เสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพดังไปทั่วห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย กลิ่นยาอ่อน ๆ ลอยเข้ามาแตะจมูกเป็นระยะ ร่างซูบผอมซึ่งนอนไม่หลับเลยทั้งวันนอนพลิกกายไปมาบนเตียงด้วยสีหน้าที่ไม่ใคร่จะสบายใจนัก
“คุณพยาบาลคะ เมื่อวานเห็นลูกสาวดิฉันแวะมาบ้างไหมคะ” นวิยาหันไปเอ่ยถามพยาบาลที่กำลังตรวจเช็คสายน้ำเกลืออยู่ใกล้ ๆ เพราะปกติลันลภัสจะแวะมาหาเธอทุกวัน ถ้าทำงานก็จะมาตอนค่ำแทนแต่เมื่อวานนี้กลับไม่เห็นเลยแม้แต่เงา
“อืม...เมื่อวานไม่เห็นเลยนะคะ คนไข้ในห้องนี้ก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ถ้ามาดิฉันต้องจำได้อยู่แล้วค่ะ”
“แปลกจัง ปกติลันไม่เคยหายไปแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” คนที่นอนบนเตียงครุ่นคิด ดวงตาดำลึกดูอิดโรยเหลือบมองไปที่ประตูด้วยความหวังว่าผู้เป็นลูกสาวจะมาเยี่ยม แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อคนที่เข้าออกกลับเป็นญาติของคนไข้เตียงอื่น ไม่ใช่ลันลภัสอย่างที่คิดไว้ “หายไปไหนนะลัน”
นวิยาพยายามคิดในแง่ดีว่าหญิงสาวอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับงานเพราะต้องหาค่ารักษาพยาบาล แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้อยู่ดี
“ลัน...” น้ำเสียงแหบพร่าพร้อมกับรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันทีเมื่อเห็นร่างที่แสนคุ้นตาเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอาหารมากมายที่ถือติดมือมาด้วย
“ขอโทษนะคะที่เมื่อวานลันไม่ได้มา คิดถึงแม่ที่สุดเลย” ลันลภัสพยายามปรับน้ำเสียงให้มั่นคงก่อนจะถลาเข้าไปสวมกอดร่างของมารดาเอาไว้แน่น เมื่อใบหน้าหวานซบลงบนอกมารดากลับปรากฏน้ำตาหยดน้อยไหลลงมาแทน มือเรียวจึงรียปาดเช็ดมันออกลวก ๆ เพื่อนที่นวิยาจะได้ไม่สงสัย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่หลุดรอดจากสายตาผู้เป็นแม่อยู่ดี
“เป็นอะไรหรือเปล่าลัน ไม่สบายเหรอลูก”
“ปละ...เปล่าจ่ะแม่ ลันแค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยน่ะค่ะ” หญิงสาวโป้ปด ความจริงแล้วที่ร่างกายเธอมีอาการไม่สู้ดีแบบนี้เป็นเพราะยานรกที่พวกของเสี่ยภาคินฉีดให้เมื่อวานนี้ต่างหาก
“โถ่ ที่เมื่อวานหายไปเป็นเพราะไม่สบายนี่เอง แม่เป็นห่วงใจจะขาด”
“ลันไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอกจ่ะ ลันแข็งแรงจะตาย” เจ้าของใบหน้าหวานที่ตอนนี้ดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดพยายามฝืนยิ้ม “แม่หิวไหมคะ วันนี้ลันซื้อโจ๊กหน้าปากซอยมาฝากด้วย”
“แล้วลันล่ะ ทานอะไรมาหรือยัง มากินกับแม่สิเยอะขนาดนี้แม่กินไม่หมดหรอก”
“ลันทานมาเรียบร้อยแล้วค่ะแม่” หญิงสาวตอบในขณะที่กำลังรินน้ำในแก้วเตรียมไว้ให้มารดา ทว่าอาการอยากยาที่เธอพยายามจะเอาชนะมันตั้งแต่เช้ากลับกำเริบขึ้นมาจนทำให้มือไม้สั่น แก้วในมือร่วงหล่นลงพื้นแตกละเอียด
เพล้ง !
“ตายแล้ว ! ” นวิยาสะดุ้งตกใจเช่นเดียวกับคนไข้เตียงข้าง ๆ ลันลภัสจึงรีบทรุดกายลงเพื่อเก็บเศษแก้วที่ตกหล่นลงบนพื้นด้วยมือที่ยังสั่นระรัวไม่หาย
“ขอโทษค่ะแม่ หนูไม่ทันได้ระวัง”
“เป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็กลับไปพักเถอะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่แม่บ้านเข้ามาช่วยเก็บเศษแก้วด้วยอีกแรง
“หนูไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะแม่”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง ดูหน้าลันสิ อดหลับอดนอนขนาดนั้นเลยเหรอลูก”
“เอ่อ...” หญิงสาวรีบหลบสายตาของนวิยาทันที อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ เพราะไม่รู้จะโกหกหรือแก้ตัวกับมารดาว่าอย่างไง “ลันแค่ไม่สบายนิดหน่อยเองค่ะ”
“แน่ใจนะว่าไหว กลับไปนอนพักดีกว่าไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ...” เสียงใสเงียบหายไป เมื่ออยู่ ๆ อาการปวดหัวก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ดวงตากลมโตเริ่มพร่าเลือน มองเห็นใบหน้าของนวิยาซ้อนทับกันมั่วไปหมดจนร่างบางเซถลาเกือบจะล้มลงอยู่รอมร่อ มือเรียวยกมือขึ้นปาดเช็ดเหงื่อที่ประทุออกมาทั่วใบหน้าราวกับเขื่อนแตก พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุดแต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน
“ลัน แม่ว่าแบบนี้ลูกไม่ไหวแล้วนะ ไปให้หมอตรวจสักหน่อยไหม”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ลันลภัสรีบปฏิเสธ หากหมอตรวจ ผู้เป็นแม่ก็ต้องรู้ว่าเธอเสพยา ถ้าเป็นแบบนั้นนวิยาจะเสียใจมากแค่ไหน “หนูไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ ค่ะแม่”
“แต่หน้าลันไม่สู้ดีเลยนะลูก”
“เดี๋ยวกลับไปนอนพักก็หายแล้วค่ะ”
“งั้นกลับไปเถอะ แม่อยู่คนเดียวได้” ผู้เป็นแม่เลื่อนมือไปลูบศีรษะเล็กแผ่วเบาด้วยความรัก ลันลภัสตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่สามารถอดทนกับสิ่งที่อยู่ในร่างกายได้ ท้ายที่สุดหญิงสาวจึงต้องรีบขอตัวลากลับบ้านไป
“ถ้าอย่างนั้น ลันกลับก่อนนะคะ ไว้ลันจะมาใหม่นะแม่”
“จ่ะ ไปเถอะ”
ร่างเล็กสวมกอดมารดาอีกครั้งก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทางประตู ท้องไส้เริ่มบิดมวนจนรู้สึกเจ็บปวดเหมือนทุกอย่างในร่างกายถูกมีดดาบนับพันเล่ม กรีดแทงจนไม่เหลือชิ้นดี
“ไม่...ฉันไม่มีวันตกเป็นทาสยานรกนั่นเด็ดขาด ไม่มีวัน...โอ้ย ! ”
เพราะความรีบร้อนและอาการไม่ใคร่จะสู้ดีของร่างกาย มันเลยทำให้หญิงสาวไม่ทันได้ระวังชนเข้ากับร่างหนึ่งเข้าอย่างจังจนเกือบจะล้มหน้าคะมำลงบนพื้น แต่ก็ยังโชคดีที่ท่อนแขนแข็งแรงของอีกคนตวัดมารับร่างของเธอไว้จากทางด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว
“ขอโทษนะครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เสียงนุ่มทุ้มจากร่างสูงใหญ่เอ่ยถาม ทว่าลันลภัสกลับไม่ได้สนใจจะเงยหน้าขึ้นตอบ ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นทันทีที่เห็นรองเท้าคอมแบตเงาวับ กับชุดลายพรางที่แสนคุ้นตา ความหวาดกลัวมันเลยทำให้เธอต้องรีบผละจากร่างนั้นจนลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อครู่นี้ฝ่ามือหนามันจับโดนเนินเนื้อคู่งามหนึ่งข้างเข้าเต็ม ๆ
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าตอบ กระพุ่มมือไหว้อีกคนหนึ่งครั้งแล้วจึงรีบวิ่งออกจากโรงพยาบาลไปทันที
“อะไรเขาของวะ” ร่างสูงใหญ่บ่นพึมพำ ยกฝ่ามือของตัวขึ้นจ้องมองมันสลับกับร่างเล็กที่วิ่งจากไปด้วยความงุนงง ภูริช หมอหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงอดที่ล้อเพื่อนสนิทเสียไม่ได้
“ฉันต้องเป็นฝ่ายถามแกมากกว่านะว่าแกน่ะเป็นอะไร”
“เมื่อกี้เหมือนมือฉันจะไปจับโดน...” เจ้าของใบหน้าคมคร้ามตามแบบฉบับหนุ่มไทยครุ่นคิด ดวงตาคมกริบยังจ้องมองไปยังแผ่นหลังเล็กที่วิ่งหายลับไป
“โดนอะไรของแก ไอ้แทน”
“ไม่รู้สิ มันบอกไม่ถูกเหมือนกัน” ร้อยเอกแทนไท โรจนโสภาค ตอบก่อนจะตบไหล่เพื่อนสนิทเบา ๆ เพื่อจะเดินไปคุยธุระต่อ
“แกนี่นาน ๆ จะออกจากป่า ตื่นคนเหรอวะ”
“จะบ้ารึไง เมื่อกี้แกก็เห็นฉันอุตส่าห์ช่วย ไม่เห็นขอบคุณกันสักคำ” ผู้กองหนุ่มตัดพ้อ
“อย่าไปถือสาเด็กมันเลยน่า ฉันเป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณแม่ลันเขาเองแหละ แม่เขาป่วยเป็นมะเร็งน่ะ นี่ว่าจะผ่าตัดอยู่แต่เขายังไม่พร้อมเพราะเงินมันยังไม่พอ เลยต้องรักษาไปตามอาการก่อน” ภูริชอธิบายในขณะที่ทั้งสองเดินผ่านทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดไปอีกตึก
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลย”
“ก็แกแต่งตัวซะเต็มยศขนาดนั้น ไม่ให้เด็กมันกลัวได้ไง” หมอหนุ่มหัวเราะร่า จ้องมองเพื่อสนิทที่แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นทหารเสียเต็มยศ
“ก็วันนี้มีงาน พอเสร็จก็แวะมาหาแกนี่ไง”
“นั่นแหละ ที่ลันเขากลัวแก ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นชุดที่แกใส่” อีกฝ่ายตอบก่อนจะปรับลดน้ำเสียงให้เบาลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบแทน “เห็นเขาลือกันว่า พ่อเลี้ยงของลันเป็นพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่น่ะ”
“จริงเหรอ...น่าสนใจซะด้วยสิ”
“เอาอีกละ ใจคอจะโฟกัสแต่เรื่องงานรึไง แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะหาแฟนได้สักทีล่ะ เห็นจ่าดอนบอกว่าแกเพิ่งอกหักจากครูอาสาคนก่อนไม่ใช่รึไง” ภูริชพูดแทงใจดำจนอีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวใส่
“ถ้าขืนแกพูดถึงเรื่องนั้นอีกละก็ฉันจะเอาปืนอัดสมองแกเดี๋ยวนี้แหละ”
“โห ดุซะด้วย ถึงว่าแหละ จนป่านนี้แล้วยังไม่มีแฟนสักที”
“แกเองก็เพิ่งจะมีไม่นานเองไม่ใช่เหรอวะ” ผู้กองแทนไทค้อนกลับ
“อย่างน้อยฉันก็มีก่อนแก ถ้าแกไม่มัวแต่หมกตัวอยู่ในป่าในดอย ป่านนี้คงจะได้แต่งงานกับคุณปิ่นลูกสาวผู้พันไปแล้ว”
“พอเหอะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเขามองไม่ดี อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นด้วย” ชายหนุ่มตัดบทพยายามไล่ความคิดเรื่องผู้หญิงที่ภูริชขยันพูดกรอกหูทุกครั้งที่เจอกันออกไป แต่จนแล้วจนรอดก็อดนึกนึกสัมผัสตรงฝ่ามือเมื่อครู่นี้ไม่หาย
หนึ่งคอมเมนต์ = หนึ่งพันล้านกำลังใจนะคะ