เสียงดนตรีบรรเลงครึกครื้น แข่งกับเสียงคลาคล่ำของผู้คนที่มารวมตัวสังสรรค์ในงานเลี้ยงฉลองประจำปีของไร่ดวงหฤทัย ที่นี่เป็นสาขาที่สามของครอบครัว และงานรื่นเริงก็จัดพร้อมกันทั้งสามแห่งอีกด้วย นับเป็นการรอคอยของบรรดาคนงานเลยทีเดียว เพราะเจ้านายของพวกเขาทุ่มเทเต็มที่ในการตอบแทนความเหนื่อยยากที่ช่วยกันตรากตรำทำงานอย่างหนัก จนกิจการเจริญก้าวหน้าขึ้นทุกๆ วัน
น่าแปลกที่ไม่มีแววแขกเหรื่อจากภายนอกมาร่วมงานในครั้งนี้เลย นอกจากนักดนตรีที่ถูกจัดจ้าง แต่ด้วยจำนวนคนงานเป็นพัน ก็ไม่ได้จำเป็นต้องให้คนนอก มาเป็นสีสันสักเท่าไหร่
โมรียานั่งถอนหายใจอยู่บนเตียงนอนของหล่อน ตลอดหลายวันมานี้หล่อนทำงานหนักเหมือนกับเป็นกุลีใช้แรงงานคนหนึ่งก็ว่าได้ ตื่นตั้งแต่เช้า...กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่ม วันทั้งวันต้องทำโน่นนี่นั่นสารพัด ไม่มีเวลาหยุดพักผ่อนร่างกายเลย สร้างความปวดร้าวใจและเจ็บแค้นให้หล่อนเท่าทวีคูณ
สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการภาวนาให้หล่อนหาทางออกได้โดยเร็วที่สุด หรือไม่...ก็ขอให้ภูมิศิลาคนที่ทำกับหล่อนอย่างทารุณนั้นตายๆ ไปจากโลกนี้ซะ
ทุกๆ วัน ทุกๆ ค่ำคืนหล่อนเฝ้าแต่คิดว่าจะไปจากที่นี่อย่างไรดี จนปวดหัว จนเครียด และบั่นทอนจิตใจเข้าไปทุกที โชคดีที่ช่วงหลังๆ ภูมิศิลาไม่ค่อยกล้ำกรายมาวุ่นวายกับหล่อนนัก แทบไม่เห็นเขาเลย หากไม่มีธุระอะไร หรือไม่มีใครไปฟ้องยามหล่อนทำเรื่องผิดพลาด
"คุณมู่ลี่คะ...นายให้มาเรียกค่ะ" บังอรเปิดประตูเข้ามาพร้อมเสียงเรียกทัก เด็กสาวมองหล่อนด้วยสายตาตื่นตะลึงไม่ปิดบัง ห่อปากครางเสียงหลง
"คุณมู่ลี่สวยจังเลยค่ะ ไม่คิดว่าแต่งตัวแล้วจะสวยได้ขนาดนี้"
"ไปเถอะ...เขาจะให้ทำอะไรล่ะ แต่งตัวเสร็จแล้วเนี่ย" โมรียาไม่ได้มีอารมณ์จะระริกระรี้ด้วยเท่าไหร่นัก เพราะการสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่งหน้านิดทำผมหน่อยแค่นี้สำหรับหล่อนแล้วเหมือนคนใช้ในบ้านมากกว่า ไม่ได้พิเศษเลิศหรูอะไรเลย
"ไปเป็นเด็กเสิร์ฟค่ะ เสิร์ฟน้ำให้คนงานกับคนในบริษัทที่มาร่วมฉลองค่ะคุณมู่ลี่ บังอรก็ไปนะคะ" บังอรเอ่ยบอกด้วยความตื่นเต้น เพราะกว่าจะถึงวันนี้ได้ต้องรอกันเป็นปีๆ เลยทีเดียว เวลาเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟเครื่องดื่มก็มักได้ทิปได้เงินเป็นกอบเป็นกำด้วย นับเป็นเรื่องดีที่จะได้มีรายได้เพิ่ม
"เด็กเสิร์ฟ!! ไอ้บ้านั่นจะให้ฉันไปเสิร์ฟน้ำให้คนงานเนี่ยนะ!"
"ดีออกค่ะ...ได้เงินด้วย ทิปหลายร้อยเลยนะคะคุณมู่ลี่" บังอรดูจะตื่นเต้นดีใจไม่ใช่น้อย
"หลายร้อย...หึ ซื้อส้นรองเท้าที่ฉันเคยใส่ยังไม่ได้เลยรู้ไว้ด้วย"
"เอ...รองเท้ากี่คู่กันเชียวคะ คุณมู่ลี่จะใส่รองเท้าทีเดียวหลายๆ คู่ไปทำไมกัน ที่ใส่อยู่เนี่ยก็คู่ละร้อยเก้าๆ นะคะ ไม่แพงค่ะ ใส่ทีละคู่ก็ได้" บังอรทำหน้าแบ้นแล้นอธิบายยกใหญ่ ยังความรำคาญใจให้กับโมรียายิ่งนัก หล่อนกระทืบเท้าแล้วเดินเบียดร่างอวบของเด็กสาวออกไปรีบๆ จนอีกฝ่ายต้องกุลีกุจอสาวเท้าตามไปติดๆ
"รอด้วยๆ ค่ะคุณมู่ลี่ กลางคืนน่ากลัวนะคะ ยิ่งมีงานเลี้ยงแบบนี้ผู้ชายเมาเละเทะกันเยอะค่ะ"
"..." ประโยคคำพูดของบังอรสะกิดใจบางอย่างจนทำให้หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย และหยุดฝีเท้าทันควัน
"อุ๊ย! คุณมู่ลี่เป็นอะไรอีกคะ เปลี่ยนใจไม่ไปแล้วเหรอคะ"
"คนเมา...ผู้ชายงั้นเหรอ..." หล่อนพึมพำไม่ได้สนใจในสิ่งที่บังอรซักถาม
"เอ๋..." ด้วยนิสัยใจคอที่อยู่ด้วยกันมาหลายวัน แม้บังอรจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าผู้หญิงที่ภูมิศิลาให้มาดูแลตัวตนเป็นอย่างไรกันแน่ แต่หากหล่อนรู้สึกได้เลยว่า งานนี้...ต้องมีอะไรไม่ธรรมดาอีกแล้ว
"คิดดีแล้วเหรอครับนาย..." เสียงทักท้วงทำให้หนุ่มใหญ่วัยกลางคนที่กำลังก้าวเท้าลงจากรถหันไปเหลือบมอง ลูกน้องคนสนิทที่เอ่ยนั้นรีบหลบสายตาโดยพลัน แต่ยังแสดงสีหน้าเป็นห่วงกลายๆ
"แค่มาร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงของศัตรูเบอร์หนึ่ง...ต้องคิดให้มันยุ่งยากไปทำไมกัน"
"เอ่อ...นายพิทักษ์ครับ ภูมิศิลาไม่ใช่ธรรมดานะครับ ถ้าประจันหน้ากันผมเกรงว่าจะเกิดปัญหาเปล่าๆ ทุกวันนี้เราก็หาทางกำจัดเขายากเข้าไปทุกที ถ้านายพิทักษ์เข้าไป...ก็เหมือนกำลังประกาศศึกโดยตรงเลยนะครับ" มิวายยังไม่ยอมปล่อยเจ้านายไปเผชิญกับความท้าทายเบื้องหน้า
"มึงอย่าขี้ขลาดไปหน่อยเลย แค่ไอ้ไก่อ่อนเพิ่งหัดขันได้ไม่เท่าไหร่ กูก็อยากรู้นัก ว่ามันจะแน่สักแค่ไหนถึงได้กล้ามาเป็นก้างขวางคอกูอยู่แบบนี้!!" เสียงคำรามจากลำคอของนายพิทักษ์บ่งบอกถึงความชิงชังไม่พอใจในบุคคลที่กำลังกล่าวถึงเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าครั่นคร้ามบ่งบอกถึงวัยที่ผ่านโลกมาพอสมควรนั้นดูจะฝังกลบเอาความเจ็บแค้นไว้มิใช่น้อย
"ถ้านายคิดแบบนั้น...ผมก็คงห้ามอะไรไม่ได้ แต่คงต้องระวังตัวกันให้มากหน่อยนะครับ ผมไม่ไว้ใจมันเลย"
"มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก ท่านปลัดอยู่ด้วยทั้งคน จริงไหมครับท่าน..." นายพิทักษ์หันไปมองยังประตูรถด้านฝั่งตรงกันข้าม ที่บุรุษหนึ่งกำลังเปิดประตูเผยตัวตนออกมา
"ก็คงจะอย่างนั้นละคุณพิทักษ์...จัดงานใหญ่ขนาดนี้โดยไม่เชิญผู้หลักผู้ใหญ่ในพื้นที่มาสักคน ดูๆ ไปไอ้หนุ่มนี่หัวหมอใช่ย่อยอยู่เหมือนกัน" ปลัดคิมหันต์แสยะยิ้มไม่ใคร่พอใจนัก ด้วยเอนเอียงมาทางฝั่งนายพิทักษ์อยู่ด้วยแล้ว
"เชิญครับคุณปลัด...เราคงต้องแวะไปทักทายเพื่อนบ้านกันหน่อย"
ผู้คนมากมายในงานต่างสรวลเสเฮฮา ดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน เสียงดนตรีขับกล่อมครื้นเครง ในขณะที่ผู้มาเยือนห้าคนกำลังย่างเท้ามุ่งตรงไปยังโต๊ะจัดเลี้ยงสำหรับผู้บริหารระดับสูงของไร่ และบริษัทในเครือของดวงหฤทัยกรุ๊ป เป้าหมายนั้น ต่างก็เล็งไว้เป็นหนึ่งเดียวกันคือภูมิศิลา ผู้ปกครองของที่นี่
"ผู้หญิงคนนั้น...เป็นใครกัน ดูไม่เหมือนชาวบ้านชาวไร่ที่นี่" สายตาของนานพิทักษ์สาดมองไปยังร่างระหงในชุดเสื้อดัดแปลงจากผ้าถุงลายดอกสีแดงผูกไขว้คอ ผืนผ้าโอบอุ้มทรวงอกอิ่มได้รูป เปลือยผิวขาวนวลช่วงเหนือเนินอกไปถึงเรียวแขน โชว์สะเอวคอดกิ่ว สวมโจงกระเบนประยุกต์เองสั้นเกือบถึงโคนขา อวดผิวนวลเนียนดั่งทองผสม ผุดผาดเปล่งปลั่ง ผมสีบลอนเขียวปนทองสว่างเมื่อต้องแสงไฟถูกรวบเอาไว้เป็นมวยกลางศีรษะ แซมแต้มแต่งด้วยดอกชบาสีขาว เกสรกำมะหยียาวสีแดง
"สวย...ใครกันไม่เคยเห็นหน้าค่าตา"
"เด็กไอ้ภูมิศิลามันมั้งครับคุณปลัด ออกจะล่อแหลมขนาดนั้นแต่พวกคนงานกลับไม่กล้ายุ่งเหิมเกริม ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาดื่มกิน แสดงว่าคงมีความสำคัญระดับหนึ่ง" นายพิทักษ์อธิบายตามที่สายตาเห็นพ้อง
"เห็นจะจริง มันไปคว้ามาจากที่ไหนของมัน สวยระดับนางงามแต่คงไม่พ้นพวกหมอนวดในเมือง ดูทำตัวเข้าสิ หึ..." ปลัดคิมหันต์ที่วัยละอ่อนกว่าเหยียดยิ้มสายตาพริ้มพรายมองร่างแบบบางนั้นอย่างไม่ละสายตา