เขาตกใจอย่างที่สุด มันเกี่ยวกับชื่อเสียงและความมั่นคงในฐานะรัฐมนตรีของเขาด้วย จะมีใครเบื้องลึกรู้ไหมว่า เขากลายเป็นรัฐมนตรีถังแตกที่เงินเดือนแต่ละเดือนของรัฐมนตรี พอออกมาต้องใช้หนี้มากมาย หนี้จากการก่อของภรรยาและลูกสาวสุดที่รักของเขาสองนาง
"ทำไมคะ คุณพี่ดูเครียด" ภรรยาเอ่ยถามเขาเพราะเห็นสีหน้าชัดเจน
"คุณก็ดูนี่สิ คราวนี้แม่ใหญ่เอาจริงแน่ ผมคงเลี่ยงไม่ได้"
พอเอ่ยถึงแม่ใหญ่ นางรู้ทันทีว่าเป็นใคร
"อีกแล้วหรือคะ ไหนว่าหายไปแล้วนี่"
"หายไป นานแล้วก็จริง แต่นี่ส่งมาอีกแถมยื่นโนติส ว่า ถ้าไม่ชดใช้จะขอให้เอาอย่างอื่นชดใช้แทน คือ ลูกสาวของเรา"
"ต๊าย ตายแล้ว นี่มันรุนแรงขนาดนี้เลยหรือคะ" ภรรยาของเขานางเต้นแร้งเต้นกาขึ้นมาทันทีเมื่อทราบเรื่อง
"คนแก่ขี้งกแบบนั้น จะเอาลูกสาวเรา เอาไปทำไมคะ"
"เอาไปเลี้ยงควาย" พอได้ยินเสียงภรรยาของเขาก็เต้นแร้งเต้นกากรีดร้องหนักกว่าเดิม
"กรี๊ด ทำไมทำกันแบบนี้คะ สิ้นศักดิ์ศรีไปหมด คิดว่าเราตกต่ำขนาดนั้นหรือนั่นเท่ากับขายศักดิ์ศรีเชียวนะคะ คนบ้านนอกแบบนั้น จะมีอะไรทัดเทียมสูสีกับเรา" นางเอ่ยอีกด้วยความเย่อหยิ่ง
จนแผนต้องถอนหายใจเพราะเขาคิดหาทางอื่นไม่ได้แล้ว ในเวลานี้เขาตันความคิดหมดแล้ว มองหน้าภรรยาคู่ทุกข์อย่างเครียด
"ไม่ยอมก็ต้องยอม คุณจะเอาเงินที่ไหนล่ะ ทุกเดือนมีแต่จ่ายหนี้สินของคุณ บัตรเครดิต หนีของคุณที่ยืมเพื่อน ของธนาคารอีกล่ะ"
นางพอจะรู้ลำพังเงินเดือนของสามีมากโขแต่ไม่พอใช้ เพราะหนี้สินที่พอกพูน
"นี่เราต้องยอมหรือคะ"
"ก็ต้องยอมนะสิ เราคงต้องกลับต่างจังหวัดอีกครั้ง"
นางตกใจอีกครั้งในคำพูดที่สามีเอ่ย
"แล้วลูกสาวเราล่ะคะ"
"ก็ให้ไปด้วย ใครคนใดคนหนึ่ง"
"ยายริดา ลูกสาวคนโตของเราก็ทำงานแล้ว ส่วนยายเล็ก ก็ยังเรียนไม่จบมหาลัย"
"มีอะไรหรือคะคุณพ่อคุณแม่" ลูกสาวคนเล็กของเขาเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัย แผนรีบเก็บจดหมายใส่ซองเอกสารทันที ทำสีหน้ากลบเกลื่อน และหันไปทางอื่น ส่วนภรรยาของเขานั้นหันไปยิ้มกับลูกสาวด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
"ไม่มีอะไรหรอกลูก"
"หนูได้ยินคุณพ่อคุณแม่เถียงกันดังลั่นเลย ต้องมีอะไรอย่างแน่นอนค่ะ" เธอไม่ยอมเชื่อ จนกระทั่งหันไปถามเอากับบิดา
"คุณพ่อเกิดอะไรขึ้นคะ"
นายแผนทำสีหน้าไม่ถูกเขานิ่งแต่ท่าทางเลิกลัก จะอ้าปากตอบก็ทำไม่ได้ ภรรยาของเขาจึงเอ่ยก่อน
"หนูมาถึงแล้วรีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำเถอะลูก เรื่องนี้พ่อกับแม่ขอคุยกันก่อน"
"คุยกันเรื่องอะไรคะ"
"เรื่องเอ้อ ที่เราจะต้องกลับไปที่สุรินทร์"
ชื่อนี้ทำให้เธอลืมไปนานแล้ว ลืมไปด้วยซ้ำว่าพ่อของเธอถือกำเนิดที่นี่ อีกทั้งบิดาบังเกิดเกล้าไม่เคยพาไปเหยียบย่างสักนิด แต่ว่าท่านเคยไป
"ทำไมต้องไปคะ"
"มีเรื่องสำคัญน่ะลูก"
"ไปกันหมดเลยใช่ไหมคะ แล้ว พี่ริดาล่ะ เอ้อ แต่ขอบอกก่อนนะคะ คุณแม่ หนูไปไม่ได้ มีเรียน และใกล้จะสอบแล้ว"
เมื่อลูกสาวคนเล็กพูดแบบนี้ นางจึงถอนใจ
"ถ้าหนูไม่สะดวกไป ก็ให้พี่เขาไป"
"ค่ะ พี่ริดายิ่งบ่นๆอยู่ด้วยถึงเรื่องที่ทำงาน จนไม่อยากทำแล้วค่ะ ถูกจับผิดหาเรื่อง"
นี่ก็คือปัญหาที่เธอรับทราบด้วย ลูกสาวคนโตได้งานทำในบริษัทแล้ว แต่ก็เหมือนกับถูกหัวหน้างานกลั่นแกล้งเพราะไม่ชอบหน้า ลูกสาวก็นำเรื่องนี้มาบ่นให้ฟังเช่นกันเธอได้แต่ปลอบใจ จนกระทั่งธาริดาพูดกับเธอว่า
"หนูอยู่ไม่ไหวแล้วคะแม่ ไม่อยากทำงานเลย"
ด้วยฐานะทางครอบครัวที่ตอนนี้เธอรู้ว่าลำบากไปหมด แม้สามีจะเป็นรัฐมนตรีมีชื่อเสียงแต่เงินในแต่ละเดือนที่โอนเข้าบัญชีธนาคารต้องจ่ายหนี้ จนบ้านหลังนี้ไม่มีความสุข กองด้วยความทุกข์เหมือนคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนอยู่ในบ้าน นางเองก็รู้ว่ามันเกิดจากนางที่ใช้เงินมือเติบ และนายแผนเองก็ตามใจภรรยาและลูก จนหนี้สินมันพอกพูนมากมายขนาดนี้
"อย่าเพิ่งออกจากงานเลยลูก" เมื่อมารดาพูดแบบนี้ ธาริดาได้แต่นั่งซึมและเศร้าเพราะรู้ในสิ่งที่ครอบครัวพบเจอ เธอเองก็มีคนรัก ที่เพิ่งเลิกราจากกันเมื่อสามเดือนกว่า ซึ่งเขาช่วยเหลือเธอไม่ได้เช่นกัน จนต้องพึ่งพาตัวเอง
ลูกสาวคนโตของท่านรัฐมนตรีแผนคือฉัน เมื่อฉันกลับเข้ามาในบ้านเวลานี้ด้วยจิตใจที่ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องในที่ทำงานตามเคย ทำไมถึงถูกเพ่งเล็งบ่อย ฉันไม่ถูกกับหัวหน้าแผนก พยายามปรับจูนแล้วรู้สึกว่าเป็นชะตาที่ไม่ต้องกันมากกว่า แล้วยังจะมีฝ่ายบุคคลที่เป็นญาติของหัวหน้าแผนกอีกซึ่งให้คุณให้โทษแก่ฉันมาก ฉันไม่สบายใจและรู้สึกว่าการงานจะไม่ราบรื่น และต้องมีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นอีกมากมายแน่ ถ้าฝ่ายนั้นพยายามหาเรื่อง
ฉันต้องมานั่งเศร้าอยู่ในห้อง ไม่มีใครเข้าใจฉันหรอก แม้แต่แม่ของฉันเหมือนกัน แม้จะทราบถึงฐานะทางบ้านที่มันไม่สุขสบายเหมือเดิมแล้ว การเงินของพ่อแม่เริ่มติดขัด พ่อที่ทำงานระดับสูงเป็นถึงรัฐมนตรีในหน้าฉากที่ทุกคนรู้ว่ามีเงินเดือนหลักหกนั้น ก็อันตรธานหายไปเพราะติดหนี้สินรุงรังทั้งธนาคาร ฉันเองก็ไม่ต่างจากช่วยทำงานเพื่อครอบครัว น้องสาวคนเล็กที่แทบไม่รู้อะไรเลย นอกจากเรียนและเที่ยวเล่นกับเพื่อน
"เร็วๆนี้แม่จะไปต่างจังหวัดพ่อด้วยอยากให้ลูกไปด้วยริดา"
"หนูขอคิดดูก่อน แล้วยายนุชล่ะคะ"
พอฉันถามถึงน้องสาวคนเล็กแม่กลับไม่ตอบ
"แล้ว พ่อวิรัตน์ล่ะ เป็นไงบ้าง"
"หนูกับเขาเลิกคบกันแล้วนี่คะแม่" ฉันยืนยันคำนี้อีกครั้งเมื่อแม่คาดคั้นจะถามถึงวิรัตน์ พอเขารู้ฐานะที่แท้จริงของครอบครัวฉันเขาก็ปลิวหนีหายไม่มาอีกเลย แม้แต่ความรักก็ตาม ฉันรู้ดีอยู่หรอกเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของคนในครอบครัวเขาทั้งหมดจึงกางกั้นและตัดสัมพันธ์ระหว่างฉันกับวิรัตน์
ช่างเถอะจะว่าไปฉันก็ไม่ได้รักวิรัตน์มากสักเท่าใด แค่อารมณ์ของวัยรุ่นที่อยากมีแฟน พอมีแล้วแต่เมื่อวันหนึ่งมันกลับไม่ใช่ อีกอย่างความไม่ซื่อตรงคือการที่วิรัตน์ใจโลเล ดังนั้นฉันจึงไม่สนใจเขา แม้เมื่อวิรัตน์บอกเลิกมันก็เป็นเรื่องที่ง่ายดาย เพราะฉันอยากให้เขาเลือกแบบนั้น การตัดสินใจของเขาดีแล้ว แม้จะเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็แค่มดกัด ฉันไม่ได้อาลัยฟูมฟายมากขนาดนั้น
"แม่จะะพูดถึงวิรัตน์ไปทำไมคะ เขาช่วยพวกเราไม่ได้หรอก ยิ่งเห็นสภาพเราแบบนี้แล้ว"
"ไหนว่ารักแกจริงล่ะ ยายดา"
"รักจริงแต่ก็แพ้เงินอยู่ดีค่ะ เราไม่มีเงินอวดร่ำอวดรวยเหมือนแต่ก่อนแล้วเรากำลังจะถังแตกค่ะคุณแม่ ใครๆก็รับรู้เรื่องนี้ จนไปถึงหูพ่อแม่ของเขา" ฉันเองไม่เก็บออมหรือเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ต้องพูดความจริงออกมา จนแม่ของดิฉันคุณพิมาลาอุทานออกมา
"ว้าย ตาเถร รู้กันหมดเลยรึ"
"จะปิดบังเรื่องนี้ได้ไงคะ ในเมื่อตอนนี้ก็แทบจะรู้จนทั่วตรอกซอกซอย"
"โอ้ย" คุณพิมาลายั้งคำพูดลูกสาวไว้
"แกก็พูดไม่ไว้หน้าแม่เลย หน้าน่ะมีความอายบ้างมั้ยที่พูดออกมา"