“ดึกดื่นเพียงนี้ ลักลอบมาพบกับสตรีของผู้อื่น ไม่ใช่วิสัยของบุรุษที่ดี ท่านว่าอย่างนั้นรึไม่ จวิ้นอ๋อง”
ผู้ที่ถูกจ้องอยู่รู้สึกโมโหจนเท้ากระตุก องค์ชายปากเหม็นผู้นี้แม้เรียกเขาว่าจวิ้นอ๋อง แต่ก็ไม่เคยมีความเคารพต่อเขา ยิ่งเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ต่อหน้าคุณหนูสกุลเฟิง เขายิ่งรู้สึกเสียหน้า
“อย่าพูดจาเหลวไหล ข้าและคุณหนูเฟิงเพียงหารือกันเล็กน้อยเท่านั้น หาได้ทำสิ่งใดเสียหาย”
“อย่างนั้นรึ แล้วเมื่อครู่ หากข้ามาไม่ทัน จะไม่มีสิ่งใดเสียหายแน่หรือ” เขากล่าวยียวนอย่างหาเรื่องต่อไป
“องค์ชายรอง นั่นเป็นเหตุสุดวิสัย ได้โปรดอย่ากล่าวให้คุณหนูเฟิงเสียเกียรติ”
“จวิ้นอ๋อง ท่านหยุดพูดจาเลอะเทอะ ไม่ว่าอย่างไร ต่อไปห้ามท่านมาพบสตรีของข้าอีก เข้าใจหรือไม่!”
“หยางเหวินหลง!!” จวิ้นอ๋องตะโกนออกมาอย่างเหลือทน และเขาจะไม่ทนอีกต่อไป เขาเอื้อมมือไปหมายกระชากเสื้อองค์ชายรองผู้นี้มาสั่งสอนให้หลาบจำ
“หยุดนะ!!” เป็นคุณหนูเฟิง เฟิงอวี้หยวนที่ขึ้นมาบังองค์ชายรองไว้ทันที สายตานางแข็งกร้าวอย่างไม่ยอมให้จวิ้นอ๋องแตะต้ององค์ชายรองเด็ดขาด
“คุณหนูเฟิง! นี่เจ้า! องค์ชายรองเหยียดหยามหมิ่นเกียรติเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้ายังปกป้องเขาอีกหรือ?”
“เพคะ หม่อมฉันเป็นสตรีขององค์ชายรอง ย่อมปกป้องเขาจนถึงที่สุดแน่เพคะ” นางก็ตอบเขาไปตรงๆเช่นกัน นางไม่หลบสายตา จวิ้นอ๋องผู้นี้เป็นเสือหมอบมังกรซ่อน วางแผนทำร้ายองค์ชายรองอยู่ชัดๆ ปั้นหน้าเป็นคนดี ถ้านางเป็นคุณหนูเฟิงคนเก่า อาจจะหลงกลเขาไปแล้วก็ได้
ตอนนี้จวิ้นอ๋องตกตะลึงอย่างแท้จริง ไม่คิดว่านางเลือกจะแตกหักกับเขาเร็วถึงเพียงนี้ เมื่อหันไปสบกับสายตายิ้มเยาะขององค์ชายรอง เขายิ่งรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้มาก จึงหันหลังเดินจากไป
“คุณหนูเฟิง จริงรึ? เจ้ากล่าวว่าเจ้าเป็นสตรีของข้า”
เมื่อศัตรูไปแล้วเขาก็หันมาหยอกเย้าแม่เสือสาวของเขาต่อ เมื่อกี้ถึงแม้นางไม่เข้ามาปกป้องเขา จวิ้นอ๋องก็แตะต้องร่างกายเขาไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จวิ้นอ๋องไม่เคยผ่านด่านองค์รักษ์ของเขาได้ และเขาที่เก่งกว่าเงา จะยอมให้ใครแตะง่ายๆได้อย่างไรกัน
ตอนนี้นางรู้สึกอยากตีตนเองอีกครั้ง ปากมันไปก่อนสติรึไง ทำไมนางต้องพูดแบบนั้นด้วยล่ะ
“เอ่อ.....คือ....เอ่อ...” นางหาคำแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้
“ใช่แล้ว หยวนเออร์ เจ้าคือสตรีของข้า และเจ้าจงจำไว้ให้ดี เจ้า... เป็นของข้า”
กล่าวจบเขาก็เชยคางนางขึ้นมาจุมพิตไม่ให้นางได้ตั้งตัว จุมพิตนั้นเพียงขบเม้มริมฝีปากแผ่วเบา ไม่ได้รุกล้ำเข้าไป แต่กระนั้นมันก็กระชากสติและวิญญาณของหญิงสาวออกไปจากร่างจนสิ้น เหลือเพียงหญิงสาวผู้หนึ่งยืนเหม่ออยู่ในศาลา ปล่อยให้ผู้ช่วงชิงจูบจากตน ลอยนวลหายไปกับความมืด
อีกครั้งแล้ว นางถูกเขาเอาเปรียบอีกครั้งแล้ว ตอนนี้นางมานั่งโทษตัวเองอยู่ในห้อง ยอมให้เขาเอาเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมกันนะ ทำไมพอถึงเป็นคนผู้นี้ จึงหลอกลวงนางได้ง่ายๆ
ผิดกับอีกคน ที่เอามือขัดหลังเดินจากมาอย่างสบายใจ การกระทำเล็กๆน้อยๆที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงของนาง ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น
“หึ บางที การแต่งชายาจากสกุลเฟิง เช่นคุณหนูใหญ่เฟิงอวี้หยวนผู้นี้ ก็ไม่เลวนัก” เขานึกถึงริมฝีปากนุ่มหยุ่น เหมือนอะไรซักอย่างที่นุ่มละมุนและเด้งดึ๋ง หรือกลับไปครั้งนี้เขาจะขอรางวัลเป็นสมรสพระราชทานจากเสด็จแม่ดีหรือไม่นะ องค์ชายรองนอนยิ้มกริ่มกับตนเองต่อไป
******************
เฟิงอวี้หยวนไม่ได้รับรู้เลยว่านางกำลังถูกหมายหัว ตอนนี้นางกำลังคิดวางแผนเพื่อช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำและปากท้องของชาวบ้านในระยะยาว ลักษะพื้นที่แถบนี้เป็นที่ราบสูง หากฝนตกลงมาน้ำก็ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว การปลูกข้าวนั้นต้องใช้น้ำมาก ไม่แปลกใจที่ผลผลิตได้น้อยทุกปี
การแก้ปัญหาปากท้องในแบบถาวรจึงไม่ใช่การขุดบ่อใหญ่ๆจำนวนมาก คงต้องมีบ้างแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น การผันน้ำจากแหล่งน้ำใหญ่มาใช้ตลอดทั้งปี เป็นเรื่องเหมาะสมมากกว่าเสียดายที่นางยังหาวิธีขุดบ่อบาดาลไม่ได้
นางคิดว่าชาวบ้าน ต้องเปลี่ยนการเพาะปลูก จากปลูกข้าวไปปลูกอย่างอื่นที่ใช้น้ำน้อย และควรมีการค้าพืชผลทางการเกษตรอย่างในยุคที่นางจากมา ให้ทางการรับซื้อในราคาเป็นธรรม รับซื้อพืชไร่พืชสวนจากแหล่งที่มีมาก ไปขายยังแหล่งที่ขาดแคลน เพราะแต่ละพื้นที่ไม่เหมาะกับการปลูกพืชชนิดเดียวกัน กลับไปนางคงต้องไปศึกษาเรื่องการค้าและการเพาะปลูกบ้างแล้ว
******************
รุ่งขึ้นมีการเรียกประชุมขุนนางทุกฝ่ายเพื่อรายงานผลการทำงานที่ได้รับมอบหมายในช่วงที่ผ่านมา คุณชายใหญ่เฟิงหนิงเฉิงและรองเจ้ากรมโยธาได้รับมอบหมายให้จัดทำระบบน้ำประปาและขยายพื้นที่ส่งน้ำออกไปอีกสามหมู่บ้านใหญ่ๆ ให้มีการสร้างถังพักน้ำขนาดใหญ่ไว้หลายจุด
แม้งานมีความละเอียดและยากแต่ก็เสร็จสิ้นด้วยดี ตอนนี้หมู่บ้านมีน้ำไว้ดื่มกินอย่างเพียงพอ แต่ทุกคนก็ยังคงประหยัดใช้น้ำอย่างยิ่ง ด้วยฝนยังไม่ตกลงมา หากแหล่งน้ำแห้งเหือดลง พวกเขาคงลำบากเป็นแน่ และน้ำประปายังไม่เพียงพอในการเพาะปลูก
ส่วนจวิ้นอ๋องและรองแม่ทัพไป๋รับผิดชอบในการคุ้มกันขบวนพ่อค้าที่ไปตระเวนจัดหาซื้อเสบียงตามแนวชายแดน ตอนนี้คลังเสบียงของเมืองหมานก็มีเสบียงเพียงพอไปได้อีกอย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองปี
ทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตนได้ดีอย่างยิ่ง จึงเห็นควรว่าขบวนเสด็จคงต้องเดินทางกลับเมืองหลวงได้แล้ว ช่วงบ่าย เหล่าคุณหนูทั้งหลายช่วยกันทำขนมมาแจกเด็กๆตามหมู่บ้านต่างๆ ในช่วงที่ทุกคนช่วยกันทำงานแก้ไขปัญหาปากท้อง เหล่าคุณหนูก็ไม่ดูดาย ต่างมาช่วยสอนเด็กๆให้ได้รู้สิ่งที่มีประโยชน์
แรกๆเด็กเหล่านี้ชอบจับกลุ่มกันมาดูคุณหนูผู้งดงามจากเมืองหลวง พวกนางเหมือนเทพธิดาชาวสวรรค์ในนิทานเรื่องเล่า แต่ละคนล้วนงดงาม กิริยาอ่อนช้อย อีกทั้งยังมากความสามารถ
คุณหนูไป๋นั้น นางช่วยสอนอ่านเขียนแก่เด็กชายกลุ่มหนึ่ง พวกเขาล้วนฝันอยากเป็นบัณฑิตแต่ไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษา สอนกันไม่กี่วันเด็กเหล่านี้ก็ท่องตำราแปดอักษรได้แล้ว สร้างความปลื้มใจให้แก่ผู้สอนไม่น้อย
คุณหนูเหลียวและคุณหนูฉีเป็นผู้มีความสามารถด้านการปักเย็บ ฝีมือของพวกนางนั้นงดงามไม่มีที่เปรียบ หลายวันมานี้เหล่าเด็กสาวและหญิงชาวบ้านได้มาฝึกงานเย็บปักกับคุณหนูจากเมืองหลวงจนปักผ้าได้สวยไปหลายคน พวกนางรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
ส่วนเฟิงอวี้หยวนนั้นเนื่องจากต้องคอยดูแลการก่อสร้างระบบน้ำประปาจึงไม่ค่อยได้มาทำกิจกรรมร่วมกับคุณหนูคนอื่น แต่ในวันนี้นางมาช่วยแจกขนมให้เด็กๆด้วย จากกลุ่มเด็กน้อยที่ใบหน้าหมองเศร้า ท้องเต็มไปด้วยความหิวในขณะนั้น ตอนนี้ทุกคนล้วนมีสีหน้าสดใส ถึงแม้จะยังคงสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ดวงตาใสแจ๋วต่างจ้องมาที่ขนมในถาดที่จัดเตรียมไว้ เด็กๆยืนเข้าแถวเป็นระเบียบตามที่ได้รับการสั่งสอน
บางคนทั้งชีวิตไม่เคยได้กินขนมหรือน้ำตาลก้อน พวกเขาล้วนจินตนาการถึงรสชาติที่ใครก็บอกว่ามันอร่อยยิ่งนัก ครานี้นางทำขนมถั่วตัดกับถั่วเคลือบเพราะสามารถเก็บไว้ได้นาน นางจัดลงในห่อกระดาษผูกมัดไว้อย่างดี ให้ห่อละ 5 ชิ้น เพราะเผื่อให้พวกเขานำมันกลับบ้านไปแบ่งให้คนที่บ้านได้ทานด้วย พวกเด็กๆดีใจกันอย่างยิ่ง ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆและได้ทานของอร่อยที่ไม่เคยได้ทาน
“พี่สาวเจ้าคะ พวกท่านไปแล้ว จะกลับมาอีกหรือไม่” เป็นเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นน้ำตาคลอ เมื่อได้ทราบข่าวว่าอีกไม่นานขบวนเสด็จก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว
“ท่านพ่อบอกว่าอีกไม่กี่วัน พวกท่านก็จะเดินทางกลับเมืองหลวง เมืองหลวงอยู่ไกลมาก พวกข้าคงไปไม่ถึง” เด็กหญิงคนเดิมยังคงกล่าวด้วยน้ำตาคลอ พาลให้เด็กคนอื่นเงียบอย่างรอฟังคำตอบของนางด้วย
“ระยะทางยาวไกล หากมีโอกาส คงได้กลับมา แต่พวกเจ้ารู้รึไม่ ว่ามีพบย่อมมีจาก สิ่งสำคัญคือทุกคนจดจำสิ่งที่พวกข้าสอน พยายามอดทน ฝึกฝนเท่าที่มีโอกาส พวกเจ้าล้วนมีความสามารถ วันหนึ่ง พวกเราอาจได้พบกัน”
นางบอกอย่างตรงไปตรงมา พวกเด็กๆน้ำตาไหล เมื่อรู้ว่าพี่สาวใจดีเหล่านี้จะไม่อยู่แล้ว สิ่งดีดีในวันที่ผ่านมาของพวกตนก็จะสิ้นสุดลงด้วย
“ข้าจะพยายาม วันข้างหน้า เมื่อพบกัน ข้าจะจำท่านให้ได้”
ตอนนี้แม้แต่เหล่าคุณหนูยังน้ำตาคลอเลยด้วยซ้ำ คุณหนูไป๋ คุณหนูเหลียวและคุณหนูฉี บัดนี้สนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างยิ่ง พวกนางมีช่วงเวลาสนุกด้วยกัน นางมองแล้วก็ยังแอบเอ็นดู เด็กสาวเหล่านี้ก็ยังเป็นเพียงดรุณีน้อยเท่านั้น ที่วางท่าสูงส่ง ความร้ายกาจที่เคยมี ก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ประดิษฐ์ขึ้นทั้งสิ้น
เมื่อพบกับความลำบาก และได้ร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงใจ ทำให้พวกนางรู้แล้วว่า ความสุขที่แท้จริงก็คือความสงบสุขในใจ ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใคร แค่ใช้วันเวลาไปกับเรื่องดีดี ก็มีความสุขได้ง่ายๆ
***********
สองวันต่อมาขบวนเดินทางกลับเมืองหลวงได้ตระเตรียมพร้อมออกเดินทางตั้งแต่เช้า ขากลับขบวนรถม้าหลายคันล้วนว่างเปล่า เพราะเสบียงที่นำมาถูกแจกจ่ายไปจนหมด ชาวบ้านทั้งหลายล้วนออกมารอส่งขบวนเสด็จ
พวกเขามั่นใจว่านับจากนี้อีกหลายสิบปี ชั่วอายุลูกหลาน เขาจะมีเรื่องเล่ามาให้ลูกหลานฟังแน่ๆ ว่าในปีหนึ่งที่ผู้คนล้วนอดอยาก ผืนดินแห้งแล้ง พวกเขาได้พบกับเทพเซียนตัวจริง ลงมาโปรดเหล่าชาวเมือง ช่วยเสกน้ำเสกอาหารขึ้นมาได้ในพริบตา และจากไปเมื่อพวกเขาสมปรารถนา เหล่าลูกหลานต้องตั้งมั่นในความดี เมื่อถึงคราวลำบากทุกข์ยาก เทวดาจะได้มาช่วย!
คุณหนูเหลียวและคุณหนูไป๋ตื่นแต่เช้าโดยไม่อิดออด พวกนางเฝ้ารอเวลานี้มาตลอด อยู่ที่นี่ถึงไม่อด แต่ก็ไม่สบาย ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยคนยากจน แม้ลึกๆแล้วพวกนางยังอาลัยเหล่าเด็กๆลูกศิษย์ไม่น้อย แต่เมื่อหน้าที่เสร็จสิ้นก็คงต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อไป
“คุณหนูทั้งหลาย ข้าขอขอบคุณพวกท่านมาก ขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย พวกข้าจะไม่ลืมพวกท่านแน่” ฮูหยินจ้าวออกมาร่วมส่งเหล่าคุณหนูเหล่านี้ ช่วงพี่ผ่านมานางไม่มีบุตรสาว คุณหนูเหล่านี้ล้วนน่ารักและคลายเหงาให้นางได้มาก
“ท่านต้องรักษาสุขภาพด้วย อย่าหักโหมเกินไป หากมีเรื่องใด ก็ให้ส่งข่าวหาข้าที่จวนสกุลเฟิงได้ทุกเมื่อ” คุณหนูหยวนกล่าวตอบไปอย่างมีไมตรี ฮูหยินผู้นี้เป็นผู้มีเมตตาและความยุติธรรม ถึงแม้ตนจะมีโอกาสแต่ก็ไม่ถือโอกาสเอาเปรียบชาวบ้าน ช่างน่านับถือ
“ฮูหยินจ้าว ข้าขอฝากพวกเด็กๆด้วย ไว้ข้าจะส่งบัณฑิตมาสอนพวกเขาอ่านเขียนต่อ” ไป๋ซูฮวานางเป็นห่วงลูกศิษย์ตัวน้อยของนางจะไม่มีใครสานต่อ
“คุณหนูไป๋โปรดวางใจ สิ่งดีๆเหล่านี้ ข้าและพวกเด็กๆจะสานต่อแน่ ขอบคุณอีกครั้งเจ้าค่ะ” เมื่อทุกคนกล่าวร่ำลากันเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางพอดี
“ทูลจวิ้นอ๋อง ทูลองค์ชายรอง ได้เวลาออกเดินทางแล้วพะยะค่ะ” คุณชายใหญ่เฟิงรายงานกำหนดเดินทาง ข้าราชบริพารและชาวเมืองทั้งหลายจึงก้มลงถวายคำนับ
“ขอทรงพระเจริญ ขอทรงพระเจริญ ขอทรงพระเจริญ”
ชาวเมืองกล่าวสรรเสริญน้อมส่งขบวนเสด็จตลอดสองข้างทางจนพ้นเขตเมืองหมาน แววตาพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความอาดูร
ขบวนเสด็จเริ่มเคลื่อนไปตามทาง แสงอรุโณทัยส่องแสงเรืองรองอยู่ด้านหน้า จึงคล้ายกับว่าทั้งขบวนกำลังเดินหายเข้าไปในแสงสว่างนั้น ยิ่งคล้ายขบวนเสด็จของทวยเทพ ชาวเมืองหมานจะไม่มีทางลืมภาพงดงามนี้แน่นอน