บทที่ 6 เสียใจเกินทน 2

1750 Words
เสวียนหนิงอันขอให้เขาปล่อยนางถึงสามครั้งสามครา ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่มีหนังไม่มีหน้า[1] เขาไม่สนใจคำกระซิบกระซาบของเหล่าสาวใช้ กระทั่งพ่อครัวอย่างติงหรงก็มิได้อยู่ในสายตา นางจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ จนกระทั่งถูกวางบนตั่งไม้ในห้องหนังสือแล้วก็ยังไม่เอ่ยอันใดออกไป คนประเภทนี้เถียงด้วยก็ไม่ชนะ เอาความจริงใจเข้าแลกเปลี่ยนก็ไม่ชนะ แม้ถอดใจไม่อยากพบหน้าแล้ว นางก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงเขาได้อยู่ดี “รออยู่ตรงนี้ก่อน” หลี่จินหมิงรับกล่องยาจากเจียอีที่ตามมาไม่ห่าง ก่อนปิดประตูลงกลอน ป้องกันมิให้ผู้ใดเข้ามารบกวนขณะทำธุระสำคัญ “เจ็บมากหรือไม่” เขาถามขณะหย่อนตัวนั่งข้าง ๆ มือใหญ่เปิดกล่องสำรวจดูว่ามียาอันใดใช้การได้บ้าง “หากพูดว่าไม่เจ็บ ท่านอาจะยอมปล่อยข้ากลับเรือนหรือไม่” “ไม่ปล่อย ต้องทายาให้เรียบร้อยเสียก่อน” “แผลของข้าอยู่บริเวณต้นแขน ควรเรียกเจียอีเข้ามาช่วย…” “แต่ข้ามือเบากว่ามาก หรือว่าหนิงเอ๋อร์…จำไม่ได้แล้ว” หลี่จินหมิงทราบดีว่าคนเจ็บมักดื้อรั้น ยิ่งคนที่เจ็บคือบุตรสาวของ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางที่ไม่เคยมีผู้ใดขัดใจได้ด้วยแล้ว ความดื้อรั้นก็น่าจะอยู่ในระดับที่รับมือยาก นึกไม่ถึงว่านางจะทำเพียงผินหน้ามองไปทางอื่น ก่อนค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างช้า ๆ แต่กระนั้นเนื้อผ้าก็ยังเสียดสีกับแผลจนนางเผลอสูดปากออกมาเบา ๆ “แผลเล็กมาก แต่ไม่แน่ใจว่าลึกหรือไม่” “ขี้ผึ้งอยู่ในตลับทองเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันยังคงไม่หันมามองหน้าคนใจร้าย “ทายาเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะได้กลับเรือนเสียที” “เช่นนั้นก็ทนเจ็บสักนิดเถิด” หลี่จินหมิงปลอบใจสาวงาม ก่อนใช้นิ้วเรียวปาดขี้ผึ้งจากตลับทองและป้ายบนแผลพุพองที่ถูกสะเก็ดไฟอย่างเบามือ แต่กระนั้นนางก็ยังสะดุ้งอยู่ดี เรือนร่างบอบบางไหวสะท้านเพราะขี้ผึ้งที่สัมผัสกับผิวนั้นให้ความรู้สึกเย็นจัดราวกับน้ำแข็ง มือที่รั้งเสื้อให้อยู่เหนือแผลกระตุกเล็กน้อย นางอยากหันไปตัดพ้อต่อว่าเขาสักหลายประโยค ทว่าลมอุ่นร้อนที่เป่าลงมาบนต้นแขนกลับทำให้นางพูดอันใดไม่ออก ใกล้...ใกล้มากเกินไปแล้ว “ขี้ผึ้งที่มีฤทธิ์เย็นขนาดนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าได้มาจากที่ใดหรือ” หลี่จินหมิงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหลังจากเป่าแผลของนาง ทำเอาหัวใจคนฟังเต้นระรัว “ได้มาจากท่านพี่อวิ๋นฝูเจ้าค่ะ ท่านพี่บอกว่าเป็นยาดี มีส่วนผสมของสมุนไพรชั้นเลิศหลายชนิด ช่วยสมานแผลได้ในเจ็ดวัน ไม่ทิ้งร่องรอยให้รำคาญตาเจ้าค่ะ” “ยาจากวังหลวง องค์ชายรัชทายาทคงโปรดเจ้ามากสินะ” หลี่จินหมิงเกลียดน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจของตนยิ่งนัก “เป็นของที่ได้มาในวันปักปิ่นเจ้าค่ะ ตัวท่านพี่อวิ๋นฝูมาไม่ได้แต่ก็ยังส่งของมา มิใช่ว่าตัวมาได้ แต่กลับหนีหน้าไม่ยอมทักทาย” “ที่แท้เจ้าโกรธเรื่องนี้…” หลี่จินหมิงนึกไม่ถึงว่านางจะนำเรื่องนี้มาใส่ใจ “ทายาเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่ควรรบกวนเวลาของท่านอีก” เสวียนหนิงอันตัดบท ไม่ต้องการเปิดเผยความรู้สึกของตนเกินความจำเป็น ส่วนหลี่จินหมิงที่ตระหนักได้แล้วว่าตนมีความผิดก็ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรื่องที่ผลุนผลันออกจากพิธีปักปิ่นของนางก่อนเวลานั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ในยามนั้นสมองของเขาคิดแต่เรื่องอกุศล หากอยู่ต่อคงต้องหลุดเปิดเผยความคิดชั่วร้ายของตนแน่ และในเมื่อการเล่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เขาต้องออกจากตำหนักเยว่ฉีนั้นไม่สามารถทำได้ หลี่จินหมิงจึงตัดสินใจแสร้งทำหูทวนลมและเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างหน้ามิอาย “ขี้ผึ้งนี่ต้องทาบ่อยเพียงใดหรือ” “ก่อนนอนและหลังตื่นนอนเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย ตั้งใจว่าจะกลับเรือน ทว่าข้อเสนอของเขากลับทำให้นางต้องประหลาดใจ “เช่นนั้นข้าจะเป็นคนดูแลแผลเจ้าเอง” “ให้เจียอีดูแล…” เสวียนหนิงอันไม่อยากอยู่ใกล้เขาแล้วจึงรีบปฏิเสธ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเฉไฉไปเรื่องอื่นอีกจนได้ “ข้าหิวแล้ว เจ้าหิวหรือไม่” “นี่ท่าน! เหตุใดจึงเปลี่ยนเรื่องไปมา! ข้าไม่อยากคุยกับท่านแล้ว!” “หนิงเอ๋อร์…” หลี่จินหมิงคว้าแขนข้างที่ไม่เจ็บของนางเอาไว้ ก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม “เจ้าโกรธที่ข้าไม่อยู่รอทักทายในวันปักปิ่น แล้วเหตุใดจึงไม่พูดให้เข้าใจกันตั้งแต่แรกเล่า” หลี่จินหมิงไม่ทราบว่านางเป็นพวกกล้าโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก มีเรื่องอันใดก็เก็บเอาไว้ในใจ น้อยครั้งที่จะกล้าระบายอารมณ์ออกมา ทั้งยังเป็นคนดื้อเงียบ เมื่อเขาถามออกไปเช่นนั้นนางก็หน้าแดงเสียยิ่งกว่าเก่า สายตาก้มมองต่ำ สองมือบีบเข้าหากันแน่น แสดงทีท่าบอกชัดว่าไม่ต้องการพูดอะไร “ข้าไม่ค่อยได้ออกนอกบ้านหลังจากสูญเสียภรรยากับลูก เวลาล้วนหมดไปกับการทำงาน ดูแลกิจการสกุลหลี่ให้เจริญก้าวหน้า แต่วันปักปิ่นของเจ้าข้ารู้สึกว่าสมควรต้องไป” หลี่จินหมิงคิดเช่นนั้นจริง ๆ วันสำคัญของเจ้าตัวเล็กเขาจะไม่ไปได้อย่างไร “แต่พอไปแล้วกลับรู้สึกอึดอัดยามเห็นผู้คนรอบตัวหัวเราะมีความสุข จึงตระหนักได้ว่ายังทำใจมิค่อยได้ และเกรงว่าความเสียใจของตนจะทำให้บรรยากาศในงานย่ำแย่ ข้าจึงมิได้อยู่รอทักทายเจ้า” เรื่องนี้หลี่จินหมิงโกหกอย่างไร้ยางอายเป็นที่สุด เขาพอทำใจได้แล้ว เพียงแต่ใจของเขามันคิดอกุศลมากเกินไปก็เท่านั้น! “เช่นนั้นข้าไม่โกรธท่านเรื่องนี้แล้วก็ได้” เสวียนหนิงอันเห็นใบหน้าเศร้าหมองของเขาก็ใจอ่อนลงถึงหกส่วน “ท่านอาพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าขอตัว” “ไม่โกรธเรื่องนี้แล้วก็ได้… หรือว่ายังมีเรื่องอื่นที่ไม่พอใจ จริงสิ! หลายวันก่อนข้าพูดจาไม่ดี กล่าวหาว่าเจ้าใช้มารยาคิดร้องขอให้ข้าหลับนอนด้วย” หลี่จินหมิงพลันรู้สึกว่าตนหน้าด้านยิ่งนักที่กล่าวเรื่องนี้ออกมาตรง ๆ แต่ความตรงไปตรงมานี้เองที่ทำให้นางอับอายจนใบหูแดงดุจผลผิงกั่ว[2] พวงแก้มน่าสัมผัสนั่นก็เช่นกัน อา… คิดถึงเรื่องอกุศลอีกแล้ว! “เรื่องนี้ข้าผิดจริง แต่เจ้าจะโทษข้าฝ่ายเดียวมิได้ เป็นเจ้าที่วางแผนลวงข้ามาแต่งงานด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม บังคับใจข้าให้รับผิดชอบ…” “หนิงเอ๋อร์ทราบดีว่าทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ยามนั้นหวาดกลัวว่าจะถูกท่านพ่อบังคับให้หมั้นหมายกับบุรุษแปลกหน้า จึงวางแผนน่ารังเกียจเพื่อให้ได้แต่งกับท่าน… ท่านอา เรื่องนี้ข้าไม่ดีเอง ท่านจะดุด่าอย่างไรก็ย่อมได้ ข้ายอมรับได้ทุกอย่าง แต่ขอร้องว่าอย่ากล่าวโทษท่านพ่อได้หรือไม่” เสวียนหนิงอันเงยหน้าสบประสานสายตาสามี ขอบตาของนางแดงก่ำ ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ “หนิงเอ๋อร์… ที่แท้เจ้าไม่พอใจเรื่องนี้” “ไม่ได้ไม่พอใจ แต่เสียใจเกินทน” นางสูดจมูกเพื่อมิให้ตนเองหลุดร้องไห้ “ท่านจะทำไม่ดีกับข้าอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องนี้ท่านพ่อไม่ผิด ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่ข้าทำ ทั้งยังไม่เคยสอนให้ข้าวางแผนร้ายกาจเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ… หนิงเอ๋อร์ขอร้องท่านอา รบกวนไม่กล่าวกระทบกระเทียบบิดาของข้าจะได้หรือไม่” เสวียนหนิงอันอึดอัดกับเรื่องนี้มาหลายวัน พอได้ระบายออกมาก็ถึงกับน้ำเสียงสั่นเครือน่าสงสาร ทำให้คนที่ฟังอยู่รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกบีบรัดจนเลือดออก “หนิงเอ๋อร์อย่าร้องไห้ เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดเอง ที่ผ่านมาเคยพูดจาไม่ดีกับพ่อของเจ้าบ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัย ข้าว่าเขาเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด เขาก็ด่าว่าข้าโง่งมที่หลงกล โต้เถียงกันเช่นนี้จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เจ้าเป็นบุตรสาวฟังแล้วย่อมไม่สบายใจ… หนิงเอ๋อร์ เรื่องนี้ท่านอาของเจ้าขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หนิงเอ๋อร์ไม่เสียใจแล้วได้หรือไม่” หลี่จินหมิงจับสองมือเล็กของภรรยาลับมากุมไว้และเมื่อเห็นว่านางยังไม่ยอมพูด จึงเปลี่ยนไปหยิกแก้มนุ่มทั้งสองข้างด้วยน้ำหนักที่ไม่เบานัก เสวียนหนิงอันถูกกลั่นแกล้งเช่นนั้นก็ถึงกับโวยวายออกมาทั้งน้ำตา “ท่านอา! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าหยิกแก้มข้า!” “เอาเถิด ร้องไห้เพราะโกรธก็ยังดีกว่าร้องไห้เพราะเสียใจ” “เรื่องนี้ข้าโกรธท่านนานแน่!” เสวียนหนิงอันผลักอกเขาเต็มแรง ก่อนวิ่งหนีออกจากเรือนใหญ่ทั้งน้ำตา ทิ้งให้บุรุษที่บอกกับตนเองว่าจะฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน ทำให้นางตัดใจจากเขาให้ได้ ยืนหัวเราะเยาะตนเองตามลำพัง หลี่จินหมิงมิเข้าใจว่าเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร [1] หน้าไม่อาย หน้าด้าน [2] แอปเปิล
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD