หลังจากที่เอริคกลับมาถึงคอนโดหรูในย่านทองหล่อ เขาก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด
ความเงียบงันของที่นี่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง
เขาวางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะกาแฟกลางห้อง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังสีดำที่ดูมีราคาสูงแต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกสบายใจเลยสักนิด เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หวังว่าจะลืมความเหนื่อยล้าจากวันทำงานที่ยาวนานและหนักหน่วง แต่ความเงียบรอบตัวกลับยิ่งทำให้ความคิดของเขาสับสนมากขึ้น
ภาพความทรงจำที่เขาพยายามฝังลึกลงในส่วนลึกของจิตใจกลับค่อย ๆ ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับฝนที่เริ่มตกลงมาจากท้องฟ้าที่มืดครึ้ม เมื่อเขาหลับตาลง ภาพใบหน้าใสซื่อของเอวา น้องสาวบุญธรรมของเขา ที่เขาพบเจอในวันนี้กลับปรากฏชัดเจนขึ้นมาในใจเขา
เอริคลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พยายามที่จะไม่จมอยู่ในความทรงจำนั้น เขาลุกขึ้นจากโซฟาอย่างกระทันหัน เหมือนกับว่าการเคลื่อนไหวจะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความคิดที่ตามหลอกหลอน เขามุ่งหน้าไปยังห้องทำงานส่วนตัวของเขา ซึ่งตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของคอนโด ห้องนี้เต็มไปด้วยเอกสาร งานที่คั่งค้าง และเครื่องมืออันล้ำสมัยที่เขาใช้ในการบริหารธุรกิจ
เมื่อเข้ามาถึงห้องทำงาน เอริคหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่กองเอกสารบนโต๊ะ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขากลับเป็นรูปถ่ายเก่า ๆ ของครอบครัวที่ถูกเก็บไว้อย่างมิดชิดในกรอบไม้ที่เริ่มเก่า
เขามองไปที่รูปนั้นอย่างไม่เต็มใจ ความทรงจำในวัยเด็กเริ่มท่วมท้นเข้ามา
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้…”
เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ความทรงจำครั้งแรกที่พ่อกับแม่พาเอวามาที่บ้านเข้ามาในความคิดของเขา
วันนั้นบ้านของเอริคเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นจากครอบครัว แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีดวงตาเศร้า ๆ เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าใบเล็กที่ดูเก่า ๆ
"นี่คือเอวา น้องสาวบุญธรรมของลูกนะ เอริค"
พ่อพูดด้วยเสียงนุ่มนวลและอบอุ่น ซึ่งเป็นเสียงเดียวกันกับที่เคยใช้เรียกเอริคตอนเด็ก ๆ
ตั้งแต่นั้นมา เขารู้สึกได้ทันทีว่าชีวิตของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกครั้งที่พ่อและแม่หันไปสนใจเอวามากกว่าเขา มันเหมือนมีมีดคมกรีดลงในใจเขา ความรักและความเอาใจใส่ที่เคยเป็นของเขาเพียงคนเดียวถูกแบ่งปันไปยังเอวา เขารู้สึกว่าตัวเองถูกละเลยและเริ่มมีความเกลียดชังเกิดขึ้นในใจอย่างเงียบ ๆ
"ทำไมต้องเป็นเธอ..."
เขาพึมพำอีกครั้ง มองภาพเอวาในรูปถ่าย ใบหน้าใสซื่อและแววตาที่แฝงไปด้วยความหวังดีนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธ
“ยัยตัวหารความรัก…”
เขาเคยคิดอย่างนั้นเสมอเมื่อมองดูเธอ เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมพ่อแม่ถึงต้องการให้เด็กหญิงคนนี้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพวกเขา และทำไมเธอถึงได้ความรักทั้งหมดจากพวกเขา
เอริคเริ่มแกล้งเอวาทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการซ่อนของเล่นที่เธอรัก ทำให้เธอร้องไห้ด้วยความเศร้า หรือแม้กระทั่งทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เขาต้องการเห็นเธอเจ็บปวดและท้อแท้ เขาหวังว่าการกลั่นแกล้งของเขาจะทำให้เธอโกรธเคืองหรือร้องไห้ แต่ทุกครั้งที่เขาทำเช่นนั้น เธอกลับมาหาเขาด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
"พี่เอริค..."
เอวาจะพูดเสมอหลังจากโดนแกล้ง
"หนูอยากให้พี่รักหนูบ้าง หนูอยากมีพี่ชายจริง ๆ "
คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความจริงใจและความหวังดี ซึ่งยิ่งทำให้เอริครู้สึกโกรธและหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
ถึงแม้ว่าเอริคจะทำอะไรให้เอวาเจ็บปวดแค่ไหน พ่อแม่ก็ไม่เคยดุเขาเลย เพียงแค่บอกว่า
“เอริค นั่นมันไม่ถูกต้องนะลูก” พวกท่านไม่ได้ลงโทษเขาอย่างจริงจัง
และทุกครั้งที่พวกท่านพูดเช่นนั้น มันเหมือนเป็นการกระตุ้นให้เขากลั่นแกล้งเธอมากขึ้นไปอีก
จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่เหตุการณ์ทั้งหมดมาถึงจุดแตกหัก เอริคจำได้ว่าเขาแกล้งแย่งตุ๊กตาตัวโปรดของเอวาที่ตรงบันได ตุ๊กตาตัวนี้เป็นสิ่งที่เธอหวงมากที่สุด เพราะมันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่แม่ของเขาซื้อให้เอวา
เอริคอยากเห็นเธอร้องไห้ อยากเห็นเธอเจ็บปวด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นอุบัติเหตุที่เขาไม่คาดคิด
เมื่อเอวาพยายามที่จะดึงตุ๊กตากลับคืนมา เธอพลาดท่าและล้มลงไปจากบันได
"เอวา!"
เสียงร้องของแม่ดังขึ้นก้องในความทรงจำของเอริค เขายังคงจำได้ถึงความตื่นตระหนกของทุกคนในบ้าน
และเสียงเอวาที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเมื่อแขนของเธอหัก ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
แต่ภาพเหล่านั้นยังคงชัดเจนในใจของเขาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
เมื่อถึงโรงพยาบาล พ่อของเขาที่เคยอ่อนโยนและใจดีเสมอมากลับเต็มไปด้วยความโกรธ พ่อเข้ามาหาเขา และในแววตาของพ่อนั้นมีแต่ความผิดหวังและโกรธแค้น
"เอริค นี่มันเกินไปแล้วนะลูก! พ่อไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกจะทำถึงขนาดนี้ ทำไมลูกถึงทำแบบนี้กับน้องของลูก? "
เอริครู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง ความรู้สึกโกรธและเจ็บปวดที่เขาเก็บมาตลอดเริ่มระเบิดออกมา
"เพราะพ่อกับแม่ไม่เคยสนใจผมเลย! พ่อแม่รักแต่เอวา ไม่เคยรักผม!"
เอริคตะโกนกลับไปด้วยเสียงสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธและความเศร้า
เขารู้สึกว่าพ่อแม่ทรยศเขา และความเจ็บปวดนั้นทำให้เขาไม่สามารถอดทนต่อไปได้
"ทำไมพ่อแม่ถึงไม่เคยเข้าใจ…"
เขาถามตัวเองด้วยความโกรธเคืองที่ยังคงอยู่ในใจ ความรู้สึกเหมือนถูกแทนที่ ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญ
ทุกอย่างกลับมาทับถมเขาในเวลานี้
หลังจากเหตุการณ์นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเอริคและพ่อก็แตกหักอย่างสิ้นเชิง เอริคตัดสินใจว่าเขาจะไม่ทนอยู่ในบ้านที่ทำให้เขารู้สึกถูกทอดทิ้งและไม่ยุติธรรมอีกต่อไป เขาไม่อยากจะใช้ออกซิเจนเดียวกันในการหายใจกับคนที่เขารู้สึกว่าไม่เคยเข้าใจเขาเลย
เอริคจึงตัดสินใจที่จะไปอยู่กับลุงที่อเมริกา เขาทิ้งบ้านและความทรงจำทั้งหมดไว้ข้างหลัง หวังว่าการไปที่นั่นจะทำให้เขาสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่มีเอวาและความรู้สึกถูกทอดทิ้ง แต่ถึงแม้จะหนีไปไกลแค่ไหน ความทรงจำและความโกรธเคืองที่เกิดขึ้นในวัยเด็กก็ยังคงตามหลอกหลอนเขาไม่รู้จบ
"ไม่ว่าอย่างไร ฉันต้องเผชิญหน้ากับมัน…"
เอริคตัดสินใจพลางมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ความทรงจำที่เขาพยายามปิดบังมานานอาจจะถูกเปิดเผยมากขึ้นในวันต่อ ๆ ไป
แต่เขารู้ดีว่า เขาไม่สามารถหนีมันได้ตลอดไป