“พูดเหมือนตัวเองเป็นคนดีนักหนา” ผมแค่นหัวเราะใส่คำครหาของพี่ชาย ซึ่งจริง ๆ แล้วนิสัยก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมสักเท่าไหร่ ก่อนจะยัดมาการองที่พร่องไปเสี้ยวหนึ่งเข้าปากทีเดียว เคี้ยวอยู่ไม่กี่ครั้งก็กลืนลงคอ “อย่าให้กูร่าย สิบหน้ากระดาษยังไม่พอเลยมั้ง”
“เหรอ” ‘คนดี’ ครางถาม สีหน้ายังไร้คลื่นอารมณ์เช่นเคย “ของมึงคงร้อยหน้ากระดาษ”
“แต่อย่างน้อยกูก็รู้ใจตัวเองนะพี่ ไม่โง่ดักดานนานเหมือนมึง” ประโยคนี้ ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำและหนักแน่นเป็นพิเศษ จงใจแดกดันคนตรงหน้าอย่างชัดเจนและเถรตรง
ผมกับไอ้สิบมีช่องว่างระหว่างวัยสี่ปี ทว่าด้วยความสนิทสนมและความสัมพันธ์แบบ 'ทั้งรักทั้งเกลียด' ทำให้ไม่มายด์เรื่องสรรพนามหรือการวางตัวตามลำดับอายุ ด้วยเหตุนั้นเวลาสนทนากันจึงมีทั้งคำหยาบคาย การด่าทอ คุยแบบธรรมดาแทบนับครั้งได้
แต่สบายใจได้เลย สำหรับเราสองคนนี่นับเป็นเรื่องปกติ
เอาไว้ควักปืนออกมาจ่อหน้ากันเมื่อไหร่ค่อยกังวล
“...” พอโดนโจมตีด้วยความจริง ไอ้สิบก็นิ่งค้างเป็นปูนปั้นเหมือนไม่อาจหาข้อแก้ตัวมาโต้แย้ง
มันรักมิ้นมาตั้งนาน แต่ดันโง่เง่าไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง กว่าจะยอมรับได้ว่านั่นคือความรักก็เสียเวลาไปมาก คนที่เชื่องช้าและเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งเต่าล้านปีอย่างมัน...ไปฝึกพูดให้ทันเมียตัวเองก่อนเถอะ ก่อนจะมายุ่มย่ามเรื่องของคนอื่น
“เอาน่าไอ้พี่ชาย” เพราะเอาชนะพี่ชายได้แบบไม่เปลืองแรงผมจึงอารมณ์ดี “เดี๋ยวมึงก็รู้เองว่าเธอคนนั้นเป็นใคร”
ผมไม่คิดปิดบังครอบครัวอยู่แล้ว แต่อยากขอเวลาอีกสักหน่อย
“เฮ้อ...” จบคำนั้นคุณนายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งคล้ายเหนื่อยหน่ายเกินจะทานทน
“เป็นไรแม่” เป็นผมที่เปิดปากถาม
ไอ้สิบเองก็ดูจะฉงนสงสัยไม่ต่างกัน แต่ถ้ารอให้มันง้างปากพูดคงเป็นพรุ่งนี้เช้าแน่
“ปวดหัวกับพวกแกสองคนน่ะสิ” แม่ให้คำตอบแล้วยกมือคลึงขมับ “โตจนป่านนี้แล้วยังเถียงกันอยู่ได้”
“ก็มันด่าผมว่าเหี้ยก่อน”
“ความจริง” ไอ้สิบสวนเสียงห้วน หากเป็นเมื่อก่อน...สมัยที่ยังเด็กกว่านี้ เชื่อเถอะว่าคงหนีไม่พ้นการวางมวย
“มึงเหี้ยกว่ากูอีก” แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะยอม
“พอ!” ท้ายที่สุดแล้วคุณนายแม่ก็ห้ามทัพด้วยเสียงกัมปนาททรงพลัง เราสองคนจึงเปลี่ยนมาฟาดฟันกันด้วยสายตาแทน “พวกแกนี่...”
“โอเคครับคุณนาย ไม่ทะเลาะแล้วก็ได้” เพราะกลัวทำให้แม่ปวดหัวจนไมเกรนขึ้นจึงสำทับด้วยคำพูด “แล้วสรุปแม่เรียกผมมาที่นี่ทำไม ขอความจริง” ก่อนจะทำเป็นลืมเรื่องเมื่อครู่นี้ด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
บางทีท่านอาจแค่อยากบ่น ไม่มีเหตุผลมากไปกว่านั้น
“แค่อยากเห็นหน้าเฉย ๆ ไม่ได้หรือยังไง” คำตอบนั้นมาพร้อมกับใบหน้าอันยับยุ่ง “เล่นกลับบ้านสองเดือนครั้ง คนงานที่นี่จะลืมหน้าแกหมดแล้ว”
“คิดว่าผมแคร์เหรอ” จริง ๆ แล้วผมมีคนงานที่สนิทด้วยอยู่สองสามคน นอกเหนือจากนั้นไม่รู้แม้กระทั่งชื่อแซ่ “อย่าเอาเรื่องคนงานมาอ้าง คิดถึงก็บอก”
ผมพูดอย่างรู้ทัน สำทับด้วยการระบายยิ้มจาง ๆ ในแบบที่คุณนายไม่อาจปฏิเสธความจริงได้
“ก็ใช่น่ะสิ” แล้วท่านก็ยอมรับ “แม่เป็นห่วงแกด้วย กลัวแกจะโดนรุมกระทืบจนตาย”
“ไม่ขนาดนั้นมั้ง” ตัวต้นเรื่องอย่างผมทำได้เพียงกลั้วหัวเราะ “ผมห่าง ๆ จากเรื่องพวกนั้นแล้ว”
“เหรอ ได้ข่าวว่าเดือนก่อนยังไปมีเรื่องกับแก๊งฮาร์เลย์อยู่เลย”
“เคลียร์กับพวกมันแล้ว” ผมยืนกราน “ไม่ต้องห่วงน่า”
“...” แม่ไม่พูดอะไร ทว่าผมอ่านสีหน้าท่านออก แม้แววตาจะยังคงริ้วดุกร้าวตามประสา แต่ความห่วงหายังแฝงเร้นอยู่ในนั้นทุกวินาที
ผมเป็นลูกชายคนเล็ก เป็นคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งหมดที่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งเรื่องการงาน ทั้งด้านความรัก มันไม่แปลกหรอกที่ท่านจะมีภาพจำว่าผมยังเป็นแค่เด็กน้อย ไม่แปลกเลยสักนิดที่ความห่วงใยนั้นจะล้นทะลักออกมาให้เห็น
“ทำหน้าเป็นตูดแบบนั้นระวังริ้วรอยนะคุณสิระสา” ผมเย้าแหย่หวังเรียกเสียงหัวเราะ “ตีนกาขึ้นแน่”
“ตาสี่” เพราะซีเรียสเรื่องนี้มากแม่จึงเตรียมหยิกผมอีกรอบ ทว่าผมยุติมันด้วยการยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ฝังปลายจมูกลงบนผิวแก้มด้านซ้ายซึ่งมีแม้จะมีร่องรอยและความสากเล็ก ๆ ตามช่วงวัย แต่ยังนุ่มนิ่มสุด ๆ สำหรับลูกชายคนนี้
โดนขโมยหอมแก้มไปหนึ่งฟอดแบบเน้น ๆ ความเกรี้ยวกราดของคุณนายก็คล้ายจะทุเลา
นี่เป็นสิ่งที่ผมทำกับท่านประจำยามเจอหน้า
ถ้าเทียบกับพ่อแล้ว ระดับความสนิทสนมนั้นอยู่ต่ำกว่าแม่ถึงสองเท่า เป็นเหตุผลที่ผมมักไม่ค่อยเขินอายหากจะแสดงความรักด้วยการกอดหรือหอมแก้มแม่
หวังว่าการกระทำนี้จะกระชากความตึงเครียดให้ลดต่ำลง แต่แล้วไอ้ปากไม่รักดีกลับปล่อยหมาออกไปถึงสองตัว “ไม่ค่อยตึงแล้ว ฉีดโบท็อกซ์หน่อยไหมแม่?”
“สิรธีร์!”
“โอ๊ย! อย่าตีผม”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา...หลังร่ำลากับทุกคนแล้วผมก็เตรียมกลับคอนโดฯ
ทว่าหลังจากที่คนงานขับรถมาจอดเทียบลานกว้างหน้าประตูบ้าน ผมซึ่งกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถกลับต้องชะงัก...
“ไอ้สี่” เหตุเพราะถูกฉุดรั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำของพี่ชาย ครั้นหันกลับไปถึงพบว่ามันกำลังเยื้องย่างอย่างสุขุมมาทางนี้ ใช้เวลาครู่เดียวก็หยุดฝีเท้าลงตรงหน้า โดยไม่ลืมรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้หนึ่งเอื้อมแขน
รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าไอ้พี่ชายหน้าตายมีสิ่งที่อยากพูด
“มีไร” ผมถาม “ถ้ายาวมากมึงพิมพ์มานะ กูรอมึงพูดไม่ไหวหรอก”
“เรื่องผู้หญิงคนนั้น” เมื่ออีกฝ่ายเปรย ก็รู้ได้ทันทีว่ามันหมายถึงผู้หญิงที่ผมกำลังตามจีบ
“อือ ทำไม” ผมเอนหลังพิงรถ ยกสองแขนขึ้นกอดอก
“กูจริงจัง” น้ำเสียงที่พี่ชายใช้กดต่ำกว่าปกติหลายระดับ “ช่วยทำตัวดี ๆ กับเธอหน่อย”
“แหงดิ” ผมยืนกราน “ก็กูชอบเธอ ไม่ให้ทำตัวดี ๆ แล้วจะให้ทำตัวระยำหรือไง?”
“มึงแปลก” นั่นเหรอคือเหตุผลที่มันเป็นกังวล? ตลกฉิบ... “กูกลัวมึงจะไปคุกคามเขา”
“นี่สิปปกร” ถึงกับต้องพรูลมหายใจยาวเหยียด “สารรูปภายนอกกูเป็นงี้ แต่กูไม่เหยียบย่ำคนที่กูชอบแน่”
เพราะรอยสัก รอยแผลเป็น กอปรกับภาพลักษณ์ที่ดูเลวเกินคนปกติเล็กน้อย จึงทำให้ใคร ๆ ต่างตัดสินว่าผมต้องมีนิสัยสอดคล้องกับลักษณะภายนอกทุกกระเบียดนิ้ว
ผมเลวในยามที่จำเป็น เป็นไอ้สี่เวอร์ชันดาร์กไซด์เฉพาะตอนโดน ‘ล้ำเส้น’ เท่านั้น ไอ้สิบรู้จักผมดียิ่งกว่าใคร เป็นเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นด้านมืดมิดที่สุดของผม ก็พอเข้าใจที่มันจะพะวักพะวนจนออกอาการ