“รู้จักความรักบ้างหรือยังเราน่ะ”
โห...
“ทำไมจะไม่รู้ครับ” ผมเถียงกลับเพราะอยากแก้ไขความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนั่นเสียใหม่ สิ้นคำ ผมเห็นคุณนายตัวแสบชะงักค้าง เช่นเดียวกับหนึ่งในแม่บ้านที่เพิ่งนำขนมและน้ำมาเสิร์ฟ
“...ขออีกทีซิ ยังไงนะ?” นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก็ทวนถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ นัยน์ตาสีเดียวกันแฝงเร้นไปด้วยความฉงนที่ไม่อาจปิดซ่อน มันน่าแปลกใจขนาดนั้นเชียว?
“ก็บอกว่ารู้จักความรักไง” ผมมุ่นคิ้ว ทำไมต้องให้พูดซ้ำ “แล้วขอร้อง อย่าทำเป็นรู้จักผมดีไปกว่าตัวผมได้ไหม”
“ก็แกมันไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้จริง ๆ แม่เลี้ยงแกมา ทำไมจะไม่รู้ล่ะสิรธีร์”
ฝ่ายนั้นมั่นอกมั่นใจในทุกพยางค์ที่กล่าว ผมยกมือขึ้นเสยผมแบบลวก ๆ ระบายริ้วความหงุดหงิดเบาบางที่ก่อตัวขึ้นกลางอก ก่อนจะขยับริมฝีปากพูด “งั้นก็รู้ซะตั้งแต่ตอนนี้เลยเป็นไงครับคุณสิระสา” เหนื่อยจริง คุยกับคนแก่
“นี่...” แม่สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด ตั้งสติอยู่พักหนึ่งคล้ายต้องการประมวลผลบางอย่าง จากนั้นจึงกล่าวต่อจนจบประโยค “คือแกจะบอกแม่ว่าแกกำลังมีความรักเหรอตาสี่?”
“ครับ” คนตรงไปตรงมาอย่างผมไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหก “แบบ...กำลังจีบอยู่”
“ใคร นานหรือยัง ทำไมแม่ไม่เคยรู้เลย” เมื่อได้รับคำยืนกรานที่หนักแน่นมากพอแล้วแม่ก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาเป็นประกายวาววับ ทว่าขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกพิศวงอย่างบอกไม่ถูก “ว่าง ๆ พามาแนะนำให้รู้จักด้วยสิ”
“ก็บอกว่ากำลังจีบไงแม่ จะรีบไรขนาดนั้นก่อน” ผมเอนตัวหลบท่านเล็กน้อย
“ของแบบนี้แม่ต้องขอดูตั้งแต่เนิ่น ๆ สิ กลัวแกจะไปคว้า...”
“จะคว้าอะไรก็เรื่องของผมเถอะ” ไม่รอให้กล่าวจบ ผมเบรกไว้ได้ทันเพราะเกรงว่าท่านจะเผลอพูดถึง ‘ลูกสะใภ้ในอนาคต’ ในเชิงดูแคลน
ความจริง ท่านค่อนข้างใจกว้างในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวล
ยกตัวอย่างมิ้น...เมียพี่ชายผม แม้เดิมทีต้นตระกูลเธอเคยมีกินมีใช้ แต่ด้วยปัญหาบางอย่างทำให้ครอบครัวเธอตกทุกข์ได้ยาก เหลือเพียงบ้านหนึ่งหลังกับเงินแค่หยิบมือเดียว เรียกได้ว่ารันทดจนน่าสงสาร ครั้นบวกรวมกับนิสัยใจคอในแบบที่ไม่เข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ก็ยิ่งน่าหวั่นใจ ทว่าพอเอาเข้าจริง แม่กลับเปิดทางให้นับตั้งแต่รู้ว่าเธอท้องโดยไม่ได้ตั้งใจกับลูกชายของตัวเอง
ก่อนให้เธอย้ายมาอยู่ที่นี่อย่างเป็นทางการ ท่านมีบ่น มีพูดจาถึงมิ้นในเชิงลบอยู่บ้าง เพราะต่อให้รู้จักแม่ของผู้หญิงคนนั้นดีในฐานะเพื่อนสมัยเรียน แต่กับมิ้น...ยากรับประกันว่าถ้าเข้ามามีบทบาทกับตระกูลเราในฐานะลูกสะใภ้ เธอจะสร้างปัญหาหรือทำตัวน่าปวดหัวในภายหลังหรือไม่
แม่เฝ้าดูพฤติกรรมมิ้นมาโดยตลอด ให้เกียรติเธอในฐานะคนที่ลูกชายตัวเองรักและในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่เคยทำตัวเป็นแม่ย่าผู้ใจร้าย หรือหาทางกลั่นแกล้งด้วยวิธีบ้า ๆ บอ ๆ แบบที่หลายคนคาดการณ์
แต่กับส้ม...เธอค่อนข้างรักอิสระ ทั้งยังชอบสวมใส่เสื้อผ้าสไตล์เซ็กซี่ แต่งหน้าจัดจ้าน ทำผมสีบลอนด์เทามาตั้งแต่สมัยปีหนึ่งยันเรียนจบ ต่อให้แม่เปิดกว้างมากพอก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าท่านจะยินดีปรีดาเหมือนอย่างที่มิ้นเจอ
เดี๋ยวนะ...
เพิ่งลงมือจีบได้แป๊บเดียวก็จินตนาการถึงฉากพาเข้าบ้านแล้วเหรอวะ หวังสูงขนาดนี้ เกิดผิดหวังขึ้นมา คงใช้เวลานานฉิบหายแน่กว่าร่างจะหล่นถึงพื้น
เพียะ!
คราวนี้แม่เปลี่ยนจากการหยิกเป็นฟาดฝ่ามือลงบนต้นแขน
มือเล็ก ๆ แบบนั้น ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะบอบบาง แต่แรงส่งกลับอยู่ในระดับมหันตภัย โดนฟาดมาร้อยครั้งก็สะเทือนร้อยครั้ง เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงกลัวแม่จนหัวหด
“พูดจาแทรกผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ดี เคยสอนแล้วทำไมไม่จำ”
“ครับ ๆ ขอโทษได้ไหมล่ะ” เพราะผิดจริงที่เอ่ยแทรกจึงยอมขอโทษแต่โดยดี “แต่ผมว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่ต้องพูดเรื่องนี้ไง เอาให้แน่ใจก่อนว่าได้ แล้วจะพามาเอง”
“สวยไหม?” อยู่ดี ๆ คุณนายวัยทองก็เปลี่ยนมาถามเรื่องรูปลักษณ์ของเธอ
“สุด ๆ”
ผมตอบไปตามตรงเช่นเดิม ซุกซ่อนความพึงพอใจไว้ใต้กระพุ้งแก้ม ไม่อยากหลุดยิ้มต่อหน้าแม่บ้านเพราะกลัวเสียมาดน่าเกรงขาม
“มีรูปให้แม่ดูหรือเปล่า?” ดูท่าแม่จะไม่ยอมเลิกรา “จะจีบติดไม่ติด แต่อยากเห็นหน้าตาผู้หญิงผู้โชคร้ายคนนั้นหน่อย พูดแล้วก็สงสารจริง ๆ ที่ยัยหนูคนนั้นต้องโดนคนอย่างแกตามจีบ...”
อ้าว ไหงเป็นแบบนี้...
“ใคร?”
ไม่ทันได้สวนกลับคุณนายตัวแสบ เส้นเสียงต่ำลึกอันเป็นเอกลักษณ์พลันดังขึ้น
ลากสายตาไปยังต้นตอซึ่งมาจากประตูทางเข้า ก็พบว่าเป็นไอ้สิบที่เดาว่าเพิ่งกลับจากธุระ ข้าง ๆ นั้นมีมิ้นซึ่งกำลังอุ้มเจ้าแสนที่กำลังหลับปุ๋ย และคนที่เดินรั้งท้ายคือคุณมาริสา แม่ของมิ้น
“Hi” ผมยกมือเซย์ไฮพี่ชายหน้านิ่งซึ่งจนถึงตอนนี้แล้วแววตายังไร้อารมณ์ จากนั้นก็ขยับไปทักทายคนที่เหลือ “ดีครับคุณมาร์”
“จ้า” คุณมาริสายิ้มรับ
“แล้วก็...สวัสดีเมียพี่ชาย”
“ตาสี่ นั่นพี่สะใภ้แกนะ เขามีชื่อ” คนข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะเอ็ดเสียงเขียว เหตุเพราะผมเรียกมิ้นว่าเมียพี่ชาย
“ไม่เป็นไรค่ะ” คำพูดนี้เป็นของมิ้น เธอยิ้มบางให้เจ้าของบ้าน แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็จางหายไปยามเคลื่อนมาสบตาผม “เดี๋ยวหนูพาน้องแสนขึ้นไปนอนก่อนนะคะ เดี๋ยวลงมาค่ะ”
“ฉันก็ขอไปพักหน่อยนะสิ เวียนหัว เมารถหนักมากเลย” ตามด้วยเสียงของคุณมาริสา
พยักหน้าตอบรับกันเรียบร้อย สองแม่ลูกและหลานชายอีกหนึ่งก็ขึ้นไปด้านบนพร้อมป้าออยซึ่งเป็นแม่บ้านคนสนิทที่อยู่กับตระกูลเรามานานหลายปี ตอนนี้ท่านรับหน้าเป็นพี่เลี้ยงเจ้าแสน
ผมลากสายตากลับมา พบว่าไอ้สิบทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว นัยน์ตาคมกริบจับจ้องผมไม่ห่าง แทบเฉือนกันเป็นชิ้นผ่านวิธีการมองนั่นอยู่รอมร่อ
“ใคร...คนที่มึงจีบ” มันถามย้ำประโยคคล้ายเดิม คงได้ยินสิ่งที่ผมกับแม่คุยกัน
ผมยกยิ้ม ยังไม่ตอบในทันที เลือกหยิบมาการองสีส้มที่แม่บ้านนำมาเสิร์ฟได้ไม่นานขึ้นมากัด เคี้ยวเบา ๆ แล้วเอนหลังพิงโซฟา
จงใจเอ้อระเหยเพียงเพราะอยากกวนตีนใส่พี่ชาย...สุดที่รัก
“เดี๋ยวมึงก็รู้เอง”
พอกลืนขนมรสชาติหวานเลี่ยนลงคอแล้วจึงหยิบยื่นคำตอบที่เป็นปริศนาให้มัน
ความจริงแล้วส้มนับเป็นคนใกล้ตัว เพราะเธอคือเพื่อนที่คบหากับมิ้นมานานตั้งแต่มอต้น สนิทสนมกันมากพอที่ไอ้สิบจะรู้สึก ‘หวงแหนเธอในฐานะน้องสาว’ ได้
“ไม่ได้ไปทำตัวน่ากลัวใส่เขาใช่ไหม” คำถามต่อมาชัดเจนว่าตัดสินผมในแง่ร้าย “จีบอย่างถูกต้องหรือเปล่า?”
“เออดิ เห็นกูเป็นคนยังไง?” ผมชักฉุน
“เป็นคนเหี้ย”
ไอ้สิบตอบโดยไม่คิด