ตอนที่ 9

2102 Words
**? (เซินเม่?) = อะไรนะ? (เป็นคำอุทาน) ****(ชิน อ้าย เตอะ) = ที่รัก ไอ้พวกสวะทั้งหลายนั้นกำลังย่างกรายเข้ามาหาฉันทีละคนช้า ๆ อย่างระมัดระวัง กลิ่นของพวกมันที่พยายามปล่อยข่มนั้นทำให้ฉันรู้สึกเป็นห่วงคนด้านหลังว่าอาจจะโดนเอฟเฟคนี้เข้าไปด้วยและอาจจะทำให้เธอควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่สำหรับฉันแล้วกลิ่นของพวกมันเหม็นราวกับขยะเปียก และไม่มีผลใด ๆ ต่อฉันที่เป็นเลือดบริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย... พวกมันคนที่หนึ่งซึ่งดูน่าจะเป็นลูกสมุนและเป็นเบต้าปล่อยหมัดเข้ามาหาฉัน แต่ด้วยความที่พวกมันอาจจะเมามายเพราะฤทธิ์ของเหล้า...หรืออาจจะกระจอกต่อฝีมือของฉันมากเกินไปเสียหน่อย ฉันจึงหลบหมัดนั้นได้อย่างง่ายดายโดยไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ ฉันสวนหมัดกลับไปที่หน้าของมันอย่างจังจนไอ้คนนั้นล้มลงไปกับพื้น เลือดของมันค่อย ๆ รินไหลเป็นสายที่บริเวณจมูกซึ่งโดนหมัดของฉันเข้าให้อย่างจัง และดูเหมือนว่ามันจะโกรธจนพยายามจะลุกขึ้นมาต่อยฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันใช้เท้าถีบไปที่มันแรง ๆ อีกหนทำให้มันไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้ “มึง!” หนึ่งในสองคนที่แซวผู้หญิงของฉันชี้หน้าและแสดงสีหน้าโกรธจัดออกมาให้ฉันได้เห็น มันที่เป็นเบต้าวิ่งเข้ามาหาฉันเพื่อหวังที่จะใส่หมัดเข้าที่หน้า แต่ก็อย่างที่ฉันบอกว่าฝีมือของพวกมันเทียบอะไรกับที่ฉันเคยฝึกมาทั้งชีวิตไม่ได้เลย ฉันจึงเบี่ยงตัวหลบและใช้ศอกกระทุ้งที่หลังของมันแรง ๆ จนมันล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ฉันเงยหน้าสบมองพวกที่เหลือซึ่งมองฉันอย่างทึ่ง ๆ ว่าผู้หญิงอย่างฉันใยถึงได้ดูมีฝีมือนัก ก่อนที่ฉันจะเห็นไอ้อัลฟ่าหัวโจกที่เหมือนกับจะพึ่งสังเกตอะไรบางอย่าง...และมันก็ถอยหลังจากฉันหนึ่งก้าว แต่กลับโดนพวกมันที่อยู่ข้างหลังรั้งเอาไว้ไม่ให้เดินต่อ “เลือดบริสุทธิ์...” มันพูดออกมาเสียงแผ่วแต่ดูเหมือนว่าลูกน้องข้างหลังของมันจะไม่ได้ยินด้วย “รุมกระทืบมันเลยดีกว่าลูกพี่ เสียเวลาว่ะ!” “ใช่พี่ ลุย!” “เห้ยพวกมึง!” เหมือนมันจะพยายามห้ามไอ้พวกที่กำลังจะวิ่งเข้าใส่ฉันแต่ดูแล้วมันเหมือนจะไม่ทันการ ไอพวกลูกสมุนทั้งหลายประมาณสี่ถึงห้าคนวิ่งเข้ามาเพื่อหวังจะรุมกระทืบฉันอย่างที่ได้บอกกล่าว ซึ่งฉันก็ถอยหลังเล็กน้อยเพื่อกะระยะและดูลาดเลาของคู่ต่อสู้ แต่ด้วยความที่พวกมันมีเยอะจนเกินควรฉันจึงโดนพวกมันหนึ่งคนที่ฉันไม่ได้ระวังเตะเข้ามาจัง ๆ ที่หลังจนฉันเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวด ฉันตั้งการ์ดเพื่อไม่ให้หมัดของพวกมันที่ดูมั่วซั่วนั้นโดนที่บริเวณจุดสำคัญของร่างกาย และพอได้จังหวะฉันก็สวนหมัดกลับคืนไปบ้างและแน่นอนว่าหมัดของฉันหนักกว่าไอ้พวกขี้เมานี้หลายเท่าจนพวกมันเริ่มจะเลือดตกยางออก และฉันเองก็ไม่ต่าง...ถึงต่อให้หมัดของพวกมันจะเบาแต่พอโดนซ้ำ ๆ เข้ามันก็ทำให้ฉันเกิดรอยช้ำจนตอนนี้คิ้วของฉันกำลังมีเลือดไหล ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ของเหม่ยอยู่ไม่ไกลจากบริเวณด้านหลัง และมันทำให้ฉันคิดได้ในตอนนี้ว่าควรจะจบเกมนี้เสียทีไม่อย่างนั้นคนที่จะแย่เอาก็คงจะเป็นเธอเพราะกลิ่นของพวกมันกำลังรบกวน “ทำไมมันอึดอย่างนี้วะ?” แน่นอนว่าพวกมันที่เป็นฝ่ายใส่เข้ามาหาฉันอยู่เพียงฝ่ายเดียวเริ่มจะเหนื่อยล้าจนแทบจะหมดแรง ฉันลดการ์ดที่ตั้งอยู่ออก ก่อนจะเดินเข้าไปทั้งเตะและต่อยพวกมันเรียงตัวให้ไม่ทันได้ตั้งตัวจนท้ายที่สุดแล้วพวกมันทั้งหมดก็ล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เหลือเพียงแต่ไอ้หัวโจกอัลฟ่าที่ยังยืนตัวสั่นเกร็งอยู่กับที่ไม่ได้เข้ามาร่วมต่อสู้ “ยะ อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ ผมกลัวแล้ว” มันนั่งคุกเข่าลงไปกับพื้นและยกมือขึ้นมาเพื่อขอความเห็นใจ “ท่านคงเป็นลูกสาวของตระกูลเนตรมังกรที่พึ่งกลับมาอยู่ที่นี่ ผมมีตาแต่หามีแววไม่...อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ” และมันก็ก้มลงไปเอาหัวติดพื้นอย่างคนรู้จักที่ต่ำที่สูง ส่วนไอพวกที่ตอนแรกนอนกองอยู่กับพื้นก็ลุกขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งยังเบิกตาโพล่งราวกับพึ่งจะสังเกตเห็นว่าตาของฉัน...เป็นดวงตาสีฟ้าครามที่บ่งบอกถึงการเป็นเลือดบริสุทธิ์ และเป็นคนที่มีอิทธิพลในเขตละแวกเมืองนี้ “ฉันให้โอกาสพวกแกหนีไปก่อนที่คนของฉันจะมา...” “…” “ถ้าหากว่าคนของฉันมาแล้วยังเห็นพวกแกอยู่ที่นี่อีกไม่ว่าจะวันไหน...” ฉันค่อย ๆ ขยับร่างของตัวเองเข้าไปหาหัวโจกอัลฟ่าที่ยังก้มหัวติดพื้นอยู่ “ก็เตรียมตัวลงไปอยู่ในนรกได้เลย...” “ครับ ครับ” และมันก็ลุกหนีไปในทันที ฉันหันกลับมาด้านหลังอีกครั้ง และสบมองพวกมันเรียงตัวว่าจะทำตามที่ฉันเสนอหรือไม่ แน่นอนว่าเมื่อพวกมันสบตาฉันครบทุกคนแล้ว พวกนั้นก็รีบลุกและวิ่งหนีไปในทันที ทิ้งให้ที่ตรงนี้เหลือเพียงแค่ฉัน...กับเหม่ยที่ยืนกอดตัวเองและร้องไห้อยู่ข้างหลังเสาที่ฉันเคยใช้ยืนหลบตอนมารอเธอ ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาเธอในทันทีอย่างเป็นห่วง ตอนนี้เหงื่อไคลของเธอไหลไปทั่วทั้งใบหน้า และเธอยังยืนสั่นเทาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบมองฉันอีกต่างหาก “เป็นอะไรมากไหม เธอไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือเปล่า?” ฉันถามออกไปอย่างร้อนรนในทันที แต่ยังไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัวเธอเพราะเรื่องที่ฉันทำผิดมันยังคงติดตัวอยู่ “เหม่ย...” “คุณนั่นแหละเป็นอะไรมากไหม?” เธอเงยหน้าขึ้นมาสบมองฉันทั้งใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา และยังยกมือขึ้นมาลูบที่คิ้วข้างที่แตกอีกราวกับว่ากำลังห่วงใยกันนักหนา ตึกตัก ตึกตัก และมันทำให้ก้อนเนื้อข้างซ้ายของฉันอย่างหัวใจกำลังเต้นสั่นอย่างรุนแรง...แบบที่ตัวของฉันไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่เกิดมาสามสิบสองปีนี้ “พาฉันไปบ้านของคุณสิ...” “*เซินเม่?” ฉันสบมองใบหน้าของเธออย่างไม่เชื่อหูในทันที แต่เธอกลับจ้องมองฉันตาใสราวกับลูกแมวตัวน้อย ๆ ก็ไม่ปาน “ฉันจะทำแผลให้...” สุดท้ายแล้วตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่ในห้องนอนของตัวเอง โดยที่ด้านข้างของฉันกำลังมีพยาบาลจำเป็นที่นั่งทำแผลให้กันอยู่ เหม่ยดูตั้งใจมากในการทำแผลให้กับฉัน เพราะเธอไม่ยอมสบมองใบหน้าของฉันเลยตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้แล้ว มีคำถามมากมายที่ฉันอยากจะถามเธอ แต่ฉันก็ดันรู้สึกไม่กล้าพอที่จะถามออกไป อีกใจฉันก็อยากจะรู้คำตอบ เพราะฉันหวังเอาไว้ลึก ๆ ว่าคำตอบของเธอจะเหมือนกับคำตอบที่ฉันคิดไปเองก่อนหน้านี้ ว่าเธอกำลังหึงฉันกับผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ อย่างที่ฉันคิด... “เหม่ย...” สุดท้ายแล้วฉันก็เอ่ยเรียกเธอออกไป แต่เธอยังคงเมินเฉยและไม่สนใจ “เธอ...” “ถอดเสื้อออกสิ...” “เซินเม่?” “ฉันเห็นว่าคุณโดนเตะหลายครั้งที่หลังกับท้อง ฉันจะดูว่ามันช้ำมากไหม” เธอพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่ไม่ยอมสบตากันเลยสักครั้งเดียว ฉันทำตามที่เธอบอกอย่างง่ายดาย ฉันค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองและถอดมันออกไปจากร่างกายจนตอนนี้ส่วนบนของฉันมีเพียงแค่สปอร์ตบราเท่านั้นที่ปกปิดความเป็นหญิงของฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับผู้หญิงทั่วไปเพราะเป็นอัลฟ่า แต่ฉันก็ยังคงมีอยู่เพื่อบ่งบอกเพศของฉันว่าฉันนั้นยังเป็นผู้หญิง “ถอดกางเกงออกด้วย...” “นี่เธอ...” “ฉันแค่จะดูรอยช้ำเฉย ๆ คิดว่าฉันพิศวาสคุณหรือไง?” เธอเงยหน้าสบมองฉันราวกับหงุดหงิดนักหนาที่ฉันเอาแต่ตั้งคำถาม สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและถอดกางเกงขายาวของตัวเองออกไป ตอนนี้ร่างของฉันมีเพียงสปอร์ตบราและกางเกงบ๊อกเซอร์ที่ใส่แทนกางเกงในเท่านั้นที่ปกปิดร่างกายอยู่ เป็นเพราะว่าฉันไม่ได้มีอวัยวะเหมือนผู้หญิงฉันจึงไม่ได้ใส่กางเกงในเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ทั่วไป ฉันกลับมานั่งลงตรงหน้าของเธออีกครั้งและก็ได้เห็นว่าเธอมองฉันตาไม่กะพริบ แถมเธอยังบิดเร้าร่างกายไปมาอีกด้วยต่างหาก...ให้เดาก็น่าจะเป็นเพราะกลิ่นของไอ้พวกนั้นแน่ ๆ ที่อาจจะทำให้เธอมีปฏิกิริยาหลงเหลืออยู่ แต่ดูเหมือนว่าเธอเองก็พยายามที่จะควบคุมตัวเองเหมือนกัน “หันหลังสิ...” เธอเอ่ยสั่ง และฉันก็นั่งหันหลังให้กับเธอตามที่เธอบอก มือเย็น ๆ ของเธอแตะลงมาบนแผ่นหลังจนฉันเผลอสะดุ้งเล็กน้อย เหม่ยใช้มือลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของฉัน และยังเผลอกดแรงลงไปที่รอยช้ำของฉันแรง ๆ จนฉันเผลอสะดุ้งตัวเพราะความเจ็บอยู่บ่อย ๆ แต่แล้วจากสัมผัสเย็น ๆ มันกลับกลายมาเป็นสัมผัสอุ่นร้อนจนฉันต้องหันกลับไปสบมอง แล้วก็ต้องใจเต้นแรงเพราะฉันเห็นว่าจากมือของเธอที่ลูบฉันในตอนแรก...กลับแปรเปลี่ยนมาเป็นริมฝีปากของเธอที่กดจูบลงมาเบา ๆ แทน แถมเธอยังส่งกลิ่นออกมารบกวนให้ฉันต้องพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเพราะยังไม่อยากทำเรื่องที่เมื่อเช้าฉันทำให้เธอต้องตกใจเพราะอารมณ์ความโกรธของฉัน “ฉันไม่อยากให้คุณอยู่กับผู้หญิงคนนั้น...” เธอพูดออกมาราวกับคนเพ้อ และมันทำให้ฉันพยายามที่จะตั้งใจฟังเธอก่อนไม่ให้อารมณ์ของตัวเองในตอนนี้มันมาเบี่ยงเบนให้ฉันหูดับ “ฉันไม่อยากให้คุณไปสัมผัสร่างกายของใครถ้าไม่ใช่ฉัน...” ตึกตัก ตึกตึก บ้าจริง! นี่ฉันกำลังโดนเธอสารภาพรักอยู่หรือเปล่านะ? “เหม่ย เธอ...” ฉันพยายามจะเอ่ยเรียกสติและบอกให้เธอหยุดปล่อยกลิ่นก่อน แต่ตอนนี้มือไม้ของเธอกำลังไปไกลกว่านั้น และฉันจะคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว “ถ้าเธอยังไม่หยุด ฉันจะ...” “ถ้าคุณต้องการฉันก็ให้คุณได้...” “…” “แต่มันต้องไม่ใช่ที่มาจากความโกรธ...เพราะมันทำให้ฉันกลัวว่าครั้งแรกของฉันจะต้องเจ็บตัว” “เหม่ย อืม...” ตอนนี้เธอกำลังใช้มือของตัวเองเล่นที่แท่งอุ่นร้อนของฉันผ่านกางเกงบ๊อกเซอร์ ซึ่งมันกำลังตั้งชูชันแล้วเพราะเธอรบกวนด้วยสัมผัสและการส่งกลิ่น “เธออย่าทำแบบนี้...” แต่ฉันก็ยังพยายามต่อสู้กับตัวเอง แม้ว่ามือของเธอกำลังที่จะล้วงเข้ามาที่ด้านในแล้วก็ตาม “…” “เธอต้องมีสติก่อน...” เธอลืมตาสบมองฉันด้วยแววตาสั่นไหวอย่างคนที่กำลังพยายามต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเองสุดขีด และตอนนี้ฉันก็กำมือของเธอเอาไว้แน่นให้มันออกห่างจากร่างกายของฉัน “ฉันไม่อยากทำอะไรเธอในตอนที่เธอไม่มีสติแบบนี้ และฉันรอได้หากมันเป็นเธอ...” “…” “ฉันว่าฉันตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้วเหม่ย...” “…” “ดังนั้นฉันจะรอ...และเธอก็ต้องได้โปรดให้ความร่วมมือกับฉันด้วย*ชิน อ้าย เตอะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD