“แล้วไม่จริงอย่างที่คนพวกนั้นพูดหรือไง”
อภิยารีบส่ายหน้าอย่างไว บอกเขาไปว่า “ไม่จริงนะคะ หยินมาที่นี่ก็เพราะอยากมาทำงานใช้หนี้ที่พ่อขอยืมคุณลุงอรรถพลมา แล้วถ้าคุณพุธจะไม่ว่าอะไร หยินก็อยากจะเรียนรู้เกษตรอินทรีย์จากที่นี่ด้วย เผื่อว่าอนาคตหยินเก็บเงินได้สักก้อนก็จะไปหาซื้อที่ทางทำเกษตรเองค่ะ”
พสุธามองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ พร้อมกับบอกตัวเองว่าซวยแล้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอยากเชื่อแม่นี่จังเลยวะ
อยากเชื่อว่าทุกอย่างที่พูดนั่นเป็นความคิด เป็นความรู้สึกของเจ้าหล่อนจริง ๆ ไม่ใช่มารยาสาไถยแต่อย่างใด
ดึงร่างเล็ก ๆ ให้เข้ามาใกล้อีกหน่อย จ้องตาใหม่อีกที ก่อนถามจี้อีกครั้ง “เธอต้องการแค่นั้นเองหรือ”
อภิยารู้สึกถึงสายตาแปลก ๆ ของเขา แต่เธอมาเพราะแบบนั้นจริง ๆ จึงตอบเขาไปตามตรงว่า “ค่ะ”
พสุธาจ้องตานิ่ง เหมือนกับเขากำลังถูกดูดเข้าไปในวังวนของดวงตาคู่ใสเป็นประกายคู่นั้น
แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งช่วยถีบเขาออกมา
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณพุธ
นเรนทร์ พ่อบ้านของไร่เทียมพสุธาถามดังมาจากทางด้านหลังเขาที่เอง อภิยาจึงอาศัยจังหวะที่เขาสนใจทางนั้น ดึงแขนตัวเองออกจากมือของเขา ก้มหน้าแล้วบอกไปว่า
“ขอตัวก่อนนะคะ”
พสุธามองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ที่เดินห่างออกไป ตอบทางนเรนทร์ไปว่า “ผมไม่มีอะไร อาโยนั่นแหละมีอะไร”
มาขัดจังหวะทำไมวะ
พสุธาคิดอย่างหงุดหงิดในหัวใจ
นเรนทร์มองที่บุตรชายเจ้านายนิ่ง แจ้งเรื่องที่นำมาปรึกษา
พสุธาได้ฟังแล้วก็ชะเง้อมองตามร่างเล็ก ๆ ที่ปั่นจักรยานกลับไปยังบ้านพักแล้ว พร้อมกับที่หูก็ฟังรายงานของนเรนทร์ไปพลาง แล้วโบกมือให้อีกฝ่ายจัดการไปตามที่เห็นสมควรได้เลย
“มีคนโทรมาหาเธอ”
คุณน้อมบอกเมื่อตอนที่เธอจอดจักรยานเรียบร้อย และกำลังจะเดินเอาของไปเก็บที่ในห้อง
อภิยาถามกลับด้วยความแปลกใจ “ใครหรือคะ”
“ชื่อรัตนาพร เห็นว่าเป็นอาจารย์ของเธอที่มหา’ลัย”
“ขอบคุณค่ะ” แล้วเอ่ยขออนุญาตใช้โทรศัพท์ เพื่อโทรกลับไปหาอาจารย์ประจำคณะ สอบถามเรื่องที่ท่านติดต่อมาหา
อาจารย์ท่านนั้นแจ้งข่าวเรื่องการขอย้ายมหาวิทยาลัยของเธอ ท่านบอกว่าต้องให้มาที่นี่ภายในวันพฤหัสบดีหน้า เพราะมีเอกสารที่ต้องกรอกรายละเอียด พร้อมกับแนบเอกสารที่เป็นหลักฐานประจำตัว
เธอตอบรับอาจารย์ที่แจ้งข่าวมาแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นจึงหาจังหวะเข้าไปคุยกับพสุธาเพื่อขออนุญาตลางาน
พสุธาเดินเข้ามาในสำนักงานในตอนบ่าย เขาเลยไปที่ห้อง เธอก็ค่อยตามเข้าไป เคาะประตูเบา ๆ แว่วเสียงเขาบอกให้เข้ามาได้
พอเขาเห็นว่าเป็นเธอ พสุธามองนิ่ง เมื่อวานนี้โชคดีจริง ๆ ที่นเรนทร์เข้ามาขวางไว้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงตกลงไปในหลุมมารยาของผู้หญิงคนนี้แล้ว
คิดทบทวนให้ดี ๆ ก็พบว่าน่าจะเป็นมารยามากกว่าจะเป็นเรื่องจริง
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงเฉยเมย “มีอะไร”
อภิยาวางกระดาษลงบนโต๊ะของเขา ทันทีที่พสุธาเห็นกระดาษ สายตาของชายหนุ่มก็พร่าเลือนไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้นถามเสียงเครียด
“นี่มันอะไร”
“หยินจะขอลา...”
ได้ยินแค่นั้น หัวใจของเขาตีลังกาพลิกหงายคว่ำร่วงลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มทันที ถามขัดเสียงดังลั่นห้องเลยทีเดียว “นี่เธอจะลาออกอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ค่ะ หยินจะขอลางานสองวันค่ะคุณพุธ”
ได้ยินว่าลางาน พสุธาหลุบตาลงมองที่กระดาษอีกที
ทำไมเขาถึงได้แสดงอาการออกมาขนาดนั้นด้วย ถามตัวเองเงียบ ๆ ว่าจะต้องตกใจไปทำไมกัน ก่อนจะนึกหาคำตอบได้ในวินาทีต่อมา ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้จัดการตามที่พ่อสั่งไว้เลยน่ะสิ แม่นี่ก็จะไปจากไร่ของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ ก่อนจะตั้งสติได้ ถามอีกประโยคว่า
“ลาวันไหน”
เธอบอกเขาไปแล้ว ก็ได้ยินเขาพูดด้วยสีหน้าเฉยเมยกลับมา “ไปทำแผนที่การเดินทาง แล้วมาทำเรื่องเบิกเงิน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หยินไปธุระส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องงาน...”
“ไปทำมา”
เขาสั่งจบ ก็หันไปรับสายเรียกเข้าที่ดังขึ้นพอดี
อภิยาเลยจำต้องหันหลังเดินออกจากห้องไป ปากเขาคุยสาย แต่ตามองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ นั่นจนลับหายไป
ไม่รู้ว่าคนในสำนักงานกำลังคิดแบบเดียวกับคนงานในบ้านของเขาไปแล้วหรือเปล่า เพราะเห็นจับกลุ่มคุยกัน ก่อนจะมองมาที่เธอ
“ปกติจะลางานก็ต้องยื่นกับพี่บ้งไม่ใช่หรือ”
“นั่นสิ ทำไมถึงต้องไปยื่นเองกับคุณพุธด้วยก็ไม่รู้เนอะ”
ที่แท้เป็นเรื่องนี้เองหรอกหรือ อันที่จริงก่อนหน้านี้ เธอถามผู้จัดการมาแล้ว แกว่าให้เธอไปยื่นใบลาด้วยตัวเองกับพสุธาเลย เธอจึงต้องเอาไปยื่น ใจจริงก็ไม่ได้อยากทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นแบบนี้หรอก แต่ในเมื่อผู้ใหญ่บอกมาแบบนั้น จะให้เธอทำอย่างไร
แล้วพยายามไม่คิดอะไรมาก
เรื่องเบิกค่าเดินทาง เธอไม่ส่งแผนการเดินทางหรอก ไม่อยากให้คนเอาไปพูดมากไปกว่านี้
อภิยาถามต่องเรื่องเดินทาง ต่องบอกว่ารถจะผ่านหน้าไร่เทียมพสุธาเที่ยวแรกตอนตีสี่และจะออกทุกสองชั่วโมง เที่ยวสุดท้ายผ่านหน้าไร่หกโมงเย็น แล้ววางแผนการเดินทางเงียบ ๆ
เธอลางานไว้สองวันใช้เวลาเดินทางไปหนึ่งวัน กลับอีกหนึ่งวันก็คงจะพอดี แล้วตัดสินใจออกไปรอรถตอนหกโมงเช้า เพราะไม่กล้าไปรอเที่ยวแรก ที่นี่ตีสี่ยังมืดอยู่มาก แล้วก็ไม่มีคนผ่านไปมาเลยสักคน
วันเดินทาง เธอค่อยออกจากห้องพักตอนฟ้าเริ่มสาง เอาจักรยานออกมาปั่น แล้วนำไปจอดที่ข้างออฟฟิศ เดินลัดข้างคาเฟ่ออกไปรอที่ข้างถนน ตรงนั้นมีศาลาเล็ก ๆ ให้นั่งรอ มีคนสัญจรไปมาบ้างแล้ว เธอเลยค่อยโล่งใจ
หันมองซ้ายขวา ก้มดูเวลา เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เห็นรถยนต์ขับชะลอ ๆ มาจอดที่ตรงหน้าเธอ กระจกลดลงจนเกือบสุด จากที่ไม่อยากมอง ก็จำต้องมองเข้าไปในนั้นเมื่อเสียงบีบแตรรถดังลั่นขึ้น
“จะไปไหนแต่เช้า”
คนนั่งหลังพวงมาลัยรถนั่นคือเจ้าของไร่เทียมพสุธานั่นเอง ขยับลุกไปบอกกับเขา “วันนี้หยินลาไงคะ”