ฉันมุ่นคิ้ว อยากถามเหมือนกันว่าว่างขนาดนั้นเลยหรือไง แต่จำต้องเบรกการกระทำของตัวเองไว้เพราะกลัวว่าการสนทนานี้จะยืดยาวไปไกล และการยอมคุยกับเขานาน ๆ นับเป็นโอกาสที่ฝ่ายนั้นจะคิดเองเออเอง
ไม่ดีแน่
เมื่อตัดสินใจได้จึงทำแบบเดิมคือ...อ่านแต่ไม่ตอบ
หลังจากนั้นฉันใช้เวลาในช่วงวันหยุดไปกับการพักผ่อน โชคดีที่พิษไข้อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางอ่อน พอถึงวันจันทร์จึงกลับมากระปรี้กระเปร่าพร้อมลุยงานได้เหมือนเดิม
ยังคงเป็นอีกวันที่ฉันต้องใช้บริการรถเมล์ด้วยเหตุผลด้านความประหยัด
เงินเดือนเข้าพรุ่งนี้แล้ว ทนอีกวันเดียวไม่เป็นปัญหาหรอก
ฉันออกมายืนรอรถเมล์หน้าป้ายซึ่งอยู่ติดกับคอนโดฯ ทว่าเวลาผ่านไปเพียงสองนาทีเท่านั้นก็มีรถยนต์สีดำคันหนึ่งค่อย ๆ ชะลอและจอดเทียบฟุตบาธตรงหน้าฉันแบบพอดิบพอดี
เพราะหยุดแน่นิ่งตรงหน้าราวกับจงใจ คิ้วทั้งสองข้างจึงขมวดมุ่นด้วยความฉงน กระทั่งกระจกสีดำทึบถูกปรับต่ำลงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าของยานพาหนะสุดหรูคันนี้
“มา เดี๋ยวฉันไปส่ง ใกล้ได้เวลาเข้างานแล้วนี่”
“สี่?”
ใช่แล้ว เขาคือสี่...ผู้ชายแปลก ๆ คนนั้นที่ออกตัวแรงว่าอยากจีบฉัน แต่ไม่คิดว่าจะแรงถึงขั้นรู้เวลาเข้างานของฉันด้วย!
“อือ ขึ้นมาดิ รอไร”
“ไม่เป็นไร เราตั้งใจจะขึ้นรถเมล์อะ” จังหวะปฏิเสธพลันเห็นว่ามีรถเมล์คันหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวมาทางนี้จากที่ไกล ๆ “นั่นไง ใกล้มาแล้ว นายไปเถอะ เราไม่รบกวนหรอก”
ไม่เพียงพูด แต่ยังพยักพเยิดหน้าไปทางขวาซึ่งมีรถเมล์จริงตามที่พูด
สี่มองรถเมล์คันนั้นผ่านกระจก ทว่าก็ไม่วายหันกลับมา “ฉันตั้งใจมารับเอง”
“...”
“แอร์เย็นนะ นั่งฟรีด้วย” เมื่อฉันเผยท่าทีลังเลเขาจึงเปลี่ยนมาบรรยายสรรพคุณรถของตัวเองซะอย่างนั้น “อยากให้ ‘ลองดู’ ก่อน เผื่อจะติดใจ”
แน่ะ...
“ที่บอกว่าเผื่อจะติดใจ หมายถึงรถหรือนายกันแน่?” ฉันถามอย่างตรงไปตรงมาเพราะคำพูดเมื่อครู่นี้แอบกำกวม แต่จากประสบการณ์แล้ว...ค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าลึก ๆ เขาไม่ได้หมายถึงการนั่งรถเพียงอย่างเดียวแน่
“ก็...” สี่จ้องหน้าฉัน ยกมุมปากขึ้นจนปรากฏเป็นรอยยิ้มลึกลับ “ต้องเป็นรถดิ”
“...” ฉันหรี่ตา
“ส่วนฉัน เธอควรเป็นคนตอบมากกว่าว่าติดใจเปล่า”
เออ ไอ้หล่อนี่มันมั่นหน้าอยู่นะ
ฉันหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะขยับริมฝีปากเพื่อหยิบยื่นคำตอบ “ถ้าเราติดใจนาย เราควรเป็นฝ่ายวิ่งตามนายมากกว่าน้า แต่นี่...เหมือนจะเป็นนายอะที่ติดใจเรา”
คืนนั้นลีลาของฉันอาจจะเด็ดดวงสะท้านโลกีย์ก็ได้ สี่ถึงเอาจริงเอาจังขนาดนี้
แต่ No ไม่มีรอบสองแน่จ้ะ
“ก็ติดใจไง” สี่ขยับมาเอื้อมมือเปิดประตูให้ฉัน ดันเบา ๆ จนมันค่อย ๆ เปิดออก “และติดเธอด้วย”
กรี๊ด นายคนนี้มันสู้
“แหม เพิ่งเจอกันได้ไม่ทันไรก็คลั่งรักซะแล้ว” ฉันพึมพำแผ่วเบาในประโยคแรก “เอาเถอะ อาทิตย์เดียว เราให้นายแค่นั้น”
และเพิ่มระดับเสียงในประโยคต่อมา
หวังว่ามันจะดังพอที่สี่ซึ่งอยู่ห่างจากฉันประมาณสามเอื้อมแขนจะได้ยิน
“...”
เดาจากคิ้วเข้มที่เลิกคิ้วแสดงออกถึงการตั้งคำถาม ชัดเจนแล้วว่าคำพูดของฉันส่งตรงถึงหูเขาทุกพยางค์
“ถ้านายได้ทำความรู้จักเราจริง ๆ คงเลิกชอบแน่”
“ก็ลองดู” แม้จะทำสีหน้าสงสัยในตอนแรกทว่าเพียงไม่กี่วินาทีนับจากนั้นเขากลับยักไหล่ ดูผ่อนคลายเหมือนไม่มีอะไรที่ต้องกังวล
เห็นดังนั้นฉันจึงตัดสินใจขึ้นรถไปกับเขา
จริงอยู่นิสัยฉันไม่ได้ดีเด่อะไร เปรียบเป็นเฉดสีคงเทาพอประมาณ แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดผู้ชายจะวิ่งแจ้นกลับบ้านได้ในภายในหนึ่งอาทิตย์
ที่อยากบอกคือ...ฉันมีแผน
แผนที่จะทำให้เขาเลิกชอบฉัน สุดจะทนกับพฤติกรรมของฉัน หัวเสียกับนิสัยของฉัน และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน
ก็ลองดูแล้วกันว่าจะทนได้สักกี่น้ำ
ต่อมา
“นายบอกว่าจีบเราเป็นคนแรก...แน่ใจนะว่าไม่ได้โกหก?”
รถเคลื่อนตัวได้เพียงหนึ่งนาที ฉันซึ่งเป็นคนช่างคุยอยู่แล้ว กอปรกับมีสิ่งที่ค้างคา จึงถือโอกาสนี้เปิดปากถาม
จะว่ายังไงดีล่ะ คือสี่ดูแปลก ๆ ก็จริง แต่ระดับความร้ายกาจในคำพูดคำจาก็ใช่จะไก่กา ดู ๆ แล้วไม่ได้ใสซื่อด้านการเข้าหาผู้หญิงขนาดนั้น
ประกอบกับภาพลักษณ์โดยรวมของเขาด้วยแล้ว ยิ่งเชื่อได้ยากว่าจะไม่เคยจีบผู้หญิงคนไหนมาก่อน
“เคยบอกไปแล้วว่าไม่ได้โกหก”
สี่ละความสนใจจากท้องถนน ยืนยันความจริงด้วยการมองสบตาฉันประมาณสองวินาทีแล้วค่อยลากมันกลับไปจดจ่อเส้นทางดังเดิม
“นายดูไม่เหมือนคนจีบผู้หญิงครั้งแรกอะ” กล่าวพลางสำรวจซีกหน้าด้านซ้ายของเขา แอบตะลึงกับสันจมูกที่โด่งรับหน้าผากนั่นอยู่ไม่น้อย พระเจ้าต้องรักนายคนนี้มากขนาดไหนนะถึงปั้นออกมาได้น่าอิจฉาเบอร์นี้ “คำพูดเมื่อกี้พอใช้ได้เลยนะ”
“ชอบอะดิ จะได้พูดให้ฟังบ่อย ๆ” ว่าแล้วคนข้าง ๆ ก็ยกมุมปากขึ้น บ่งบอกว่าพึงพอใจกับคำชมที่ฉันมอบให้พอสมควร
“อ๋อ เปล่าหรอก” ฉันปฏิเสธ ดึงสายตากลับมาจับจ้องเส้นทางอันแสนคุ้นเคย “เราเจอมาเยอะแล้ว นี่น่ะค่อนข้างธรรมดา แต่ก็ดูไม่ใช่สิ่งที่คนไร้ประสบการณ์จะพูดออกมาได้ด้วยสีหน้าและท่าทางเป็นธรรมชาติแบบนั้น”
“เธอสวย เจอมาเยอะก็ไม่แปลก” ไม่สะทกสะท้านสักนิดแม้จะโดนแซะว่าคำพูดของเขาค่อนข้างธรรมดาเมื่อเทียบกับผู้ชายคนอื่น ๆ ที่เคยเข้าหาฉัน กลับกัน...ยังเอ่ยชมได้หน้าตาเฉย ชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่าความแปลกของเขาจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน... “ฉันจำมาจากเพื่อนสนิท”
“หืม?” ฉันหันกลับไปมองเจ้าของเสียงแหบทุ้ม
“ไอ้เบนเพื่อนฉัน มันโคตรเจ้าชู้”
“...”
แล้ว?
“จีบสามสิบคนก็ติดทั้งสามสิบ”
“ฮะ!? สามสิบคน! ถามจริง!” ฉันยกมือทาบอก
“ใช่ ฉันแค่จำจากมันมาบ้างไง ไม่ได้มีไรซับซ้อน” ต่อให้นี่จะเป็นการเจอกันครั้งที่สามของเรา แต่น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่ฉันมองไม่เห็นความเสแสร้งจากเขาเลย นอกจากเป็นคนตรงไปตรงมาแล้วก็อาจจะไม่ใช่ประเภทปั้นน้ำเป็นตัว...ละมั้งนะ “ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปเอง”
“โอเค” ฉันพยักหน้าแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เราขอถามอีกนะ”
เพราะยังไม่หายสงสัยฉันจึงเตรียมถามคำถามต่อไป แต่อยู่ดี ๆ รถก็ค่อย ๆ ชะลอและหยุดลง เมื่อมองทะลุกระจกหน้ารถออกไปจึงได้คำตอบว่าเราสองคนติดแหง็กอยู่ตรงสามแยกไฟแดง
“ไม่ต้องขอเลยเธอ” ด้วยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยแล้ว สี่จึงสามารถหันหน้ามาทางนี้ได้อย่างเต็มที่ “ฉันฟังเธอพูดได้ทั้งวัน”
ฉันชะงักเบา ๆ ไม่ใช่เพราะคำพูดที่ดูก็รู้ว่าจงใจตะล่อมให้เคลิบเคลิ้ม แต่เป็นเพราะได้พิจารณาใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ครั้งแรกที่เจอกันคือตอนอยู่ในผับ แสงไฟค่อนข้างสลัวในระดับที่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไงทว่าก็ไม่สามารถมองเห็นพวกขี้แมลงวันหรือลักษณะพิเศษบางอย่างได้
ครั้งที่สองตอนอยู่บนรถเมล์ แม้บนรถมีไฟจาง ๆ ซึ่งจะพังแหล่ไม่พังแหล่ช่วยทำให้มองเห็นจนสามารถยืนยันได้ว่าเขาคือคนเดียวกับที่ฉันไปมีความสัมพันธ์แบบ One Night Stand แต่ด้วยสถานการณ์ ณ ตอนนั้นจึงไม่เอื้ออำนวยในการสำรวจสักเท่าไหร่
ตอนหลบฝนอยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี เป็นช่วงที่ใช้เวลาร่วมกันนานที่สุด แต่เพราะไฟจากถนนเป็นสีเหลืองอมส้ม ทั้งยังมืดและอึมครึม บวกกับระยะห่างที่เว้นไว้ตามความเหมาะสม ทำให้เห็นเขาแบบภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น ทว่าก็ไม่มากพออยู่ดี
ประมาณสามนาทีก่อน ตอนเขายังนั่งอยู่บนรถ ส่วนฉันยืนตรงป้าย ระดับความคมชัดเทียบเท่าตอนหลบฝนหน้าร้านขายเครื่องดนตรี ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระยะห่างและเงาภายในรถที่พาดทับใบหน้าเขาไปครึ่งหนึ่ง
กระทั่งตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงพระอาทิตย์ขึ้นสูง แสงอ่อน ๆ ยามเช้ากับระยะห่างไม่ถึงเอื้อมแขนนี่ ทำให้ฉันพบว่านัยน์ตาของเขาไม่ได้เป็นสีดำสนิท มันค่อนข้างเฟด ออกเหลือบเทาผสมน้ำตาล ตรงสันจมูกและใต้ตาข้างซ้ายมีขี้แมลงวันจุดเล็ก ๆ สร้างเสน่ห์บนใบหน้า ริมฝีปากหยักลึกเป็นทรงกระจับ แอบมีความบึ้งตึงเล็กน้อยทำให้ดูเหมือนเป็นคนยิ้มยาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนเขาเม้มริมฝีปาก...ยังปรากฏลักยิ้มตื้น ๆ บนผิวแก้มทั้งสองข้าง จะว่าน่ารักก็น่ารัก แต่ครั้นปรับระดับสายตาลงต่ำ...พิจารณารอยสักตรงไหปลาร้าซึ่งส่วนหนึ่งถูกปิดทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสองเม็ด และแขนทั้งสองข้างไล่ลงไปถึงหลังมือแกร่ง ทำฉันสับสนว่าจะหาข้อสรุปให้เขายังไงดี
หล่อ ดุ เซ็กซี่ แต่แอบมีลักยิ้มที่ทำให้ดูน่ารักนิดหน่อย...งี้เหรอ?
“อ๊ะ...”
ภวังค์ความคิดถูกทำลายเมื่อรับรู้ได้ถึงการกดทับของอะไรบางอย่างบนบริเวณเบาะที่ตัวเองนั่ง
เมื่อตั้งสติได้ก็ต้องสะดุ้ง เพราะสี่นั้น...จากตอนแรกนั่งอยู่ฝั่งคนขับ ตอนนี้โน้มหน้าเข้ามาใกล้และใช้มือข้างหนึ่งยันกับเบาะข้างศีรษะฉัน
แม้ไม่มีเวลามานั่งวัดด้วยไม้บรรทัด แต่มั่นใจว่าระยะห่างระหว่างเราตอนนี้น่าจะไม่ถึงสองเซนติเมตร
ใกล้ชนิดรับรู้ถึงลมหายใจร้อนผะผ่าวเจือกลิ่นเผาไหม้ของบุหรี่...ทว่าผสมผสานกับกลิ่นมินต์ของหมากฝรั่งจาง ๆ
ทำเสียงตัวเองหล่นหายไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉันก็ดึงมันกลับมา “นายจะทำอะไรน่ะ?”
“เห็นเธอมองฉัน เอาแต่มอง” สี่ให้คำตอบพร้อมทั้งใช้นัยน์ตาคมกริบหลุบลงต่ำ นิ่งค้างที่ริมฝีปากฉันครู่เดียวก็ช้อนขึ้นสบตาอย่างเนิบช้า “ฉันที่คลั่งเธอขนาดนี้จะไปทนไหวได้ยังไง จริงไหม?”
“มาจริงมงจริงไหมอะไรก่อนสี่ ถอย!” ฉันยกมือดันแผงอกกว้าง ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ไหวติง “บอกให้ถอยไงไอ้เบื๊อกนี่”
“...” สี่อมยิ้ม นอกจากไม่โมโหที่โดนด่าว่าไอ้เบื๊อกแล้วยังดูพออกพอใจอีกด้วย
โรคจิตหรือไงเนี่ย
“ยิ้มไรของนาย เราไม่ขำด้วยหรอกนะ ถึงจะขึ้นรถมาด้วยก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้นายถึงเนื้อถึงตัวนะรู้ไหม!”
“รู้น่า”
ไม่ได้รู้สึกไปเองนะว่าเขาโคตรกวนตีน
“รู้แล้วทำไมยังไม่ถอยอีก พูดภาษาคนอยู่นะสี่”
“อืม เสียงเธอตอนบ่นนี่...ก็น่าฟังไปอีกแบบนะ”
โอ๊ย หัวจะปวด! ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดบ้างเลย