บทที่4.4

2007 Words
ฉันมุ่นคิ้ว อยากถามเหมือนกันว่าว่างขนาดนั้นเลยหรือไง แต่จำต้องเบรกการกระทำของตัวเองไว้เพราะกลัวว่าการสนทนานี้จะยืดยาวไปไกล และการยอมคุยกับเขานาน ๆ นับเป็นโอกาสที่ฝ่ายนั้นจะคิดเองเออเอง ไม่ดีแน่ เมื่อตัดสินใจได้จึงทำแบบเดิมคือ...อ่านแต่ไม่ตอบ หลังจากนั้นฉันใช้เวลาในช่วงวันหยุดไปกับการพักผ่อน โชคดีที่พิษไข้อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางอ่อน พอถึงวันจันทร์จึงกลับมากระปรี้กระเปร่าพร้อมลุยงานได้เหมือนเดิม ยังคงเป็นอีกวันที่ฉันต้องใช้บริการรถเมล์ด้วยเหตุผลด้านความประหยัด เงินเดือนเข้าพรุ่งนี้แล้ว ทนอีกวันเดียวไม่เป็นปัญหาหรอก ฉันออกมายืนรอรถเมล์หน้าป้ายซึ่งอยู่ติดกับคอนโดฯ ทว่าเวลาผ่านไปเพียงสองนาทีเท่านั้นก็มีรถยนต์สีดำคันหนึ่งค่อย ๆ ชะลอและจอดเทียบฟุตบาธตรงหน้าฉันแบบพอดิบพอดี เพราะหยุดแน่นิ่งตรงหน้าราวกับจงใจ คิ้วทั้งสองข้างจึงขมวดมุ่นด้วยความฉงน กระทั่งกระจกสีดำทึบถูกปรับต่ำลงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าของยานพาหนะสุดหรูคันนี้ “มา เดี๋ยวฉันไปส่ง ใกล้ได้เวลาเข้างานแล้วนี่” “สี่?” ใช่แล้ว เขาคือสี่...ผู้ชายแปลก ๆ คนนั้นที่ออกตัวแรงว่าอยากจีบฉัน แต่ไม่คิดว่าจะแรงถึงขั้นรู้เวลาเข้างานของฉันด้วย! “อือ ขึ้นมาดิ รอไร” “ไม่เป็นไร เราตั้งใจจะขึ้นรถเมล์อะ” จังหวะปฏิเสธพลันเห็นว่ามีรถเมล์คันหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวมาทางนี้จากที่ไกล ๆ “นั่นไง ใกล้มาแล้ว นายไปเถอะ เราไม่รบกวนหรอก” ไม่เพียงพูด แต่ยังพยักพเยิดหน้าไปทางขวาซึ่งมีรถเมล์จริงตามที่พูด สี่มองรถเมล์คันนั้นผ่านกระจก ทว่าก็ไม่วายหันกลับมา “ฉันตั้งใจมารับเอง” “...” “แอร์เย็นนะ นั่งฟรีด้วย” เมื่อฉันเผยท่าทีลังเลเขาจึงเปลี่ยนมาบรรยายสรรพคุณรถของตัวเองซะอย่างนั้น “อยากให้ ‘ลองดู’ ก่อน เผื่อจะติดใจ” แน่ะ... “ที่บอกว่าเผื่อจะติดใจ หมายถึงรถหรือนายกันแน่?” ฉันถามอย่างตรงไปตรงมาเพราะคำพูดเมื่อครู่นี้แอบกำกวม แต่จากประสบการณ์แล้ว...ค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าลึก ๆ เขาไม่ได้หมายถึงการนั่งรถเพียงอย่างเดียวแน่ “ก็...” สี่จ้องหน้าฉัน ยกมุมปากขึ้นจนปรากฏเป็นรอยยิ้มลึกลับ “ต้องเป็นรถดิ” “...” ฉันหรี่ตา “ส่วนฉัน เธอควรเป็นคนตอบมากกว่าว่าติดใจเปล่า” เออ ไอ้หล่อนี่มันมั่นหน้าอยู่นะ ฉันหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะขยับริมฝีปากเพื่อหยิบยื่นคำตอบ “ถ้าเราติดใจนาย เราควรเป็นฝ่ายวิ่งตามนายมากกว่าน้า แต่นี่...เหมือนจะเป็นนายอะที่ติดใจเรา” คืนนั้นลีลาของฉันอาจจะเด็ดดวงสะท้านโลกีย์ก็ได้ สี่ถึงเอาจริงเอาจังขนาดนี้ แต่ No ไม่มีรอบสองแน่จ้ะ “ก็ติดใจไง” สี่ขยับมาเอื้อมมือเปิดประตูให้ฉัน ดันเบา ๆ จนมันค่อย ๆ เปิดออก “และติดเธอด้วย” กรี๊ด นายคนนี้มันสู้ “แหม เพิ่งเจอกันได้ไม่ทันไรก็คลั่งรักซะแล้ว” ฉันพึมพำแผ่วเบาในประโยคแรก “เอาเถอะ อาทิตย์เดียว เราให้นายแค่นั้น” และเพิ่มระดับเสียงในประโยคต่อมา หวังว่ามันจะดังพอที่สี่ซึ่งอยู่ห่างจากฉันประมาณสามเอื้อมแขนจะได้ยิน “...” เดาจากคิ้วเข้มที่เลิกคิ้วแสดงออกถึงการตั้งคำถาม ชัดเจนแล้วว่าคำพูดของฉันส่งตรงถึงหูเขาทุกพยางค์ “ถ้านายได้ทำความรู้จักเราจริง ๆ คงเลิกชอบแน่” “ก็ลองดู” แม้จะทำสีหน้าสงสัยในตอนแรกทว่าเพียงไม่กี่วินาทีนับจากนั้นเขากลับยักไหล่ ดูผ่อนคลายเหมือนไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เห็นดังนั้นฉันจึงตัดสินใจขึ้นรถไปกับเขา จริงอยู่นิสัยฉันไม่ได้ดีเด่อะไร เปรียบเป็นเฉดสีคงเทาพอประมาณ แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดผู้ชายจะวิ่งแจ้นกลับบ้านได้ในภายในหนึ่งอาทิตย์ ที่อยากบอกคือ...ฉันมีแผน แผนที่จะทำให้เขาเลิกชอบฉัน สุดจะทนกับพฤติกรรมของฉัน หัวเสียกับนิสัยของฉัน และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน ก็ลองดูแล้วกันว่าจะทนได้สักกี่น้ำ ต่อมา “นายบอกว่าจีบเราเป็นคนแรก...แน่ใจนะว่าไม่ได้โกหก?” รถเคลื่อนตัวได้เพียงหนึ่งนาที ฉันซึ่งเป็นคนช่างคุยอยู่แล้ว กอปรกับมีสิ่งที่ค้างคา จึงถือโอกาสนี้เปิดปากถาม จะว่ายังไงดีล่ะ คือสี่ดูแปลก ๆ ก็จริง แต่ระดับความร้ายกาจในคำพูดคำจาก็ใช่จะไก่กา ดู ๆ แล้วไม่ได้ใสซื่อด้านการเข้าหาผู้หญิงขนาดนั้น ประกอบกับภาพลักษณ์โดยรวมของเขาด้วยแล้ว ยิ่งเชื่อได้ยากว่าจะไม่เคยจีบผู้หญิงคนไหนมาก่อน “เคยบอกไปแล้วว่าไม่ได้โกหก” สี่ละความสนใจจากท้องถนน ยืนยันความจริงด้วยการมองสบตาฉันประมาณสองวินาทีแล้วค่อยลากมันกลับไปจดจ่อเส้นทางดังเดิม “นายดูไม่เหมือนคนจีบผู้หญิงครั้งแรกอะ” กล่าวพลางสำรวจซีกหน้าด้านซ้ายของเขา แอบตะลึงกับสันจมูกที่โด่งรับหน้าผากนั่นอยู่ไม่น้อย พระเจ้าต้องรักนายคนนี้มากขนาดไหนนะถึงปั้นออกมาได้น่าอิจฉาเบอร์นี้ “คำพูดเมื่อกี้พอใช้ได้เลยนะ” “ชอบอะดิ จะได้พูดให้ฟังบ่อย ๆ” ว่าแล้วคนข้าง ๆ ก็ยกมุมปากขึ้น บ่งบอกว่าพึงพอใจกับคำชมที่ฉันมอบให้พอสมควร “อ๋อ เปล่าหรอก” ฉันปฏิเสธ ดึงสายตากลับมาจับจ้องเส้นทางอันแสนคุ้นเคย “เราเจอมาเยอะแล้ว นี่น่ะค่อนข้างธรรมดา แต่ก็ดูไม่ใช่สิ่งที่คนไร้ประสบการณ์จะพูดออกมาได้ด้วยสีหน้าและท่าทางเป็นธรรมชาติแบบนั้น” “เธอสวย เจอมาเยอะก็ไม่แปลก” ไม่สะทกสะท้านสักนิดแม้จะโดนแซะว่าคำพูดของเขาค่อนข้างธรรมดาเมื่อเทียบกับผู้ชายคนอื่น ๆ ที่เคยเข้าหาฉัน กลับกัน...ยังเอ่ยชมได้หน้าตาเฉย ชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่าความแปลกของเขาจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน... “ฉันจำมาจากเพื่อนสนิท” “หืม?” ฉันหันกลับไปมองเจ้าของเสียงแหบทุ้ม “ไอ้เบนเพื่อนฉัน มันโคตรเจ้าชู้” “...” แล้ว? “จีบสามสิบคนก็ติดทั้งสามสิบ” “ฮะ!? สามสิบคน! ถามจริง!” ฉันยกมือทาบอก “ใช่ ฉันแค่จำจากมันมาบ้างไง ไม่ได้มีไรซับซ้อน” ต่อให้นี่จะเป็นการเจอกันครั้งที่สามของเรา แต่น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่ฉันมองไม่เห็นความเสแสร้งจากเขาเลย นอกจากเป็นคนตรงไปตรงมาแล้วก็อาจจะไม่ใช่ประเภทปั้นน้ำเป็นตัว...ละมั้งนะ “ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปเอง” “โอเค” ฉันพยักหน้าแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เราขอถามอีกนะ” เพราะยังไม่หายสงสัยฉันจึงเตรียมถามคำถามต่อไป แต่อยู่ดี ๆ รถก็ค่อย ๆ ชะลอและหยุดลง เมื่อมองทะลุกระจกหน้ารถออกไปจึงได้คำตอบว่าเราสองคนติดแหง็กอยู่ตรงสามแยกไฟแดง “ไม่ต้องขอเลยเธอ” ด้วยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยแล้ว สี่จึงสามารถหันหน้ามาทางนี้ได้อย่างเต็มที่ “ฉันฟังเธอพูดได้ทั้งวัน” ฉันชะงักเบา ๆ ไม่ใช่เพราะคำพูดที่ดูก็รู้ว่าจงใจตะล่อมให้เคลิบเคลิ้ม แต่เป็นเพราะได้พิจารณาใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนอีกครั้ง ครั้งแรกที่เจอกันคือตอนอยู่ในผับ แสงไฟค่อนข้างสลัวในระดับที่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไงทว่าก็ไม่สามารถมองเห็นพวกขี้แมลงวันหรือลักษณะพิเศษบางอย่างได้ ครั้งที่สองตอนอยู่บนรถเมล์ แม้บนรถมีไฟจาง ๆ ซึ่งจะพังแหล่ไม่พังแหล่ช่วยทำให้มองเห็นจนสามารถยืนยันได้ว่าเขาคือคนเดียวกับที่ฉันไปมีความสัมพันธ์แบบ One Night Stand แต่ด้วยสถานการณ์ ณ ตอนนั้นจึงไม่เอื้ออำนวยในการสำรวจสักเท่าไหร่ ตอนหลบฝนอยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี เป็นช่วงที่ใช้เวลาร่วมกันนานที่สุด แต่เพราะไฟจากถนนเป็นสีเหลืองอมส้ม ทั้งยังมืดและอึมครึม บวกกับระยะห่างที่เว้นไว้ตามความเหมาะสม ทำให้เห็นเขาแบบภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น ทว่าก็ไม่มากพออยู่ดี ประมาณสามนาทีก่อน ตอนเขายังนั่งอยู่บนรถ ส่วนฉันยืนตรงป้าย ระดับความคมชัดเทียบเท่าตอนหลบฝนหน้าร้านขายเครื่องดนตรี ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระยะห่างและเงาภายในรถที่พาดทับใบหน้าเขาไปครึ่งหนึ่ง กระทั่งตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงพระอาทิตย์ขึ้นสูง แสงอ่อน ๆ ยามเช้ากับระยะห่างไม่ถึงเอื้อมแขนนี่ ทำให้ฉันพบว่านัยน์ตาของเขาไม่ได้เป็นสีดำสนิท มันค่อนข้างเฟด ออกเหลือบเทาผสมน้ำตาล ตรงสันจมูกและใต้ตาข้างซ้ายมีขี้แมลงวันจุดเล็ก ๆ สร้างเสน่ห์บนใบหน้า ริมฝีปากหยักลึกเป็นทรงกระจับ แอบมีความบึ้งตึงเล็กน้อยทำให้ดูเหมือนเป็นคนยิ้มยาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนเขาเม้มริมฝีปาก...ยังปรากฏลักยิ้มตื้น ๆ บนผิวแก้มทั้งสองข้าง จะว่าน่ารักก็น่ารัก แต่ครั้นปรับระดับสายตาลงต่ำ...พิจารณารอยสักตรงไหปลาร้าซึ่งส่วนหนึ่งถูกปิดทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสองเม็ด และแขนทั้งสองข้างไล่ลงไปถึงหลังมือแกร่ง ทำฉันสับสนว่าจะหาข้อสรุปให้เขายังไงดี หล่อ ดุ เซ็กซี่ แต่แอบมีลักยิ้มที่ทำให้ดูน่ารักนิดหน่อย...งี้เหรอ? “อ๊ะ...” ภวังค์ความคิดถูกทำลายเมื่อรับรู้ได้ถึงการกดทับของอะไรบางอย่างบนบริเวณเบาะที่ตัวเองนั่ง เมื่อตั้งสติได้ก็ต้องสะดุ้ง เพราะสี่นั้น...จากตอนแรกนั่งอยู่ฝั่งคนขับ ตอนนี้โน้มหน้าเข้ามาใกล้และใช้มือข้างหนึ่งยันกับเบาะข้างศีรษะฉัน แม้ไม่มีเวลามานั่งวัดด้วยไม้บรรทัด แต่มั่นใจว่าระยะห่างระหว่างเราตอนนี้น่าจะไม่ถึงสองเซนติเมตร ใกล้ชนิดรับรู้ถึงลมหายใจร้อนผะผ่าวเจือกลิ่นเผาไหม้ของบุหรี่...ทว่าผสมผสานกับกลิ่นมินต์ของหมากฝรั่งจาง ๆ ทำเสียงตัวเองหล่นหายไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉันก็ดึงมันกลับมา “นายจะทำอะไรน่ะ?” “เห็นเธอมองฉัน เอาแต่มอง” สี่ให้คำตอบพร้อมทั้งใช้นัยน์ตาคมกริบหลุบลงต่ำ นิ่งค้างที่ริมฝีปากฉันครู่เดียวก็ช้อนขึ้นสบตาอย่างเนิบช้า “ฉันที่คลั่งเธอขนาดนี้จะไปทนไหวได้ยังไง จริงไหม?” “มาจริงมงจริงไหมอะไรก่อนสี่ ถอย!” ฉันยกมือดันแผงอกกว้าง ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ไหวติง “บอกให้ถอยไงไอ้เบื๊อกนี่” “...” สี่อมยิ้ม นอกจากไม่โมโหที่โดนด่าว่าไอ้เบื๊อกแล้วยังดูพออกพอใจอีกด้วย โรคจิตหรือไงเนี่ย “ยิ้มไรของนาย เราไม่ขำด้วยหรอกนะ ถึงจะขึ้นรถมาด้วยก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้นายถึงเนื้อถึงตัวนะรู้ไหม!” “รู้น่า” ไม่ได้รู้สึกไปเองนะว่าเขาโคตรกวนตีน “รู้แล้วทำไมยังไม่ถอยอีก พูดภาษาคนอยู่นะสี่” “อืม เสียงเธอตอนบ่นนี่...ก็น่าฟังไปอีกแบบนะ” โอ๊ย หัวจะปวด! ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดบ้างเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD