ตอนที่ 2 ถึงเวลาเผชิญหน้า

1406 Words
ระหว่างที่เอริคกำลังนั่งรถสปอร์ตกลับคอนโดในย่านทองหล่อพร้อมกับลูคัส เพื่อนสนิทของเขา ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศภายในรถ เครื่องยนต์ของรถที่ดังก้องออกไปบนถนนก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนความคิดที่ก้องอยู่ในหัวของเอริคได้ ลูคัสพยายามจะชวนคุยเบา ๆ แต่ก็รู้สึกได้ว่าจิตใจของเอริคอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก "มึงโอเคไหม? " ลูคัสถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใย เอริคพยักหน้าเบา ๆ แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ถนนข้างหน้า "กูโอเค..." เขาตอบ แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความวุ่นวายที่เกาะกุมหัวใจของเขา ความคิดของเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารชั้นเฟิร์สคลาสของเครื่องบินขณะที่กำลังเดินทางกลับมากรุงเทพฯ เขามองออกไปยังท้องฟ้าที่ฉาบด้วยแสงสีทองยามพระอาทิตย์ตก รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบของหัวใจที่กลับมาเต้นแรงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ขณะนั้น เสียงเครื่องบินที่กำลังลดระดับลงสู่สนามบินสุวรรณภูมิทำให้ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่เขา คำพูดหนึ่งดังขึ้นในความคิดของเขา ราวกับเป็นเสียงของใครบางคนที่คุ้นเคย ‘ในที่สุด ไม่มีใครหนีพ้นจากอดีตได้... มันจะตามคุณไปทุกที่ ไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหนก็ตาม’ เอริคพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อหาความสงบ แต่กลับยิ่งทำให้ความจริงที่เขาพยายามหนีกลับมาชัดเจนยิ่งขึ้น "16 ปี..." เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ความคิดของเขาย้อนกลับไปหาวันนั้น วันที่เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่คุ้นเคย หวังว่ามันจะช่วยลบล้างความทรงจำที่เจ็บปวด แต่วันนี้เขากลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง กับความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ภาพที่เห็นกลับถูกบดบังด้วยความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ เอริคถอนหายใจเบา ๆ เสียงลมหายใจของเขาแทบไม่ได้ยิน แต่กลับมีความหมายที่ชัดเจนสำหรับตัวเขาเอง คำพูดหนึ่งดังขึ้นในความคิด ขณะที่เขานึกถึงตอนที่เครื่องบินกำลังลดระดับลงสู่กรุงเทพฯ "บางที... คงถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับมันแล้ว" เขาคิดในใจ ขณะที่เครื่องบินลดระดับลงสู่สนามบินสุวรรณภูมิ เสียงความคิดนั้นดังชัดเจนในความเงียบ ลูคัสขับรถไปโดยไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเอริคต้องการพื้นที่ส่วนตัว แต่ก็ไม่อาจห้ามใจได้ "ถ้าจะคุยกันเมื่อไหร่บอกได้นะ มึงรู้ว่ากูอยู่ตรงนี้เสมอ" เอริคหันมองไปทางลูคัสเล็กน้อย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความขอบคุณ แต่ก็ยังมีความห่างเหินแฝงอยู่ "ขอบใจว่ะ" รถเคลื่อนตัวเข้าสู่ที่จอดรถของคอนโดหรู เอริคเปิดประตูและก้าวลงจากรถทันที ความเงียบสงัดของย่านทองหล่อในยามค่ำคืนทำให้บรรยากาศรอบข้างดูเงียบเหงาและเยือกเย็น กลับสู่ปัจจุบัน เอริคเปิดประตูห้องพักของเขาที่คอนโดหรูในย่านทองหล่อ เขาก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีเงียบขรึม สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังประเมินสภาพแวดล้อมที่เขาจะต้องอาศัยต่อจากนี้ ห้องพักที่ตกแต่งอย่างประณีต สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมอันประณีตของเขา แต่กลับดูเย็นชาและห่างเหิน ราวกับไม่มีชีวิตชีวา บรรยากาศภายในห้องที่เงียบสงัดทำให้เอริคยิ่งรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวที่ลึกล้ำในใจ ความเงียบนี้ไม่ใช่ความสงบสุข แต่เป็นเครื่องเตือนถึงความขาดแคลนและความหนาวเหน็บที่เขาแบกรับมาตั้งแต่วัยเยาว์ เขาวางกระเป๋าลงข้าง ๆ โซฟา ก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่างบานใหญ่ ซึ่งมองเห็นวิวของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่สว่างไสวด้วยแสงไฟจากตึกระฟ้าและถนนหนทาง เขายืนมองทิวทัศน์อยู่ครู่หนึ่ง ราวกับพยายามจะค้นหาอะไรบางอย่างในแสงไฟเหล่านั้น แต่ในสายตาของเขา ภาพที่เห็นกลับถูกบดบังด้วยความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ เอริครู้สึกว่าความเงียบสงบภายในห้องนั้นทำให้เขารู้สึกหดหู่มากขึ้น ความคิดถึงอดีตและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับพ่อทำให้เขารู้สึกถึงภาระที่หนักอึ้งที่เขาต้องแบกรับ การกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเดินทางข้ามทวีป แต่เป็นการเดินทางกลับไปยังใจกลางของความทรงจำที่เขาพยายามหนีห่าง เอริคเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาและตั้งใจจะใช้เวลาไปกับการตรวจสอบสถานการณ์ธุรกิจเพื่อเบี่ยงเบนความคิดที่รบกวนจิตใจ รายงานมากมายปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เขาไล่สายตาดูผ่านรายงานทางการเงินและแผนธุรกิจต่าง ๆ แต่แล้วสายตาของเขาก็สะดุดกับชื่อหนึ่ง ชื่อของร้านเบเกอรี่ที่เป็นของเอวา เอริคจ้องมองชื่อนั้น ความรู้สึกเย็นชาที่เคยแสดงออกมาในตอนแรกกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขาปิดไฟล์นั้นทันทีโดยไม่ลังเล ไม่ต้องการให้ชื่อของเอวามาบดบังความสงบที่เขาพยายามรักษาไว้ เธอเป็นส่วนหนึ่งของอดีตที่เขาไม่ต้องการจดจำ เป็นตัวแทนของการสูญเสียความรักและความสนใจจากพ่อแม่ตั้งแต่ต้น เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ให้เอวามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาอีกต่อไป เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นขัดจังหวะความคิด เอริคหยิบขึ้นมาดูและเห็นชื่อ "แม่" ปรากฏอยู่บนหน้าจอ เขาหายใจเข้าลึกอีกครั้ง พยายามรวบรวมสติ ก่อนจะกดรับสาย “เอริค ถึงคอนโดแล้วหรือยังลูก?” เสียงของแคทเธอรีน เวสต์ฟิลด์ ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความห่วงใย “ครับแม่ ถึงแล้ว” เอริคตอบสั้น ๆ พยายามรักษาน้ำเสียงให้คงที่ แต่ความรู้สึกหนักอึ้งในใจยังคงชัดเจน “แม่ดีใจที่ลูกถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แม่รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยสำหรับลูกที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง” แคทเธอรีนพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเข้าใจ เอริคเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความรู้สึกที่ตีกันอยู่ในใจ “มันก็...ไม่ง่ายจริง ๆ ครับแม่ แต่ผมก็ต้องกลับมาจัดการเรื่องทุกอย่าง” “แม่เข้าใจนะ เอริค” แคทเธอรีนกล่าว “ตั้งแต่พ่อของลูกจากไป บริษัทเวสต์ฟิลด์ กรุ๊ป ก็เป็นภาระที่หนักอึ้ง แม่เองก็ต้องการให้ลูกกลับมาช่วยดูแล แม่เชื่อว่าลูกจะทำมันได้ดี” เอริครู้สึกถึงแรงกดดันที่มากขึ้นเมื่อแม่พูดถึงพ่อ ริชาร์ด เวสต์ฟิลด์ ชายผู้ที่เขาเคารพและกลัวในเวลาเดียวกัน “แม่...ผมไม่แน่ใจว่าผมพร้อมที่จะรับช่วงต่อบริษัทนี้หรือเปล่า” “แม่เชื่อในตัวลูกเสมอ ลูกเป็นคนเข้มแข็งเหมือนพ่อ และแม่มั่นใจว่าลูกจะทำได้ดี แม่รู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ลูกไม่ได้อยู่คนเดียว แม่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ” เสียงของแคทเธอรีนอบอุ่นและมั่นคง เอริคพยักหน้า แม้แม่จะมองไม่เห็น “ผมจะพยายามครับแม่ แต่ผมขอเวลาสักหน่อย” “แม่รอได้เสมอ เอริค ลูกไม่ต้องรีบ แม่รู้ว่าลูกต้องการเวลา” แคทเธอรีนพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเข้าใจและความรัก หลังจากวางสาย เอริคมองไปที่ภาพถ่ายของพ่อที่แขวนอยู่บนผนัง ใบหน้าของริชาร์ดเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและเคร่งขรึม ความรู้สึกซับซ้อนที่เขามีต่อพ่อเริ่มผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้ว่าพ่อคาดหวังให้เขาเป็นคนที่สามารถสืบทอดบริษัทได้ แต่เขาก็รู้สึกถึงความกดดันที่พ่อทิ้งไว้ให้เขารับผิดชอบ “พ่อ...ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เอริคพูดกับภาพถ่ายของพ่อราวกับว่าพ่อยังคงอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกที่ค้างคาในใจเริ่มเบาบางลงเล็กน้อย ขณะที่เขามองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนของกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยแสงไฟ ท่ามกลางความเงียบที่ล้อมรอบตัวเขา เอริครู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้านั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย และเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD