"อายนะสิคะ แม่ถึงได้พูดออกมา ก็มันเป็นความจริงที่คนเขารู้ทั่ว จะมัวปิดบังใครไม่ได้แล้ว"
ฉันก็ตอบกลับมาอีก อาจจะเป็นคำที่ดูรุนแรง ฉันก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ อะไรที่ไม่ถูกต้อง อะไรที่ควรพูด
"งั้นพอเถอะ แกจะไปไหนก็ไป" คุณพิมาลาเหมือนไล่ลูกสาวคนโต ฉันอยากจะไปให้ไกลจากน้ำเสียงของคุณแม่เหมือนกัน ที่หมู่นี้ท่านหงุดหงิดง่าย เรื่องหนี้สินที่พะรุงพะรัง ทำให้คนบ้านนี้ไม่ค่อยมีความสุข หน้าชื่นอกตรม เหมือนต้องอยู่แบบแสร้งยิ้มแย้มทั้งๆที่ด้านในขมขื่น ฉันอีกคนล่ะที่เสแสร้งไม่เป็น ต้องมารับรู้กับความจริง
ดังนั้นคุณพิมาลาจึงเดินไปที่ห้องของลูกสาวคนเล็ก
"ยายนุช เปิดประตูให้แม่ที" ญดานุชกำลังฟังเสียงเพลงจากบลูทูปราคาแพงแบบเสียบ เลยต้องถอดออกหลังจากที่เปิดประตูให้มารดา
"แกทำอะไรอยู่"
"ฟังเพลงนะสิคะ แม่กำลังสนุกๆอยู่เลย แม่ก็เข้ามา" ญดานุชพูดเหมือนบ่น
"แล้วนี่ เอ้อ แม่จะถามว่า หนูจะไปต่างจังหวัดกับพ่อแม่ได้มั๊ย เอ้อ มีธุระจำเป็นน่ะ"
คำว่าธุระจำเป็นคุณพิมาลายังปิดบังลูกสาวเอาไว้
"ช่วงนี้ไม่ดีค่ะ หนูมีเรียนหนักและจะสอบแล้ว ให้พี่ดาไปเถอะ พี่ดาบ่นว่าเบื่องาน อยากลาออกจากงานก็ให้พี่ดาไปเปิดหูเปิดตาแทนเถอะค่ะแม่ ถ้าไปกันแล้วหนูอยู่กับสายบัว กับป้าสำอางได้" ญดานุชลูกสาวคนเล็กพูดแบบนั้น ทำให้นางพิมาลาเข้าใจทันที ถึงการปฏิเสธ และสิ่งสำคัญคือลูกสาวจะต้องสอบ จึงถอนหายใจและเข้าใจ
ผลการตอบรับตอบกับมาว่าแล้วทางกรุงเทพฯจะเดินทางมาในไม่ช้านี้ ตามจดหมายที่ระบุ แล้วทำไมไม่โทรมือถือมาบอก ทั้งๆที่สำนักงานทนายความของเขาใส่เบอร์มือถือลงไปด้วยและเบอร์ของแม่ใหญ่ทั้งสองเบอร์ แต่ทางฝ่ายนั้นรัฐมนตรีแผนก็ไม่คิดโทรมาแต่ใช้จดหมายส่งมาแทน ทำให้ลัคสิทธิ์ได้คาดการอะไรหลายอย่างสำหรับคนเป็นลูกหนี้ย่อมต้องกลัวการถูกทวงหนี้มากที่สุดแบบโทรจิก
ไม่แปลกที่อาแผนจะต้องทำแบบนี้ แล้วคงได้เจอกันล่ะ
"แม่ใหญ่ดีใจเหลือเกิน ลัค ในที่สุดก็ทำสำเร็จ เขาระบุวันแล้วใช่มั๊ยว่าจะเดินทางมากัน" แม่ใหญ่สาทิน ในอดีต และนางมาเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ดูสดใสไฉไลว่า มธุรส เพราะนางไม่อยากแก่ แต่ว่าคนทั่วไปกลับติดชินกับชื่อ นางสาทินมากกว่า ก็ยังเรียกชื่อนี้ติดปาก ส่วนชื่อจริงของนางนั้น ใช้ในการเซ้นเอกสารและธุรกรรมต่างๆกับธนาคาร
"เรายังดีใจไม่ได้หรอกครับ แม่ใหญ่ ยังไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือเปล่า"
"ต้องมาอย่างแน่นอน แม่ใหญ่เชื่ออย่างนั้น" นางมั่นใจว่าแผนกับครอบครัวจะต้องเดินทางมาแน่
"แล้วหักดิบกันเลยเหรอครับ ในการที่จะให้ลัคเอ้อ หมั้นแล้วก็แต่ง" เขาอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องของตัวเอง เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับตัวเขา และแม่ใหญ่ของเขาท่านเป็นคนจัดการและบงการขึ้นมาทั้งหมด
"ลัค หลานก็ฉลาด จัดการด้วยวิธีของหลาน แม่ใหญ่รู้ว่าลัคทำได้"
เมื่อแม่ใหญ่พูดแบบนี้ ลัคเกาหัวของตัวเองนิดหนึ่งทำท่าคิด ก่อนจะตอบ
"งั้นผมจะจัดการแบบวิธีผมเอง"
"เถอะ ทำไป หาทางดัดนิสัยแม่คนกรุงด้วยก็ได้ คงจะเหมือนพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อาจจะรังเกียจเหม็นสาบคนจนอย่างพวกเราเหมือนแม่ผู้ดีในละคร"
คุณย่าก็พูดไปไกลขนาดนั้น ลัคได้แต่หัวเราะและพยักหน้าเรื่องของเรื่อง เขาไม่เคยเห็นลูกสาวน้าแผนมาก่อน แต่ว่านานแล้วนั้น แม่ใหญ่บอกว่าครอบครัวอาแผนเคยมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง ตอนที่ลูกสาวคนโตยังเล็กไม่ประสา แต่เด็กชายลัคสิทธิ์ในเวลานั้นเรียนอยู่ชั้นประถมสามเขาจึงจดจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้ โตขึ้นไม่รู้ว่าเด็กทารกหน้าตาน่ารักคนนั้นที่อาแผนอุ้มมาให้แม่ใหญ่ดูจะเป็นยังไงบ้าง
ที่แน่ๆแม่สาวกรุงคงลืมสิ้นล่ะ เพราะยังเด็กมากจนจำความอะไรไม่ได้เลย แต่ลัคสิทธิ์กลับจำแม่นนั่นเพราะอะไร
"ถ้ามาอยู่ที่นี่จริง คงต้องเรียนรู้วัฒนธรรมคนบ้านนอกของพวกเราอีกนานครับ"
"ย่าต้องการไง ฝึกหัดให้แม่สาวผู้ดีจากเมืองกรุงเป็นอีสาวบ้านนอกธรรมดาเดินดินกินข้าวแกง" นางสาทินหรือ นาง มธุรสในปัจจุบันหมายมั่นในความคิด
"แล้วถ้าเขาไม่ยอมล่ะครับ อาจจะฝึกยากล่ะครับเหมือนไม้โตคงดัดยากหน่อย"
"ลัคก็ช่วยแม่ใหญ่สิลูก คนนี้ แม่ใหญ่ยกให้ลัค" เขาหัวเราะหึๆในลำคอ ยกให้อยู่แล้วเพราะเขาจะต้องเป็นเจ้าบ่าวของหล่อนเหมือนว่าลูกสาวอาแผนกลายเป็นสมบัติของเขาไปแล้ว
"ถ้าพยศนัก ลัคของย่า ปราบอยู่หมัดแน่"
"ครับ ถ้าเธอพยศด้วย ก็เป็นมวยสูสีกัน"
พูดกันคราวนี้ชักอลวนจนน้ำหมากกระจายผู้สูงวัยไม่อยากคาดคิดมาก เรื่องของหนุ่มสาววัยรุ่น
"จะอย่างไรก็ตามเถอะ ถ้าอยู่กันแล้ว แม่ใหญ่คิดว่า คงต้องรักกันเอง หลายคู่มักจะเป็นแบบนี้ คนไม่รักกันตัวดีนัก พอมาอยู่ด้วยกันมีลูกหัวปีท้ายปีดกยังกะแม่ไก่อูไข่"
ลัคสิทธิ์ไม่ตอบท่านแต่ก็ลองคาดเดาหากว่ามีภาพแบบนั้นเกิดขึ้นกับตัวเขาเองจะรู้สึกอย่างไร ก็ยิ้มแก้มปริเพราะนั่นคือครอบครัวสุขสันต์ แต่ว่าชีวิตจริงมันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ต้องรอดูในอนาคต
"แม่ใหญ่ต้องการให้เธอช่วยเลี้ยงควายจริงหรือครับ"
"ใช่สิลูกจะได้รู้รสชาติความลำบากนั้นเป็นเช่นไร พ่อแผน พ่อของนางเองก็เคยเลี้ยงมาแล้วเกิดมาเป็นคนจนต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ใช่ว่าจะอยู่สุขสบาย ที่แม่ใหญ่มีทุกสิ่งได้อย่างในเวลานี้สมความปรารถนาเพราะความขยันเพระาการเอาใจใส่ไม่เคยหยุดว่าง"
ลัคสิทธิ์รับฟังคำของแม่ใหญ่อย่างเงียบ ด้วยแนวคิดและคำตอบอยู่ในหัวสมอง หัวสมองของแม่ใหญ่ท่านช่างบรรเจิดจ้านัก สมกับเป็นหญิงเหล็กแห่งบ้านทุ่งจอม แต่นั่นคือเหตุผลที่นางมธุรสหรือสาทินบอกกับหลานชาย
"จะเป็นหลานสะใภ้ย่า มันต้องอดทน และแข็งแกร่งเหมือนย่า" คือคำที่นางมธุรสเอ่ย ก่อนที่ลัคสิทธิ์จะขอตัวไปทำธุระต่อของเขาคือขับรถเข้าไปในตัวจังหวัดที่สำนักงานทนายความของเขา ระยะทางเพียงแค่ 25กิโลไม่ไกลนัก ขับรถไม่ถึงสิบห้านาที หลังจากที่งานเลี้ยงควายที่เขาเข้ามาดูแลตรงนี้ด้วย คุณย่าหรือแม่ใหญ่มอบหน้าที่นี้ให้เขาดูแล
เป็นอาชีพหรือการทำงานที่ลัคสิทธิ์คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก เขาสนุกอยู่กับการเลี้ยงควาย และชอบธรรมชาติของที่นี่ ฉะนั้นผู้หญิงที่จะต้องมาเป็นเมีย และเป็นแม่ของลูกเขาจะต้องช่วยเลี้ยงควายด้วย เพราะนี่คืออาชีพหรือธุรกิจของครอบครัวแต่ไหนแต่ไรมาบุกเบิกโดยแม่ใหญ่ของทุกคน เด็กเลี้ยงควายหรือคนงานที่นี่รู้จักเขาทุกคน
เคารพและเกรงใจในฐานะหลานชายของเจ้าของบ้านและเจ้าของกิจการ แต่ลััคสิทธิ์มักทำตัวเรียบง่ายกลมกลืนเข้ากับคนที่นี่ เพราะรู้จักกันไปมาหาสู่ เรียกคนเหล่านี้ว่าเป็นน้องๆหลานๆเขาได้สบายโดยเฉพาะน้องนักเรียนชายหญิงที่เข้ามารับจ้างเลี้ยงควายกับย่าหรือแม่ใหญ่ของเขาในวันหยุด เด็กพวกนี้ก็จะมีรายได้เป็นค่าขนมวันละ ห้าสิบบาท ก็ถือว่าช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวไป