บทที่3.3

1609 Words
“ไอ้สี่ เป็นไร ทำไมมึงหน้าแดงอะ” เสียงเพื่อนสนิทดังขึ้น ทำลายภวังค์ความคิดของผมอย่างเฉียบพลัน เมื่อกระชากตัวเองกลับมาสู่ความเป็นจริงก็ต้องรีบกระแอมไอกลบเกลื่อน ปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติทันที “อากาศแม่งร้อน” ไม่อยากโกหกเท่าไหร่ แต่จะให้บรรยายถึงเหตุผลก็กลัวโดนด่าว่าเป็นไอ้โรคจิต “หรา” คบกันมาเพียงสี่ปี แต่ไอ้เบนเป็นคนช่างสังเกต มันคงรู้ว่าผมเป็นอะไรจึงลากเสียงยาว สีหน้าแววตาเปลี่ยนมาเจ้าเล่ห์ทันควัน “มึงกำลังจินตนาการถึงน้องเขาชัวร์” “หุบปากไอ้เหี้ย” ผมขึ้นเสียง “แล้วก็เลิกเรียกส้มว่าน้องด้วย เธอรุ่นเดียวกับมึง” ปล่อยให้ไอ้เบนพล่ามน้ำลายแตกฟองต่อราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดความอดทนของผมก็หมดลง ตัดสินใจไล่มันออกจากคอนโดฯ พร้อมทั้งคำด่าอีกเป็นชุด ทว่าสาดคำด่าและเจอลูกถีบส่งท้ายหน้าแทบคะมำแม่งก็ยังหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ คงสนุกมากมั้งที่เห็นผมเสียอาการ ถึงกับเอ่ยแซวว่า “คลั่งรักขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจีบติดแล้วขอแต่งงานเลยนะ” ไม่น่าเล่าให้มันฟังเลย รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนคนนี้ปากมากอย่างกับอะไร หลังจากถีบส่งไอ้เบนที่หน้าประตู ผมกลับเข้ามาแล้วตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ จัดการล้างหน้าล้างตาหวังใช้ความเย็นของสายน้ำดับความร้อนที่ไหลมากระจุกตรงผิวแก้ม ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตัวเองจากบานกระจกทรงสี่เหลี่ยมตรงเคาน์เตอร์ก็มีบางสิ่งฉุดรั้งสายตาให้หลุบมองอย่างห้ามไม่ได้ สิ่งนั้นคือรอยเล็บจาง ๆ ของส้ม... ไม่เพียงแผ่นหลัง ทว่าบริเวณหัวไหล่ หรือแม้แต่ไหปลาร้าเรื่อยมายังช่วงอกยังปรากฏเป็นรอยครูดยาว ต่อให้เจือจางลงจากคราวแรกที่ได้รับราว ๆ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ทว่าเพราะเป็นตำหนิล่าสุดที่คนสวยประทับไว้ข้าง ๆ รอยสัก จึงยังพอมองเห็นอยู่บ้าง ดูสิ ผมปล่อยให้ส้มกลับไปในสภาพเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่เธอกลับทิ้งรอยมากมายไว้บนตัวผมแบบนี้...ไหนล่ะความแฟร์ คิดมาถึงตรงนี้ริมฝีปากพลันยกขึ้น ยืนขบขันหน้ากระจกไม่นานก็ออกมาเช็กโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนเตียง พบว่าจนป่านนี้แล้วแชตที่ผมส่งไปเมื่อราว ๆ สองถึงสามชั่วโมงก่อนยังคงแห้งแล้งไร้การตอบกลับ ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นความจงใจของส้ม รู้ว่าเธอจงใจอ่านแล้วไม่ตอบ จงใจเพิกเฉยอย่างตรงไปตรงมา เจตนาให้ผมล้มเลิกความพยายามซะตั้งแต่ตอนนี้ แต่ผมมันดื้อด้าน ดึงดัน และไร้ยางอายอยู่แล้วไง เรื่องอะไรจะยอมปล่อยให้เธอหลุดมือไปทั้ง ๆ ที่รอโอกาสนี้มานานถึงสี่ปี ตื๊อดึง! ขณะจับจ้องข้อความที่ถูกเมินเฉยอยู่นั้น พลันมีแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์เด้งขึ้นมา เมื่อพบว่าเป็นข้อความจาก ‘คุณนายสิระสา’ แม่ของผม ก็ไม่รอช้าที่จะกดเข้าไปอ่านเพราะกลัวคนแก่จะน้อยอกน้อยใจเหมือนที่ผ่านมาอีก Sirasa pstnch : ตาสี่ แม่รู้สึกไม่ค่อยสบายเลย ครั้นเห็นข้อความของคุณนายตัวแสบ คิ้วทั้งสองพลันขมวดยุ่ง ทว่ายังไม่ทันได้จรดปลายนิ้วพิมพ์ แม่ก็ส่งกลับมาอีกครั้ง Sirasa pstnch : ไมต้องติดต่อหาใคร รีบมาหาแม่ตอนนี้เลย เร็วนะ... เพราะไม่อธิบายต่อว่าเกิดอะไรขึ้น ความร้อนรนที่ก่อตัวอย่างเฉียบพลันจึงออกคำสั่งให้รีบบึ่งรถกลับบ้านใหญ่โดยไม่สนว่าตัวเองจะสวมเพียงกางเกงบอลกับเสื้อกล้ามหลวม ๆ ตัวหนึ่ง และผลของการรีบร้อนจนเกินเหตุ...ผมจึงมาถึงที่หมายโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทั้งที่ระยะทางระหว่างคอนโดฯ กับบ้านใหญ่นั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างไกล ใช้คำว่า ‘ซิ่งมา’ คงไม่ผิดนัก “ว้าว มาเร็วจัง” ทันทีที่มาถึง ตัวต้นเหตุซึ่งนั่งไขว้ห่างอยู่บนโซฟาห้องรับแขกก็กล่าวทักทายผ่านเส้นเสียงปกติ ชำเลืองมองผมด้วยหางตาและจิบชาสบายใจเฉิบ! “...” เมื่อเห็นว่าแม่สบายดี ไม่ได้เจ็บป่วยหรือบอบช้ำตรงจุดไหน ความห่วงใยพลันแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันที “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ถ้าแม่ไม่ใช้ไม้นี้แกจะโผล่หัวมาให้เห็นหน้าไหม” แม่ยกยิ้มน้อย ๆ ราวกับพึงพอใจในแผนการนี้เสียเต็มประดา “มานี่ มานั่งตรงนี้” ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าแม่เป็นคนยังไง แต่ผมก็ยังซื่อบื้อให้ท่านหลอกด้วยเรื่องตื้น ๆ อยู่เป็นประจำ ช่วยไม่ได้ เล่นเอาความเจ็บป่วยมาเป็นประเด็น ถ้าเพิกเฉยไม่ใยดีก็เห็นจะชั่วเกินไปหน่อย “อยากเจอก็บอกกันดี ๆ ทำไมต้องทำให้ผมเป็นห่วงด้วย” กดความขุ่นเคืองเล็ก ๆ ไว้แล้วเดินตรงไปหาคุณนายจอมร้ายกาจ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้าง ๆ แล้วทำหน้าเหม็นเบื่อใส่หนึ่งที “แล้วนั่นหัวเราะไรกัน” เพราะเหลือบเห็นแม่บ้านบางส่วนซึ่งกำลังทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูไกลออกไปราว ๆ สามเมตรหลุดหัวเราะ ผมจึงฟาดงวงฟาดงาถาม ส่งรังสีดุดันตามไปสำทับจนรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนเลือนหายไป “อย่านิสัยเสียนะตาสี่” ไม่เพียงตำหนิ แต่แม่ยังหยิกแขนผมแบบไม่ออมแรง ทำเอาสะดุ้งโหยงจนต้องยกมือขึ้นลูบจุดที่ถูกประทุษร้ายป้อย ๆ “บอกตัวเองเหอะคุณนาย หลอกกันบ่อย ๆ คราวหน้าเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะไม่มาหาแล้วนะ โอ๊ย เจ็บครับ!” กล่าวไม่ทันจบก็ต้องร้องโอดโอยเพราะแม่ยื่นมือมาหยิกซ้ำจุดเดิมด้วยระดับความแรงที่เพิ่มมากขึ้น ด่าว่าผมใจร้อนชอบใช้กำลัง แล้วที่ตัวเองทำอยู่มันต่างกันตรงไหนวะเนี่ย “ปากเสียไม่เปลี่ยนเลยแกเนี่ย แล้วนี่อะไรอีก ไปสักเพิ่มมาหรือไง ตัวลายเป็นตุ๊กแกหมดแล้ว” อีหรอบเดิม เรียกผมกลับบ้านมาเพื่อบ่น บ่น แล้วก็บ่น “แม่อย่าเวอร์” ผมเขยิบห่างจากแม่เล็กน้อย รักษาช่องว่างประมาณหนึ่งเอื้อมแขน “ไม่ได้เวอร์ ความจริงทั้งนั้น สภาพอย่างนี้แม่ไม่แปลกใจเลยที่ใคร ๆ เขาจะกลัวกัน แกเรียนจบแล้วด้วย คงไม่มีบริษัทไหนกล้ารับแกเข้าทำงานแน่” ว่าแล้วความกังวลปริมาณหนึ่งก็เคลือบเร้นในแววตา “จะฝากให้รับหน้าที่ต่อจากตาสิบแกก็ไม่เอาอีก” “ก็บอกไปแล้วไงว่าผมไม่ถนัดงานบริหาร ให้ไอ้สิบมันดูแลไปเหอะ” ผมกล่าว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมปฏิเสธกลับอย่างหนักแน่นด้วยเหตุผลข้างต้น ครอบครัวเราประกอบธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง พ่อใช้ความเก่งและความอดทนสร้างมันขึ้นมา ดำรงตำแหน่งสูงสุดมายาวนานหลายปีจนตอนนี้วางแผนเรื่องเกษียณแล้วตั้งใจให้ไอ้สิบลูกชายคนกลางกุมบังเ**ยนต่อ ท่านแอบคิดไว้อีกว่า หลังจากไอ้สิบได้ทำหน้าที่ตรงนั้นแล้วก็อยากให้ผมลองศึกษางานสายนี้ดูบ้าง แต่อย่างที่บอกไป...ผมไม่ถนัดงานบริหารเลยแม้แต่นิดเดียว ความอดทนต่อสายอาชีพนั้นก็มีไม่มากพอด้วย “แล้วแกจะทำอะไร” แม่ปรับน้ำเสียงให้กลับมาเข้มข้นจริงจัง มาดนางพญาที่ใคร ๆ ต่างเกรงกลัวแม้แต่กับพ่อเองเริ่มปรากฏให้เห็น “เพิ่งเรียนจบไม่กี่เดือนเองแม่ ขอเวลาคิดหน่อยไม่ได้เหรอ” เสียงผมค่อนข้างห้วนทว่าไม่ถึงกับก้าวร้าว “ไหนว่าให้อิสระกับลูก ทำไมต้องบังคับด้วย” “อย่ามางอแง” “ไม่ได้งอแงครับ ผมจริงจังมาก” ผมไม่คิดจะรับบทเป็นสัมภเวสีลอยไปลอยมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว แต่เพราะรู้นิสัยตัวเองดี ให้ฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบแล้วมามีปัญหาภายหลังคงไม่โอเคนัก “ให้มันจริง แม่ได้ข่าวว่าแกเอาเงินไปละลายกับกาสิโน ไหนจะพนันบอลอีก” “ไอ้สิบฟ้องแม่เหรอ” รู้เลยว่าเป็นฝีมือของพี่ชายสุดที่รัก เพราะมันเป็นคนเดียวที่ติดต่อผมบ่อยสุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด “ใครบอกมันก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ตัวแกเองนั่นแหละจะสำนึกได้มากน้อยแค่ไหน อุตส่าห์ให้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตั้งสี่ปีก็ยังสลัดสันดานเดิม ๆ ทิ้งไม่ได้” “แรงไปไหมคุณสิระสา” ทีไอ้สิบกับเจ๊สามพี่สาวคนโตยังไม่พูดแบบนี้เลย “สี่ลูกแม่นะ” “ก็เพราะแกเป็นลูกคนเล็กและทำตัวน่าปวดหัวที่สุดยังไงล่ะแม่ถึงได้พูดแบบนี้” ว่าแล้วท่านก็เตรียมยกมือฟาด แต่โชคดีที่ผมกระถดตัวถอยห่างได้ทันจึงหลบหลีกฝ่ามืออรหันต์ได้อย่างเฉียดฉิว “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะคุณนาย” “คนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็ก ร้อยทั้งร้อยก็ยังเป็นได้แค่เด็กอมมือนั่นแหละ” แม่ชักมือกลับแล้วเปลี่ยนมากอดอก “วัน ๆ เอาแต่ต่อยตี เข้ากาสิโน แม้แต่จีบสาวสักคนแกคงทำไม่เป็นเลยมั้ง” “...” ผมชะงัก “รู้จักความรักบ้างหรือยังเราน่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD