุงกระดาษมากมายในมือฉันอย่างมีนัยยะ “พี่เห็นเองกับตาเลยล่ะ”
“หือ?”
“ก็หนุ่มคนใหม่ของคุณน้ำส้มน่ะสิคะ เขาเอาของพวกนั้นมาฝากพี่เองกับมือเลยน้า” ว่าแล้วพี่กบก็ทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม ในใจคงคิดไปไกลถึงดาวอังคารแล้วละมั้ง “พี่บอกเลยนะ คนนี้ท่าจะเด็ด!”
“พี่ก็” ฉันหัวเราะเบา ๆ ทว่าแอบแฝงจริตความแรดแบบพอหอมปากหอมคอ
“นั่นไง ยอมรับแล้วเหรอคะ”
พอเห็นท่าทางของฉันคนช่างเมาท์ก็คืบคลานเข้ามาใกล้ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ความอยากรู้อยากเห็นแทบล้นทะลักออกมากองบนเคาน์เตอร์ได้อยู่รอมร่อ
“เขาแค่มาจีบส้มค่ะ แต่ส้มไม่ได้ชอบอะ” ถึงขนาดนี้แล้วฉันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก
แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจว่ากะปฏิเสธให้มันจบ ๆ ไป เพราะหากยอมรับว่าสี่เป็นหนุ่มคนใหม่ที่กำลังตามจีบฉันจริง ๆ ละก็ พี่กบต้องถามกันไม่หยุดแน่ว่าเจอกันที่ไหน โน่นนั่นนี่ บลา ๆ
ในเมื่อเธอเห็นกับตาแล้วว่าเขาเอาของพวกนี้มาส่งด้วยตัวเอง ฉันที่ไม่ค่อยสันทัดในการโกหกใครอยู่แล้วจึงยอมรับแบบซึ่ง ๆ หน้าไปเลย
“หา!? หล่อขนาดนั้นยังไม่เข้าตาคุณน้ำส้มอีกเหรอคะเนี่ย!” ดวงตาพี่กบเบิกโพลง เชื่อเถอะว่าลูกกลม ๆ สองลูกนั่นแทบทะลักหลุดออกมาจากเบ้าอยู่แล้ว
มันน่าตกใจตรงไหนกันหว่า?
“พอดีส้มเข็ดกับความรักน่ะ เลยไม่อยากสานสัมพันธ์กับใครแล้ว” เป็นคำอธิบายที่ไม่เสแสร้งเลยสักนิดเดียว แม้จะรู้สึกขอบคุณในความหวังดีที่ผู้ชายคนนั้นหยิบยื่นให้มาก ๆ ก็ตาม
“แต่เขาหล่อมาก ๆ เลยนะคะ ถึงจะดูแบด ๆ แต่เดาว่าต้องรวยแน่”
“เนอะ จริง ๆ ส้มก็ชอบเงินนะคะ อยากมีโมเมนต์เกาะผัวกิน อยากให้ผัวเลี้ยงบ้าง”
ฉันกล่าวติดตลกพลางกลั้วหัวเราะ พลันนั้นเองสมองก็นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาในอดีต
ช่วงคบกับพี่เคย์ แม้เราสองคนจะหารค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายจิปาถะภายในครัวเรือนกันคนละครึ่ง แต่เวลาออกไปกินข้าวข้างนอก มีทริปเที่ยว มักเป็นตัวฉันเองซะมากกว่าที่ต้องรับผิดชอบในส่วนนั้น
ของขวัญวันครบรอบหรือตามเทศกาลสำคัญต่าง ๆ นับตั้งแต่คบกัน...ฉันเคยได้จากเขาเพียงครั้งเดียว แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สำหรับฉันแล้วความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับของนอกกาย แต่เพราะแคร์เขามาก อยากให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษของฉันคนนี้ตลอดเวลา...ในแต่ละปีจึงเสียเงินซื้อของขวัญให้ผู้ชายคนนั้นมากมาย ทั้งยังไม่เคยโกรธเคืองและให้อภัยทุกครั้งตอนจับได้ว่าเอาของที่ฉันซื้อให้ด้วยน้ำพักน้ำแรงไปขายและเอาเงินมาใช้ส่วนตัว
ไม่เคยโกรธเลย...
นี่ยังไม่นับรวมเงินจำนวนหนึ่งที่เขายืมและอ้างว่าเอาไปลงทุน ซึ่งฉันไม่เคยรู้เลยว่าการลงทุนที่ว่านั่นมีอยู่จริงหรือแค่เมกขึ้นมาเพื่อหลอกลวงกันเฉย ๆ
พอลองมาใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบหลังจากที่ความสัมพันธ์จบลงแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นได้แค่อีหน้าโง่คนหนึ่ง ทนกับพฤติกรรมแย่ ๆ นั่นได้นานสองนานถึงขั้นวางแผนเรื่องในอนาคต
ดีจริง ๆ ที่หลายวันก่อนฉันไม่ยอมให้ความรักมาบังตา
ดีจริง ๆ ที่หลุดพ้นออกมาได้
แม้ยังปวดหน่วงเหมือนโดนคมมีดปักฉุบลงกลางใจทุกครั้งที่นึกถึงก็เถอะ
“โอ๊ย อย่างคุณน้ำส้มน่ะหาหลัวรวย ๆ ได้สบายเลยค่ะ ใช้ความสวยของตัวเองให้เป็นประโยชน์สิคะ” คำแนะนำของพี่กบยิ่งทำให้ฉันขำจนไหล่สั่น
“ส้มล้อเล่นจ้า” ดังนั้นฉันจึงต้องรีบบอกเธอว่าสิ่งที่พูดไปไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง “ถึงจะอยากสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นดู แต่พอถึงเวลาจริง ๆ คงไม่กล้าเกาะใครกินหรอก ไม่ใช่เงินของตัวเองแล้วมันรู้สึกแปลก ๆ อะคุณพี่”
ครั้นพูดถึงเรื่องเงิน เหตุการณ์ช่วงค่ำเมื่อวานก็ผุดวาบขึ้นกลางหัว
“ผมให้ลุงพันหนึ่ง ไม่ต้องทอน พาเธอไปส่งที่คอนโดฯ xxx อย่างปลอดภัยนะครับ”
เป็นตอนที่ฝนเริ่มซาแล้ว ทว่าบรรยากาศโดยรอบกลับหนาวยะเยือก
นอกจากสี่จะโทร.เรียกแท็กซี่ให้มารับฉัน เขายังยื่นเงินให้ลุงคนขับหนึ่งพันบาท ทั้งที่ค่าโดยสารของจริงปรากฏบนจอมิเตอร์เพียงสามร้อยสิบหกบาท ยอมรับว่าตอนนั้นค่อนข้างอึ้ง เพราะเกิดมาเพิ่งเคยเจอคนให้ทิปคนขับแท็กซี่มากขนาดนี้
“แต่ยังไงซะ ลองเปิดใจดูก็ไม่เสียหายน้า”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่า”
เราคุยกันต่อราวห้านาทีก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายขอตัวกลับห้องเพราะอยากกินยาพักผ่อน
แม้ไม่อยากทำให้สี่คิดว่าฉันกำลังเปิดทาง แต่อาหารและยาพวกนี้...ถ้าปฏิเสธการรับหรือโยนลงถังขยะคงดูใจร้ายเกินไปหน่อย ดังนั้นฉันจึงกินอาหารทั้งหมดที่เขาซื้อมาให้ ก่อนแชตไปขอบคุณตามมารยาท
Namzom Sueysa : แต้งส์นะนาย แต่คราวหลังไม่ต้องละ
น่าแปลกที่สี่อ่านข้อความนั้นอย่างรวดเร็วประหนึ่งถือโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
Sie Siratee : เต็มใจ
Sie Siratee : มีไรเรียกได้ตลอด 24 ชั่วโมงนะ
ไม่มีงานมีการทำหรือไงนะตาคนนี้...