ห้องประชุมใหญ่ของบริษัทเวสต์ฟิลด์ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโต๊ะไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ที่นั่งรอบโต๊ะถูกจัดวางอย่างพิถีพิถันสำหรับผู้ถือหุ้นและผู้บริหารระดับสูง หน้าต่างกระจกบานใหญ่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ในมุมสูง แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องเข้ามาผ่านกระจกทำให้บรรยากาศภายในดูสดใส แต่ความตึงเครียดในห้องประชุมกลับทำให้บรรยากาศนั้นขมุกขมัวและเคร่งขรึมยิ่งขึ้น
ที่หัวโต๊ะมีป้ายชื่อของ "เอริค เวสต์ฟิลด์" วางอยู่ เขานั่งอยู่ในตำแหน่งซีอีโอคนใหม่ของบริษัท
ท่าทางของเขาสุขุมและแฝงไปด้วยความเย็นชา ลูคัสนั่งอยู่ข้าง ๆ
เอริค สายตาเขามุ่งมั่นและเข้มงวดขณะมองตรงไปยังผู้บริหารที่กำลังรายงานสถานการณ์ปัจจุบันและแผนการขยายธุรกิจในอนาคต
เสียงของผู้บริหารคนหนึ่งดังขึ้น
“การขยายตลาดไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของเราในระยะยาว แต่ต้องมีการลงทุนที่สูงและมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา”
เอริคนั่งฟังด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
แต่ลึก ๆ ในใจของเขา ความเครียดและความกังวลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น เขาหันสายตาไปมองที่มุมห้อง และทันทีที่เห็น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เอวานั่งอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ เธอมีแฟ้มเอกสารวางอยู่ แต่เธอกลับไม่สนใจที่จะเปิดมันเลย เธอจ้องมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยสายตาที่ดูสับสนและไม่เข้าใจ บางครั้งสายตาของเธอก็มองออกไปที่ทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ราวกับว่าการประชุมที่กำลังดำเนินอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เธอให้ความสำคัญเลย
เอริคเบือนหน้ากลับมามองเอกสารของเขา ก่อนจะกระซิบเบา ๆ กับลูคัสที่นั่งข้าง ๆ
"ยัยเด็กนั่นมานั่งทำไมวะ? เหมือนมางานวัดงี้"
ลูคัสหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับ
"เธอก็แค่ต้องการมาแสดงตัวว่าเป็นผู้ถือหุ้นนะ มึงก็อย่าไปดุเธอเลย"
เอริคทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ
“ถ้าจะมานั่งทำตัวไร้สาระแบบนี้ ก็ไม่ต้องมาก็ได้”
ลูคัสยิ้มขำ รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความขี้เล่น
“เอริค มึงมันใจร้ายจริง ๆ นะ เอวาไม่เคยทำอะไรผิดกับมึงเลยนี่หว่า ทำไมต้องเกลียดเธอขนาดนั้นด้วยวะ?”
เอริคหันมองไปที่เอวาอีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและอารมณ์ที่เขาเก็บซ่อนไว้
“พ่อแม่รักยัยเด็กนั่นมากเกินไป จนมันทำให้กูไม่อยากจะมองหน้าเธอเลยสักนิด”
ลูคัสถอนหายใจเบา ๆ แต่ยังคงยิ้มอยู่
“เออ ๆ กูรู้ แต่จะให้ทำไงได้วะ เอวาเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเวสต์ฟิลด์ไง ในฐานะลูกบุญธรรม”
เอริคสบตาลูคัสด้วยสายตาที่คมชัดและดุดัน
“ไม่ต้องมาทำตัวเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้หรอก ยัยเด็กนั่นคิดว่าทำตัวเป็นลูกกตัญญูแล้วมันจะทำให้กูลืมทุกอย่างได้เหรอ?”
ลูคัสยกมือขึ้นเป็นเชิงหยุด “ใจเย็น ๆ มึง กูแค่พูดเล่นเฉย ๆ นะเว้ย มึงอย่าจริงจังไปเลย”
บรรยากาศในห้องประชุมยังคงตึงเครียด
ผู้บริหารคนอื่น ๆ กำลังอภิปรายเกี่ยวกับแผนการขยายตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทั้งผู้ที่สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างเต็มที่ และบางคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
“ผมเห็นด้วยกับแผนการขยายตลาด แต่เราต้องมีการวางแผนที่รอบคอบและการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ดีกว่านี้”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากผู้ถือหุ้นอาวุโสท่านหนึ่ง
เอริคมองไปที่ผู้พูดด้วยสายตาที่เย็นชา เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงที่สุขุม
“ผมเข้าใจความกังวลของท่าน แต่ผมเชื่อว่าเรามีศักยภาพที่จะขยายตลาดได้ เราต้องกล้าที่จะเสี่ยงเพื่ออนาคตของบริษัท”
ขณะที่เขาพูด สายตาของเขาหันกลับไปที่เอวาอีกครั้ง เธอยังคงนั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสนทนาใด ๆ ใบหน้าของเธอดูไร้ความมั่นใจและสับสน เอริคอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
ลูคัสสังเกตเห็นสายตาของเพื่อนและยิ้มออกมาเล็กน้อย
“มึงอย่ามัวแต่จ้องจับผิดเอวาเลยว่ะ เอริค มึงต้องมีสมาธิกับการประชุม”
เอริคหันกลับมามองลูคัส
“กูมีสมาธิอยู่แล้ว แต่ยัยเด็กนั่นมานั่งทำหน้าไม่รู้เรื่องเลยในที่ประชุม มึงก็เห็น”
ลูคัสหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เอาน่า มึงก็อย่าไปซีเรียสกับน้องเขามากเลย ยังไงเขาก็เป็นผู้ถือหุ้นเหมือนกัน มันต้องมีสิทธิ์เข้าประชุม”
เอริคถอนหายใจ หันกลับมามองผู้ถือหุ้นที่กำลังพูดอยู่ แต่ในใจเขายังคงมีความคิดขัดแย้งกันไปมา การประชุมยังคงดำเนินต่อไปด้วยความเข้มข้น และดูเหมือนว่าความขัดแย้งในใจของเอริคจะไม่หายไปง่าย ๆ
เสียงของผู้ถือหุ้นบางคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดังขึ้น
“ผมไม่มั่นใจว่าแผนนี้จะประสบความสำเร็จ มันมีความเสี่ยงมากเกินไป”
เอริคหยุดคิดไปชั่วขณะก่อนที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและหนักแน่น
“ผมเข้าใจถึงความกังวลของท่าน แต่เราไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าเราอยากเติบโตและแข่งขันในตลาดโลก เราต้องกล้าก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของเรา”
ขณะที่เขาพูด เขารู้สึกได้ว่าทุกสายตากำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความสนใจและคาดหวัง เขารู้ดีว่าตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่ต้องแสดงความเป็นผู้นำ และเขาจะไม่ปล่อยให้ความอ่อนแอทางอารมณ์มาขัดขวางการตัดสินใจของเขา
เมื่อการประชุมดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง เอริคเริ่มสังเกตเห็นว่ามีความเงียบเกิดขึ้นในห้อง เขาหันกลับมามองทุกคน
“ถ้าไม่มีใครมีคำถามหรือความคิดเห็นเพิ่มเติม ผมคิดว่าเราควรปิดการประชุมในวันนี้”
ลูคัสยิ้มและพยักหน้าเบา ๆ
“เป็นการประชุมที่ดีนะเว้ย แม้ว่ามึงจะดูเครียดไปหน่อย”
เอริคถอนหายใจและยิ้มเยาะ
“กูก็แค่ทำหน้าที่ของกู ถ้ามึงคิดว่ามันเครียดก็เรื่องของมึง แต่กูต้องทำให้ดีที่สุด”
“เออ ๆ กูเข้าใจ”
ลูคัสหัวเราะ
“แต่มึงก็น่าจะผ่อนคลายบ้างนะเว้ย อย่างน้อยก็เวลาที่นั่งคุยกับกู”
เอริคยิ้มมุมปาก แต่ก็ยังคงความเย็นชา
“กูไม่ต้องการผ่อนคลาย กูต้องการแค่ให้ทุกอย่างเรียบร้อย”
การประชุมจบลงด้วยความเข้มข้น ทุกคนเริ่มลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกจากห้องประชุม เอริคยืนขึ้นพร้อมกับลูคัส เขามองไปยังเอวาที่กำลังเก็บของและเตรียมตัวเดินออกไปจากห้อง
“เธอจะทำอะไรก็เชิญเถอะ”
เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ แต่ในใจรู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับเอวาจะยังไม่จบเพียงแค่นี้
ลูคัสยิ้มและตบไหล่เพื่อน
“ไปเหอะมึง วันนี้มึงเหนื่อยแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
เอริคพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
“เออ... ไปเหอะ”