ปัจจุบัน
ต้นยามอิ๋น[1]แล้ว ทว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งยังคงเดินวนไปมาราวกับแมลงตัวเล็กที่ถูกขังไว้ในถ้วยชา ครอบปิดไว้บนโต๊ะไม้สลักลายสวยงาม ไร้หนทางหลบซ่อนหลีกหนี หัวคิ้วของเขาแทบชนกัน ริมฝีปากเม้มอยู่เนือง ๆ ราวกับมีปัญหาใหญ่ที่ต้องขบคิดทำความเข้าใจ
หลี่จินหมิงยามนี้ยากจะควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่าน ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องใดก็มิสามารถทำให้เขาเปิดเผยความรู้สึกของตนได้ ความสูญเสียทำให้เขากลายเป็นบุรุษที่มีสีหน้าเรียบเฉยและหนักแน่นดุจเขาไท่ซาน แต่ทว่าสามวันที่ผ่านมาทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ
‘หึ! ไม่นึกว่าเจ้าโตมาจะเป็นสตรีเช่นนี้ สวรรค์กลั่นแกล้งข้าแล้วจริง ๆ’
เขามิแน่ใจว่า ‘ภรรยาลับ’ จะตีความหมายไปในทิศทางใด เข้าใจว่าประโยคที่หลุดจากปากเป็นเพราะความผิดหวังที่นางมีนิสัยต่างไปจากเดิม หรือมองลึกทะลุทะลวงและเห็นว่า ‘ท่านอา’ กำลังคิดถึงเรื่องผิดบาป ในยามที่เห็นดวงตาหวานซึ้งที่ซ่อนความกระวนกระวายไว้แทบมิได้
ความดื้อรั้นทว่าเย้ายวนของนางทำให้เขามิสบายใจ กลัวว่าจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับตวนอ๋องสูงศักดิ์ ถึงขั้นกล่าวโทษสวรรค์ว่ากลั่นแกล้งให้ต้องเผชิญกับความงามที่ต้านทานได้ยากยิ่ง
เสวียนหนิงอันเติบโตแล้วงดงามมากเกินไป
“ไม่ได้ เจ้าจะลืมคำพูดของตนไม่ได้!”
หลังจากถูกวางยาชีวิตของหลี่จินหมิงก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เขาจำได้ดีว่าถูกศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ทำร้ายร่างกาย ตวนอ๋องเฉินฟาหยาง กระชากคอเสื้อแทบขาด ก่อนเหวี่ยงหมัดที่หนักไม่ต่างจากวันวานกระแทกกับโหนกแก้มเต็มแรง ชั่วพริบตานั้นเองที่หลี่จินหมิงฟื้นคืนสติราวแปดส่วน อีกสองส่วนยังมึนงงเพราะหมัดที่คุ้นเคย แม้ปากอยากถามว่าหาวิธีแก้ไขที่ดีกว่าการใช้กำลังมิได้แล้วหรือ แต่พอเห็นร่างบอบบางสวมเพียงเสื้อตัวในนั่งหันหลังร้องไห้สะอึกสะอื้นกับมารดาอยู่มิไกล เขาจึงเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที
หลี่จินหมิงถูกเจ้าตัวเล็กเล่นงานเสียแล้ว!
หลังจากทบทวนอยู่ชั่วขณะ เขาก็บอกกับตวนอ๋องเฉินฟาหยางว่ามิได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ทั้งยังเรียกร้องให้ตามหมอหลวงมาตรวจดูร่างกาย ทว่าเสียงหัวเราะและคำตอบที่เย็นชากลับทำให้เขาต้องประหลาดใจ
‘ข้ารู้ว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น’
‘แล้วเหตุใดท่านจึงต่อยข้าเล่า!’
‘เพราะเจ้ามันโง่งม! รู้อยู่แก่ใจดีว่านางรู้สึกกับเจ้าเช่นไร นางมากเล่ห์แสนกลมากมายเพียงใด แล้วไยยังไม่รู้จักระมัดระวัง ปล่อยให้ตนเองตกหลุมพรางนางได้อีกเล่า!’
หลี่จินหมิงถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ที่แท้ศิษย์พี่ลงมือเพราะเขามิรู้จักระวังตัว แต่เรื่องนี้จะโทษเขาฝ่ายเดียวได้อยู่หรือ มิใช่ว่าเสวียนหนิงอันนิสัยเจ้าเล่ห์มากแผนการเหมือนบิดาของนางหรอกหรือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว หลี่จินหมิงจึงไม่คิดอีก
ต่อให้มิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วอย่างไร นางเป็นสตรีย่อมมิอาจชิดใกล้กับบุรุษ แม้มั่นใจว่าไม่มีเรื่องเกินเลย แต่เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของเขานั้นไม่เรียบร้อย ตัวนางเองก็ไม่เรียบร้อย
ทว่าทุกอย่างกลับเรียบร้อยสมใจเสวียนหนิงอัน
ตวนอ๋องเหยียดยิ้มไม่น่ามอง กล่าวโทษว่านางกลายเป็นสตรีที่เอาแต่ใจเช่นนี้ก็เพราะในวัยเด็กถูกตามใจมากไป หลี่จินหมิงหลับตาคิดภาพตาม พบว่ามีความเป็นไปได้ว่านางเป็นเช่นนี้เพราะเขาคือตัวต้นเหตุ
หากเขารู้จักดุด่าหรือว่ากล่าวตักเตือนนางบ้าง ยามนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งกังวลเพราะถูกลวงให้ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ
‘ต้องปราบนางให้หายดื้อ แน่นอนว่าเจ้าต้องร่วมมือด้วย’
‘ท่านจะให้ข้าทำเรื่องชั่วช้าอันใดอีก’
ข้อเสนอของตวนอ๋องฟังดูแล้วมิใช่เรื่องลำบาก เพียงต้องทำให้นางตระหนักได้ว่าความรู้สึกที่มีนั้นเป็นเพียงความลุ่มหลงและต้องการเอาชนะ หาใช่ความรักลึกซึ้งแต่อย่างใดไม่ หลี่จินหมิงเห็นด้วยว่าสมควรให้บทเรียนสำคัญแก่นาง จึงยอมทำตามคำขอร้องที่แฝงการบังคับถึงเก้าส่วนของตวนอ๋องอย่างเต็มใจ
เต็มใจอยู่กระมัง?
เขาคิดว่าการกดดันคุณหนูที่มิเคยสัมผัสกับความลำบากมาก่อนให้ยอมแพ้นั้นเป็นเรื่องง่าย จึงยอมลงนามในหนังสือสัญญาของตวนอ๋อง เนื้อความในหนังสือฉบับนั้นสั้นกระชับ มีใจความว่าหากนางเข้าใจความรู้สึกของตนเองแล้วว่ามิได้รักใคร่ในเชิงชู้สาวก็ค่อยอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างชัด
‘เป็นเพราะข้าตามใจนางมากไป…’
‘เรื่องเก่าไม่ต้องพูดแล้ว การแต่งงานในครั้งนี้ให้ถือว่าเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง หากนางตระหนักได้ว่าตนมิได้รักใคร่ไยดีกับเจ้าจริง ยามนั้นค่อยเฉลยทุกอย่างต่อนาง’
‘เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านเลี้ยงดูนางมิเคยให้ลำบาก ย่อมกลั่นแกล้งได้อย่างง่ายดาย’
‘เจ้าอย่าประมาทนางจนเกินไป หนิงเอ๋อร์อยากได้อันใดก็มิเคยพลาด เรียกได้ว่าไม่เคยยอมแพ้ ทั้งยังชอบแสดงละคร กล่าวถ้อยคำบิดเบือนโกหก…’ เขาจำได้ว่าตวนอ๋องเฉินฟาหยางกระแอมเบา ๆ เพราะตนเองก็เคยโกหกมามาก ‘หากเจ้าไม่รักบุตรสาวข้าก็อย่าให้ความหวังนางว่ารักใคร่ ห้ามผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งทั้งทางกายและทางใจ’
‘มากความ ยุ่งยากยิ่งนัก!’
‘ยุ่งยากอย่างไรก็ต้องทำ นั่นหนิงเอ๋อร์นะ หรือว่าเจ้าไม่เอ็นดูนาง ไม่เห็นว่านางเป็นหลานสาวตัวเล็กของเจ้าแล้ว’
เมื่อถูกถามเช่นนี้หลี่จินหมิงก็พูดไม่ออก ใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่รู้ตัว พลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมพิธีปักปิ่น เดิมทีก็ว่าจะไม่ไปแต่พอได้ฟังวาจากระทบกระเทียบขององค์ชายรัชทายาท ว่าเขาเป็นบุรุษที่ไม่รักษาสัญญาที่ว่าจะไปเยี่ยมนางอยู่บ่อย ๆ กอปรกับมีความทุกข์ในใจ ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมพิธีโดยมิได้แจ้งตำหนักเยว่ฉีล่วงหน้า
เพียงแวบแรกที่เห็นเจ้าตัวเล็ก หลี่จินหมิงก็พลันรู้สึกว่าหัวใจห่อเหี่ยวนั้นคล้ายถูกแมวข่วนจนคันยุบยิบ เขาลอบสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียด ใบหน้าของนางอมยิ้มเล็กน้อย ดวงตาหวานซึ้งแฝงความดื้อรั้นไม่ต่างจากบิดาผู้ให้กำเนิด กลีบปากสีดอกเหมยกุ้ยมองดูอวบอิ่มและหวานฉ่ำ จมูกโด่งน่าหยิกรั้นขึ้นเล็กน้อยนั้นเป็นเพียงส่วนเดียวที่คล้ายกับมารดา
หลี่จินหมิงคาดเดาว่าผิวของนางต้องงดงามอย่างมาก เพราะทั้งตวนอ๋องและพระชายาล้วนแต่มีผิวขาว นึกไม่ถึงว่าจะประเมินเรื่องนี้ต่ำไป
เขาชะงักไปชั่วครู่ในยามที่นางยกแขนโบกมือ เผยผิวบริเวณข้อมือและแขนเรียวสวย เอ่ยเรียกชายหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะอายุราวยี่สิบปีที่อยู่ไม่ไกล ทว่าหลี่จินหมิงมิได้สนใจผู้มาใหม่ เขาถูกผิวพรรณงดงามและขาวดุจเรืองแสงได้สะกดเอาไว้ในพริบตา
หลี่จินหมิงชอบสตรีที่มีผิวพรรณดี… แต่กับเสวียนหนิงอันต้องใช้คำว่าผิวพรรณงดงามอย่างมาก
ทว่าเรื่องเหล่านี้สมควรคิดอยู่หรือ นางเป็นหลานสาวของเขามิใช่หรือ ถึงจะไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่ก็เคยอุ้มชูดูแล ถึงจะมิได้เจอกันนานกว่าห้าปี แต่ก็เคยหยอกล้อเอาอกเอาใจ การมองนางอย่างที่บุรุษลอบมองสตรีนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมโดยแท้
หลี่จินหมิงพยายามเตือนสติตนเองอยู่นาน เดินห่างจากนางให้มากที่สุด แต่ทันทีที่ดวงหน้าหวานผินมองมาและยิ้มให้กับเขา ดวงตาสองคู่สบประสานกัน ร่างกายของหลี่จินหมิงก็พลันเครียดแข็ง เลือดในกายสูบฉีดทั่วร่าง รีบสาวเท้าออกจากตำหนักเยว่ฉีและตรงเข้ารักษาความคิดอกุศลกับเหล่าสาวงามในหอหยวนเซียวทันที มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าค่ำคืนอันยาวนานนั้นเขาจินตนาการถึงใบหน้าของสตรีใด
‘ว่าอย่างไร เจ้าไม่เห็นนางเป็นหลานแล้วหรือ!’
‘ย่อมต้องเอ็นดูนางไม่ต่างจากวันวาน เอาเถิด เช่นนั้นก็ลองใช้เหตุผลที่ข้าอ้างกับพวกแม่สื่อดู’
หลี่จินหมิงให้คำตอบว่ายังรู้สึกกับนางเฉกเช่นในวันวาน พร้อมกับเล่าไปด้วยว่าเคยกล่าวความเท็จกับพวกแม่สื่อที่ตามตอแยให้เขาแต่งงานใหม่ว่าต้องการไว้ทุกข์ให้กับภรรยาและบุตรที่มิได้ลืมตามาดูโลกเป็นเวลาสามปี เขาใช้เหตุผลเดียวกันนี้มาต่อรองเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดูสมจริงมากที่สุด
เพื่อปกปิดสถานะและรักษาเกียรติของเสวียนหนิงอันแล้ว หลี่จินหมิงต้องอ้างว่าไม่สามารถจัดพิธีอันใดได้เพราะต้องรักษาเกียรติของตนเอง มิให้ผิดคำกล่าวที่ว่าต้องการไว้ทุกข์สามปีก่อนแต่งภรรยาใหม่เข้าบ้าน
เสวียนหนิงอันจำต้องยอมรับตำแหน่งภรรยาลับ กล่าวว่ายินดีรอจนกว่าเขาจะออกจากการไว้ทุกข์ ซึ่งก็คือในอีกสิบเดือนข้างหน้า ถึงเวลานั้นแล้วค่อยจัดการทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี โดยมิได้รู้เลยว่าเขาคิดใช้ช่วงเวลาสิบเดือนนี้พิสูจน์ว่านางมิได้รัก ทว่าเป็นความลุ่มหลงและอยากเอาชนะเท่านั้นเอง
‘หากข้าทำไม่สำเร็จ พ่ายแพ้ต่อเล่ห์กลของนางเล่า!’
‘เรื่องนี้ย่อมแก้ไขได้ไม่ยาก…’
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางทำราวกับว่าการแต่งคุณหนูที่เอาแต่ใจตนเองอย่างมากมาเป็นภรรยาลับนั้นเป็นเรื่องง่าย ในขณะที่หลี่จินหมิงเองแทบไม่เห็นชัยชนะ ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับความงามที่แสนเย้ายวนด้วยแล้ว อาจเรียกได้ว่าพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังมิเริ่มต้นแผนการเลยเสียด้วยซ้ำ
“เช่นนั้นก็ต้องใจแข็งให้มาก พูดคุยให้น้อย… มองหน้าให้น้อยยิ่งกว่า”
กว่าหลี่จินหมิงจะข่มตาหลับได้ก็ยามเหม่า[2]แล้ว
[1] ยามอิ๋น = ๐๓.๐๐ – ๐๔.๕๙ น.
[2] ยามเหม่า = ๐๕.๐๐ – ๐๖.๕๙ น.